PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

ถึงยารักษาสิวจะช่วยแก้สิวเห่อได้ แต่ก็มีผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์อย่างทำให้หน้าแห้ง สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือเกิดอาการระคายเคือง ที่สำคัญคือแพงจริงๆ! วันนี้คุณมาถูกบทความแล้ว เพราะบทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีรักษาสิวแบบธรรมชาติให้คุณเอง ทั้งนี้ ถ้าใช้วิธีต่างๆ ไป 4 - 8 อาทิตย์แล้วไม่ดีขึ้น หรือในกรณีที่เป็นสิวซีสต์ สิวอักเสบแดงเป็นก้อน หรือสิวเห่อลาม แนะนำให้หาคุณหมอโรคผิวหนังจะดีที่สุด

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 7:

อบไอน้ำใบหน้า

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าผมปรกหน้า ให้รวบขึ้นไป จะใช้ยางรัดผม ผ้าคาดผม หรือกิ๊บดำ จากนั้นล้างหน้าด้วยน้ำยาสูตรอ่อนโยน จะแบบไม่ผสมน้ำมัน หรือใช้น้ำมันจากพืชก็ได้ คุณหมอโรคผิวหนังส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้กลีเซอรีน น้ำมันเมล็ดองุ่น และน้ำมันทานตะวัน เพราะดูดซึมง่ายและละลายน้ำมันตัวอื่น [1]
    • ให้นวดด้วยปลายนิ้วแทนการใช้ผ้าหรือฟองน้ำขัดหน้า เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองกว่าเดิม
    • นวดน้ำยาทำความสะอาดผิวประมาณ 1 นาที โดยนวดวนอย่างเบามือ ห้ามถูไถ แค่ช่วยให้น้ำยาทำความสะอาดชะคราบสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินออกมา
    • ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นนิดๆ ให้สะอาด
    • ซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าคอตตอนสะอาดๆ ห้ามเช็ดถูใบหน้า เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองกว่าเดิม
  2. ใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณต้านแบคทีเรียหรือฆ่าเชื้อ. น้ำมันต่อไปนี้ล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณฆ่าเชื้อ ต้านแบคทีเรีย แปลว่าช่วยกำจัดแบคทีเรียอันเป็นต้นเหตุของสิว ป้องกันไม่ให้เกิดสิวใหม่ คุณเลือกใช้ได้ตามชอบ (กลิ่นไหนถูกใจที่สุด) หรือตามสภาพผิวก็ได้ เช่น ถ้ามีสิวบ้าง (เพราะแบคทีเรีย) นอกเหนือจากสิวหัวดำ แนะนำให้เลือกสมุนไพรที่มีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย เช่น ทีทรีออยล์ [2]
    • น้ำมันสเปียร์มินต์หรือเปปเปอร์มินต์ บางคนใช้แล้วระคายเคือง เพราะงั้นต้องทดสอบแค่หยดเล็กๆ ที่ข้อมือก่อน โดยรอสัก 10 - 15 นาที ถ้าไม่เกิดอาการระคายเคือง ก็ใช้ได้เลย เริ่มจากใช้ 1 หยดต่อน้ำประมาณ 1 ลิตร (1 ควอร์ต) ทั้งเปปเปอร์มินต์และสเปียร์มินต์มีเมนทอล ที่มีสรรพคุณทั้งฆ่าเชื้อและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน [3]
    • ไทม์ (Thyme) เหมาะสำหรับคนที่ติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เพราะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และมีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย แถมยังทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น เพราะไปขยายหลอดเลือด [4]
    • ดาวเรืองฝรั่ง (Calendula) ช่วยเร่งการฟื้นตัวและมีสรรพคุณต้านจุลชีพ [5]
    • ลาเวนเดอร์ช่วยบรรเทาอาการระคายเคือง ลดซึมเศร้า วิตกกังวล รวมถึงมีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย [6]
  3. เทน้ำประมาณ 1 ลิตรใส่ในกา แล้วต้มประมาณ 1 - 2 นาที พอน้ำเดือด 1 - 2 นาที ให้หยดน้ำมันหอมระเหยที่ต้องการลงไป 1 - 2 หยด
    • ถ้าไม่มีน้ำมันหอมระเหย ให้ใช้สมุนไพรอบแห้ง ½ ช้อนชา (ประมาณ 1 - 2 กรัม) ต่อน้ำ 1 ลิตรแทน
    • พอผสมสมุนไพรหรือน้ำมันลงไปแล้ว ให้ต้มน้ำต่ออีก 1 นาที
    • เสร็จแล้วปิดเตา ยกหม้อลงพัก เลือกที่ที่ก้มหน้าไปอังได้สะดวก เพราะต้องยืนอยู่ท่านั้นสักพัก
  4. แน่นอนว่าบางคนก็แพ้น้ำมันสมุนไพรที่ผสมในน้ำได้ ถึงแต่ก่อนจะเคยใช้แล้วไม่เป็นไร แต่แนะนำให้ทดสอบใหม่ทุกครั้งก่อนอบไอน้ำใบหน้า ให้ทดสอบอังหน้ากับไอน้ำที่ผสมน้ำมันแต่ละชนิดสัก 1 นาที แล้วเอาหน้าออกห่างสัก 10 นาที ถ้าไม่จาม และผิวก็ปกติดี ก็ค่อยเอาน้ำไปตั้งไฟอีกรอบ จากนั้นค่อยอบไอน้ำจริงจัง [7]
  5. เอาผ้าคอตตอนสะอาดผืนใหญ่คลุมหัวไว้ ให้เป็นเหมือน "เต็นท์" กักไอน้ำไว้รอบๆ ใบหน้า พอทำเต็นท์ผ้านี้เสร็จแล้ว ก็ให้ก้มไปอังหน้าเหนือไอน้ำ
    • ระหว่างที่อบไอน้ำ ต้องหลับตาตลอด จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา [8] หรือใช้ที่ปิดตาก็ได้
    • อังหน้าห่างจากน้ำ 1 ไม้บรรทัด (12 นิ้ว หรือก็คือ 30 ซม.) ขึ้นไป ผิวจะได้ไม่ไหม้ เราแค่จะขยายหลอดเลือด ให้รูขุมขนเปิด อย่าให้ผิวเสียเพราะความร้อน
    • หายใจตามปกติได้เลย อย่าเกร็ง! คิดซะว่ากำลังเสริมสวยเพลินๆ
    • อังหน้าอบไอน้ำไปแบบนี้ประมาณ 10 นาที
  6. ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นนิดๆ จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้าคอตตอนสะอาด ห้ามเช็ดถูแรงๆ สุดท้ายทามอยส์เจอไรเซอร์ให้หน้านุ่มชุ่มชื้น จะเป็นโลชั่นหรือครีมก็ได้ ขอแค่เป็น non-comedogenic คือไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันจนสิวเห่อกว่าเดิม ให้อ่านฉลากเช็คว่ามีคำว่า non-comedogenic
    • ผลิตภัณฑ์ที่เป็น “Non-comedogenic” ใช้แล้วไม่ทำให้เกิดสิว ทั้งสิวอุดตัน สิวหัวดำ สิวหัวขาว และสิวทั่วไป [9] ถ้าปกติสิวขึ้นง่ายอยู่แล้ว ไม่ว่าทาผลิตภัณฑ์ไหนบนใบหน้า ตั้งแต่โลชั่นไปจนถึงโฟมหรือน้ำยาล้างหน้า และเครื่องสำอาง ก็ต้องเลือกที่เป็น non-comedogenic ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันและสิว
    • หนึ่งในมอยส์เจอไรเซอร์ที่แนะนำก็เช่น น้ำมันมะพร้าว จะใช้น้ำมันมะพร้าวเพียวๆ หรือน้ำมันมะพร้าวผสมกระเทียมก็ได้ โดยคั้นน้ำจากกระเทียม 1 กลีบ ผสมในน้ำมันมะพร้าว 1 ขวดโหล เอาน้ำมันไปอุ่น แล้วคนผสมให้เข้ากัน อยู่ได้ประมาณ 30 วันถ้าแช่เย็น ใช้ทาให้ทั่วหน้าวันละ 1 - 2 ครั้ง ทั้งน้ำมันมะพร้าวและกระเทียมช่วยฆ่าเชื้อในสิวได้ ส่วนกรดไขมันสายกลาง (medium chain fatty acids) ก็จะไปละลายสิวอุดตัน ช่วยให้รูขุมขนเปิด กระเทียมอาจจะฉุนหน่อย ถ้าไม่ชอบกลิ่น ให้ใช้แค่น้ำมันมะพร้าวอย่างเดียว [10]
  7. ช่วงแรกให้อบไอน้ำใบหน้าสักวันละ 2 ครั้ง คือตอนเช้าและตอนเย็น พอผ่านไปได้ประมาณ 2 อาทิตย์ ผิวหน้าก็น่าจะดีขึ้น ถ้าดีขึ้นเมื่อไหร่ให้ลดความถี่ลง เหลืออบไอน้ำแค่วันละ 1 ครั้ง
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 7:

มาสก์หน้าด้วยสมุนไพร

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ส่วนผสมต่อไปนี้ที่ใช้มาสก์หน้า ต่างก็มีฤทธิ์ฝาดสมาน ช่วยทำความสะอาด ให้ผิวเต่งตึง ฟื้นฟูผิวหน้า พร้อมๆ ไปกับการรักษาสิว แต่ก็ทำให้หน้าแห้งได้เหมือนกัน เพราะงั้นถ้าหน้าแห้งอยู่แล้ว ไม่แนะนำให้ใช้ [11] แต่ถ้าเป็นคนหน้ามัน มาสก์หน้าด้วยวัตถุดิบที่มีฤทธิ์ฝาดสมานอ่อนๆ จะช่วยปรับสมดุลความชุ่มชื้นของผิว
  2. หาชามมาใบหนึ่ง แล้วผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ (15 มล.) ไข่ขาว 1 ฟอง กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา (5 มล.) เข้าด้วยกัน วัตถุดิบที่ว่ามามีสรรพคุณตามธรรมชาติช่วยฟื้นฟูผิว เช่น น้ำผึ้งช่วยต้านแบคทีเรียและมีฤทธิ์ฝาดสมาน [12] ไข่ขาวนอกจากช่วยให้มาสก์ข้นขึ้นแล้ว ยังมีฤทธิ์ฝาดสมาน ส่วนน้ำมะนาวทั้งมีฤทธิ์ฝาดสมานและเป็นไวท์เทนนิ่งตามธรรมชาติ [13]
  3. ใส่น้ำมันหอมระเหยที่มีสรรพคุณต้านแบคทีเรียหรือฆ่าเชื้อสัก 2 - 5 หยด. พอผสม base หรือตัวเนื้อมาสก์เสร็จแล้ว ให้หยดหนึ่งในน้ำมันหอมระเหยต่อไปนี้ลงไป 2 - 5 หยด
    • เปปเปอร์มินต์
    • สเปียร์มินต์
    • ลาเวนเดอร์
    • ดาวเรืองฝรั่ง (Calendula)
    • ไทม์ (Thyme)
  4. ใช้ปลายนิ้วปาดส่วนผสมให้ทั่วหน้า คอ และผิวส่วนอื่นๆ ที่ต้องการบำรุง เป็นขั้นตอนที่เลอะเทอะหน่อย ให้ทำในที่ที่ล้างทำความสะอาดได้ง่าย เช่น ในห้องน้ำ อย่าโปะมาสก์เยอะเกินจนหยดจากหน้า หรือแห้งช้า
    • ถ้าไม่อยากมาสก์ทั้งหน้า จะแต้มส่วนผสมเฉพาะจุดที่มีปัญหาก็ได้ โดยใช้คอตตอนบัดป้ายมาสก์ไปแต้มสิว
  5. อันนี้แล้วแต่ว่ามาสก์หน้าด้วยส่วนผสมมากน้อยแค่ไหน ก็จะแห้งช้า-เร็วต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ระวังอย่าให้มาสก์ไหลเลอะเทอะระหว่างรอให้แห้ง
  6. พอผ่านไป 15 นาที และส่วนผสมที่ใช้มาสก์หน้าบำรุงผิวจนได้ที่แล้ว ก็ถึงเวลาล้างออก ให้ใช้น้ำอุ่นนิดๆ ล้างหน้าและมือจนสะอาด อย่าเช็ดถูหรือขัดด้วยผ้าหรือฟองน้ำ เพราะสิวจะระคายเคืองกว่าเดิม จากนั้นใช้ผ้าคอตตอนสะอาดๆ ซับหน้าให้แห้ง ห้ามเช็ดถูแรงๆ จนระคายเคือง
    • ปิดท้ายด้วยมอยส์เจอไรเซอร์แบบ non-comedogenic ไม่อุดตันรูขุมขน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 7:

ใช้ Sea Salt

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. เกลือทะเล หรือ sea salt ช่วยกำจัดแบคทีเรียและคืนแร่ธาตุให้ผิว [14] sea salt ช่วยละลาย sebum หรือน้ำมันผิวตามธรรมชาติได้ด้วย (ใครที่หน้ามันก็เพราะมี sebum เยอะเกินไป) เหมาะสำหรับคนที่มีสิวน้อยหรือเยอะปานกลาง
    • ปกติ sea salt จะไม่รบกวนการทำงานของยาสิวที่คุณใช้อยู่
    • แต่ปรึกษาคุณหมอโรคผิวหนังให้แน่ใจว่าวิธีธรรมชาติที่คุณใช้ เหมาะกับลักษณะอาการของคุณก่อนจะปลอดภัยที่สุด
    • ระวังอย่าใช้ sea salt เยอะไป เพราะทำให้ผิวแห้ง แถมกระตุ้นให้ผลิต sebum ออกมาเยอะขึ้น จนสิวเห่อได้
  2. ต้องล้างหน้าก่อน ด้วยโฟมหรือน้ำยาสูตรถนอมผิว ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสม โดยใช้ปลายนิ้วนวดวนเบาๆ ขจัดสิ่งสกปรก ประมาณ 1 นาทีก็ล้างออกได้ ด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นนิดๆ สุดท้ายซับให้แห้งด้วยผ้าสะอาด แล้วใช้หนึ่งในวิธีบำรุงผิวหน้าด้วย sea salt ต่อไปนี้ เป็น treatment หลังล้างหน้า
  3. มาสก์เหมาะกับการรักษาสิวบนใบหน้า ให้คนผสม sea salt 1 ช้อนชา (ประมาณ 5 - 6 กรัม) ในน้ำร้อน 3 ช้อนชา (15 มล.) จนเข้ากัน น้ำต้องร้อนจน sea salt ละลายหมด แล้วเติมส่วนผสมต่อไปนี้ลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ (15 มล.)
    • วุ้นว่านหางจระเข้ (เพื่อการฟื้นฟู) [15]
    • ชาเขียว (มีสารต้านอนุมูลอิสระ) [16] [17]
    • น้ำผึ้ง (ต้านอักเสบและเร่งการฟื้นฟู) [18] [19]
  4. ทาส่วนผสมให้ทั่วหน้าโดยใช้ปลายนิ้ว อย่าให้เลอะเทอะเกินไป ระวังส่วนผสมเข้าตาด้วย จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที อย่าเกิน เพราะ sea salt ดูดน้ำจนผิวแห้งได้
    • พอครบ 10 นาที ให้ล้างมาสก์ออกด้วยน้ำเย็นถึงอุ่นนิดๆ แล้วซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าสะอาด
    • ทามอยส์เจอไรเซอร์สูตร non-comedogenic ปิดท้าย
    • ถึงจะอยากผิวใสเร็วๆ แต่ขอให้ใช้สูตรนี้ล้างหน้าหรือแช่ตัวแค่วันละ 1 ครั้งพอ ไม่งั้นผิวจะแห้งมาก กระทั่งมอยส์เจอไรเซอร์ก็ช่วยไม่ได้
  5. ส่วนผสมสำหรับทำสเปรย์ฉีดพ่น หลักๆ แล้วก็เหมือนสูตรทำมาสก์ แต่เปลี่ยนเป็นผสม sea salt 10 ช้อนชา (60 กรัม) กับน้ำร้อน 30 ช้อนชา (150 มล.) และวุ้นว่านหางจระเข้/ชาเขียว/น้ำผึ้ง 10 ช้อนโต๊ะ (150 มล.) เข้าด้วยกัน เสร็จแล้วกรอกใส่ขวดสำหรับฉีดพ่น
    • ถ้าจะเก็บไว้ใช้วันหลัง ให้แช่ตู้เย็น
  6. ไม่ว่าจะดูแลผิวสูตรไหน ก็ต้องล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นกับน้ำยาสูตรถนอมผิวซะก่อน ให้หลับตาหรือหาอะไรมาปิดตาป้องกันน้ำเกลือเข้าตาจนแสบ จากนั้นฉีดพ่นส่วนผสมให้ทั่วคอและใบหน้า
    • ก็เหมือนตอนมาสก์หน้า คืออย่าทิ้งไว้นานเกิน 10 นาที ครบแล้วให้รีบล้างออกด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นนิดๆ
    • ซับให้แห้ง แล้วลงมอยส์เจอไรเซอร์สูตร non-comedogenic
  7. ถ้าสิวเห่อกินบริเวณกว้างบนตัว เช่น หลัง หรือหน้าอก ให้แช่ทั้งตัวในน้ำสูตรบำรุงผิว จะเห็นผลและสะดวกกว่าใช้มาสก์หรือสเปรย์ ถึงเกลือทำอาหารตามปกติจะไม่ทำร้ายผิว แต่จะไม่ได้ประโยชน์จากแร่ธาตุต่างๆ ที่พบใน sea salt เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม คลอรีน ไอโอดีน โพแทสเซียม ซิงค์ และธาตุเหล็ก [20] เพราะงั้นแช่น้ำผสมเกลือธรรมดาไปก็ไม่มีผลอะไร
    • ผสม sea salt 2 ถ้วยตวง (250 - 260 กรัม) กับน้ำอุ่นจัดถึงร้อนในอ่างอาบน้ำ เพื่อให้ sea salt ละลายเร็ว
    • แช่ตัวในน้ำ 15 นาที ห้ามเกิน เพราะนานไปผิวจะแห้งมาก
    • ถ้าที่หน้าก็มีสิว ให้เอาผ้าขนหนูแช่น้ำในอ่าง แล้วประคบหน้า 10 - 15 นาที
    • ล้างน้ำผสม sea salt ออกด้วยน้ำเปล่าเย็นๆ
    • ซับให้ผิวแห้ง แล้วลงมอยส์เจอไรเซอร์ให้ทั่วตัว เพื่อป้องกัน sea salt ทำผิวแห้งผาก
    • อย่าแช่ตัวสูตรนี้เกินวันละ 1 ครั้ง
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 7:

ทำน้ำยาล้างหน้าใช้เอง

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ต้องเลือกน้ำมันดีๆ ระวังเรื่องอาการแพ้ โดยเฉพาะถ้าผิวบอบบาง แพ้ง่าย เช่น ถ้าปกติคุณแพ้ถั่ว ก็อย่าใช้น้ำมันเฮเซิลนัท ต่อไปนี้คือรายชื่อน้ำมันต่างๆ บางตัวก็แพงกว่าเพื่อน บางตัวก็หาง่ายหน่อย แต่ทั้งหมดเป็นน้ำมันแบบ non-comedogenic คือไม่อุดตันรูขุมขน ช่วยให้ผิวที่มีปัญหาสิวดีขึ้นได้ [21]
    • อาร์แกนออยล์
    • น้ำมันเมล็ดกัญชง
    • น้ำมันเชีย (Shea olein)
    • น้ำมันทานตะวัน
    • น้ำมันอื่นๆ ที่ใช้ได้ (เป็น non-comedogenic สำหรับผิวส่วนใหญ่) คือน้ำมันมะกอกกับน้ำมันละหุ่ง อย่างหลังอาจทำให้ผิวบางคนแห้งได้ แต่ส่วนใหญ่จะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นดี
    • น้ำมันมะพร้าวต่างจากน้ำมันอื่นๆ ตรงที่มีกรดไขมันสายกลาง (medium chain fatty acids) ช่วยกำจัดแบคทีเรีย เช่น Propionibacterium acnes โดยจะไปต้านกันกับกรดไขมันสายยาว (long chain fatty acids) ใน sebum ที่ไปอุดตันรูขุมขน [22]
  2. เพิ่มน้ำมันที่มีสรรพคุณต้านแบคทีเรียหรือฆ่าเชื้อ. น้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรในรายชื่อต่อไปนี้ ขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณที่ช่วยลดแบคทีเรีย P. acnes ได้ น้ำมันต่อไปนี้ส่วนใหญ่จะมีกลิ่นหอม ให้เลือกน้ำมันกลิ่นที่ชอบได้เลย แต่ไม่ว่าจะเลือกสูตรไหน ต้องทดลองใช้แค่จุดเล็กๆ ก่อนใช้จริงเสมอ เพื่อป้องกันอาการแพ้
  3. จะผสม cleanser ใช้มากหรือน้อยก็ตามต้องการ แต่จะสะดวกกว่าถ้าผสมทีละเยอะๆ แล้วแช่เย็นเก็บไว้ในที่มืดๆ สัดส่วนของส่วนผสมที่ต้องคงไว้ไม่ว่าผสมมากหรือน้อย ก็คือ
    • ให้ใช้น้ำมันหอมระเหยสมุนไพร 3 - 5 หยด ต่อน้ำมันหลักทุก 1 ออนซ์ (30 มล.)
  4. เทน้ำมันที่ผสมแล้วลงในฝ่ามือเล็กน้อย แล้วใช้ล้างหน้า ห้ามเช็ดถูด้วยผ้าหรือฟองน้ำ เพราะจะทำให้สิวระคายเคืองกว่าเดิม ให้ใช้นิ้วนวดวนเป็นวงเล็กๆ เบาๆ ประมาณ 2 นาที
  5. ถ้าล้างหน้าตามปกติจะไม่สะอาดพอ เพราะน้ำเปล่าชะล้างน้ำมันออกไปไม่ได้ ให้ล้าง cleanser สูตรน้ำมันนี้โดยใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำอุ่น แล้วโปะที่หน้าประมาณ 20 วินาที ค่อยๆ เช็ดน้ำมันออกไป จากนั้นล้างน้ำมันออกจากผ้าด้วยน้ำอุ่น ทำซ้ำจนหน้าสะอาด ไม่เหลือน้ำมันส่วนเกิน
    • ล้างหน้าแล้วซับให้แห้งด้วยผ้าคอตตอน
    • ใช้วิธีนี้วันละ 2 ครั้ง และหลังเหงื่อออกเยอะๆ
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 7:

ดูแลผิวประจำวัน

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ล้างหน้าตอนเช้าหลังตื่นนอน เพื่อขจัดน้ำมันส่วนเกินที่สะสมในผิวหนังมาตลอดคืน อีกครั้งให้ล้างหน้าก่อนนอน เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกสะสมระหว่างวัน [28] นอกเหนือจากนั้นคือตอนเหงื่อออกเยอะๆ เช่น หลังออกกำลังกาย ไปฟิตเนส หรือออกนอกบ้านในวันที่อากาศร้อนเป็นพิเศษ ให้อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง แต่ถ้าเหงื่อออกมากก็ต้องอาบเพิ่มเติม
    • ใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เป็น non-comedogenic หรือ cleanser ที่ผสมเองจากน้ำมันธรรมชาติ
    • ใช้ sea salt ตามวิธีการที่แนะนำ ระวังอย่าใช้ sea salt เยอะเกิน เพราะจะทำให้ผิวแห้ง สูญเสียความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ จนสิวเห่อได้
  2. บางคนว่าไม่สะใจ ชอบขัดหน้าด้วยผ้าหรือถุงมือผลัดผิว แต่จริงๆ แล้วอุปกรณ์ที่ถนอมผิวหน้าที่สุด ก็คือนิ้วมือของเรานี่เอง โดยเฉพาะถ้ามีสิวอยู่แล้ว ไม่ควรขัดถูด้วยอะไรสากๆ จนระคายเคือง เวลาล้างหน้าให้นวด cleanser วนๆ ที่ผิวหน้าอย่างเบามือ ประมาณ 10 วินาที [29]
  3. [31] [32] ไม่ว่าสภาพสิวจะแย่แค่ไหน ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าสิวและสิวหนองต่างๆ มีแบคทีเรียอันตรายอยู่ด้านใน หนองที่ไหลออกมาจากสิวที่คุณบีบ เต็มไปด้วยแบคทีเรีย P. acne ถึงจะดีใจที่กำจัดสิวไปได้สักที แต่จริงๆ แล้วคุณได้เปิดช่องให้แบคทีเรียเข้าไปในผิวสุขภาพดีของคุณ จนสิวเห่อลุกลาม แทนที่จะหายไปอย่างที่ต้องการ
    • นอกจากนี้บีบสิวแล้วยังเสี่ยงเกิดแผลเป็น สีผิวไม่สม่ำเสมอ
  4. หลายคนเชื่อว่าผิวแทนแล้วสิวจะหาย หรือป้องกันสิวได้ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่พบหลักฐานรับรองแต่อย่างใด [33] จริงๆ แล้วทั้งแสงแดดและเตียงอบผิวแทน ต่างก็ทำให้ผิวเสีย เพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งด้วยกันทั้งนั้น นอกจากนี้ยารักษาสิวหรือยาอื่นๆ บางชนิดยังทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้นด้วย
    • ยาที่ว่าก็เช่น ยาปฏิชีวนะ อย่าง ciprofloxacin, tetracycline, sulfamethoxazole และ trimethoprim ยาแก้แพ้อย่าง diphenhydramine (Benadryl) ยารักษามะเร็ง (5-FU, vinblastine, dacarbazine) ยาโรคหัวใจอย่าง amiodorone, nifedipine, quinidine และ diltiazem ยา NSAID (Non-steroidal anti-inflammatory drugs) อย่าง naproxen และยาสิว isotretinoin (Accutane) กับ acitretin (Soriatane)
    โฆษณา
วิธีการ 6
วิธีการ 6 ของ 7:

ปรับเปลี่ยนอาหาร

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. กินอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index (GI)) ต่ำ ช่วยป้องกันสิวได้. คนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงนมและช็อคโกแลตเพราะกลัวสิวขึ้น ส่วนผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังก็แนะนำว่าอาหารไม่ได้ก่อให้เกิดสิวโดยตรง แต่งานวิจัยล่าสุด ได้ศึกษาอาหารการกินของชนพื้นเมืองทั่วโลกที่ไม่พบสิวในวัยรุ่น เมื่อเปรียบเทียบอาหารการกิน ระหว่างคนอเมริกันที่วัยรุ่น 70% มีสิว กับชนเผ่าที่ไม่มีสิวเลย พบหลักฐานชัดเจนว่าวัยรุ่นชนเผ่าไร้สิวไม่ได้กินผลิตภัณฑ์นมกับน้ำตาลมากเกินพิกัด ตรงข้ามกับวัยรุ่นอเมริกัน [34] นี่คือสาเหตุว่าทำไมบางคนกินผลิตภัณฑ์นมและน้ำตาลแปรรูปแล้วยิ่งมีแนวโน้มเป็นสิวมากขึ้น เพราะอาหารพวกนี้ไปเพิ่มการอักเสบ ทำให้ผิวหนังเราเหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย [35] หลายงานวิจัยชี้ว่าอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (glycemic index (GI)) ต่ำ จะช่วยลดสิวได้เป็นอย่างมาก [36] อาหารที่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ก็คืออาหารที่ปล่อยน้ำตาลเข้าเลือดช้าๆ อาหารที่ค่า GI ต่ำที่สุดก็เช่น [37]
    • ซีเรียลรำข้าว มูสลีธรรมชาติ และข้าวโอ๊ตรีดแผ่น
    • ขนมปังโฮลวีท ขนมปัง pumpernickel (ข้าวไรย์และโฮลวีท) ขนมปังโฮลเกรน ค่า GI ต่ำสุดพบในข้าวกล้อง ข้าวบาร์เล่ย์ และพาสต้าโฮลเกรน
    • ผักส่วนใหญ่ ยกเว้นบีทรูท ฟักทอง และหัวผักกาด
    • ถั่วเปลือกแข็ง
    • ผลไม้ส่วนใหญ่ ยกเว้นแตงโมและอินทผาลัม ส่วนมะม่วง กล้วย มะละกอ สับปะรด ลูกเกด และมะเดื่อ พวกนี้มีค่า GI ปานกลาง
    • ถั่วเมล็ดแห้ง
    • โยเกิร์ต
  2. นอกจากกินอาหารที่มี GI ต่ำแล้ว แนะนำให้เพิ่มสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างผิวให้แข็งแรง วิตามินต่างๆ ที่สำคัญต่อผิว ก็คือวิตามินเอและดี [38] อาหารที่แนะนำก็คือ [39] [40]
    • ผัก: มันเทศ ปวยเล้ง แครอท ฟักทอง บรอคโคลี่ พริกหวานแดง สควอช (summer squash)
    • ผลไม้: แคนตาลูป มะม่วง แอพริคอต
    • ถั่วเมล็ดแห้ง: ถั่วตาดำ (Black-eyed peas)
    • เนื้อสัตว์และปลา: ตับวัว ปลาเฮร์ริง ปลาแซลมอน
    • ปลา: น้ำมันตับปลา (Cod liver oil) ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
    • ผลิตภัณฑ์นม: นม โยเกิร์ต ชีส
  3. ถึงเดี๋ยวนี้อาหารต่างๆ จะมีการเพิ่มวิตามินดีเข้าไป แต่แค่วิตามินดีที่ได้จากอาหารนั้นไม่เพียงพอ ถึงจะกินอาหารอุดมวิตามินดีมากแค่ไหน ทางเดียวที่จะได้รับวิตามินดีเต็มที่ คือให้ผิวได้ออกแดดสักอาทิตย์ละ 10 - 15 นาที แสงแดดจะไปกระตุ้นให้ผิวสร้างวิตามินดี [41] ช่วงนั้นอย่าทาครีมกันแดด และเปิดเผยผิวให้โดนแสงแดดมากที่สุด ตราบใดที่ไม่รู้สึกแสบร้อน
    • แต่อย่าตากแดดจัดๆ นานๆ โดยไม่ทาครีมกันแดด เพราะทำร้ายผิวจนเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง [42]
    • ลองปรึกษาคุณหมอดู เรื่องตรวจเลือดหาระดับวิตามินดี เพราะด้วยอาหารการกินและการได้รับแสงแดด บางทีคุณอาจพร่องวิตามินดีก็ได้
  4. มีงานวิจัยที่ชี้ว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ดีต่อคนที่เป็นสิว [43] กรดไขมันโอเมก้า-3 จะไปจำกัดการผลิต leukotriene B4 ในร่างกาย ตัวนี้เป็นตัวกระตุ้นให้ผลิต sebum หรือน้ำมันตามธรรมชาติมากเกินไป จนเกิดสิวอักเสบได้ ปกติ sebum คือน้ำมันผิวตามธรรมชาติ ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น แต่ถ้าผลิตออกมาเยอะไป จะไปอุดตันรูขุมขนจนเกิดสิวได้ ถ้าคุณเพิ่มอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ก็จะลดสิวได้ อาหารที่แนะนำก็คือ
    • เมล็ดพืชและถั่วเปลือกแข็ง: เมล็ดแฟลกซ์ และน้ำมันจากเมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเจีย ฟักทองน้ำเต้าหู้ (butternut) และวอลนัท
    • ปลาและน้ำมันปลา: แซลมอน ซาร์ดีน แมคเคอเรล (ปลาทู) ปลาใบขนุน (whitefish) ปลาแชด (shad)
    • สมุนไพรและเครื่องเทศ: โหระพา ออริกาโน กานพลู มาร์จอรัม
    • ผัก: ปวยเล้ง เมล็ดไควาเระ (หัวไชเท้างอก) ผักคะน้า
    โฆษณา
วิธีการ 7
วิธีการ 7 ของ 7:

แบบนี้ต้องหาหมอ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    ถ้าสิวไม่ดีขึ้นใน 4 - 8 อาทิตย์ ให้หาหมอโรคผิวหนัง. ปกติถ้าเป็นสิวปานกลางถึงไม่มาก คุณดูแลตัวเองได้ ซึ่งปกติจะหายหรือดีขึ้นใน 4 - 8 อาทิตย์ แต่ถ้าผ่านไปเป็นเดือนแล้วสิวไม่ดีขึ้น ไปหาหมอจะดีกว่า เพราะอาจต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติม ลองปรึกษาคุณหมอโรคผิวหนังดู ว่าจะหน้าใสได้ต้องรักษาวิธีใดบ้าง [44]
    • คุณหมออาจแนะนำให้ซื้อยาเองตามร้านขายยา ไม่หายแล้วค่อยใช้ยาที่คุณหมอสั่ง
    • อาจจะปรึกษาคุณหมอโรคทั่วไปก่อน ให้ refer หรือโอนเคสไปยังคุณหมอโรคผิวหนังที่แนะนำ แล้วรักษาโรคเฉพาะทางต่อไป
  2. 2
    ต้องหาหมอ ถ้าเป็นสิวซีสต์หรือสิวอักเสบแดงเป็นก้อน. เพราะเป็นสิวอันตรายที่ก่อให้เกิดแผลเป็นได้ แถมสิวซีสต์กับสิวอักเสบแดงเป็นก้อนยังอยู่ลึกลงไปในผิวหนัง ใช้ยาทาภายนอกไม่ค่อยเห็นผล คุณหมอจะเป็นคนบอกเองว่าต้องกินยาร่วมด้วยหรือเปล่า รวมถึงวิธีการดูแลผิวหน้าที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณที่สุด [45]
    • คุณหมออาจจ่ายยาปฏิชีวนะมาให้กิน เพื่อรักษาสิวจากภายใน
    • นอกจากนี้คุณหมออาจจ่ายยาคุมกำเนิดให้กินร่วมด้วย ในกรณีที่สิวเกิดจากฮอร์โมนไม่สมดุล
  3. 3
    ถ้าสิวลุกลามให้หาหมอด่วน. ถึงบางวิธีธรรมชาติก็แก้สิวเห่อได้ แต่บางเคสอาจต้องใช้ยาแรงถึงจะคุมอยู่ คุณหมอโรคผิวหนังจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง ว่าคุณต้องใช้ยาที่แรงขึ้นหรือไม่ เช่น จ่ายยาปฏิชีวนะให้กินเพื่อไม่ให้สิวเห่อมากไปกว่าเดิม [46]
    • พอสิวหายเห่อ ก็กลับมาดูแลผิวประจำวันตามปกติได้
  4. 4
    ถ้าไม่ใช่วัยรุ่น แต่อยู่ๆ ก็มีสิวเห่อ ให้รีบหาหมอ. ถึงส่วนใหญ่จะเป็นกันได้ แต่บางเคส ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วอยู่ๆ มีสิวเห่อ อาจเป็นสัญญาณบอกโรคร้ายแรงบางอย่าง ถ้าหาหมอก็สบายใจได้ เพราะคุณหมอจะตรวจวินิจฉัยให้เอง ว่าคุณมีโรคอะไรเป็นสาเหตุของสิว และต้องดูแลรักษาอย่างไร กรณีนี้ห้ามรักษาเอง รีบไปหาหมอจะปลอดภัยที่สุด [47]
    • ถึงจะไม่ได้เจ็บปวดตรงไหน แต่ถ้าอยู่ๆ สิวเห่อในวัยผู้ใหญ่ ก็แนะนำให้ไปตรวจรักษากับคุณหมอจะดีที่สุด
  5. 5
    ถ้าใช้วิธีไหนในบทความนี้แล้วมีอาการแพ้ ให้รีบหาหมอ. ถึงส่วนใหญ่จะปลอดภัยดี แต่ถ้าคุณใช้รักษาสิวด้วยวิธีธรรมชาติวิธีไหนในบทความวิกิฮาวนี้ แล้วเกิดอาการแพ้ แนะนำให้รีบไปหาหมอทันที จะเป็นคุณหมอประจำตัว หรือแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลใกล้บ้านก็ได้ โดยเฉพาะถ้ามีอาการดังต่อไปนี้ [48]
    • หน้า ปาก และตาบวม
    • หายใจไม่สะดวก
    • คอตีบตัน
    • คล้ายจะเป็นลม
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อย่าให้ผิวขาดน้ำ ผิวถึงจะสวยใส ให้ดื่มน้ำวันละ 6 - 8 แก้ว
  • ลองใช้มาสก์ชาร์โคลขจัดสิว อาทิตย์ละ 1 - 2 ครั้ง ถึงจะเห็นผล
  • ปูผ้าขนหนูสะอาดบนหมอน ใช้รองนอนทุกคืน (หรือกลับด้านแทน จะได้ประหยัดเวลา ไม่ต้องซักบ่อยๆ!) ป้องกันน้ำมันและแบคทีเรียจากใบหน้าตกค้างที่หมอนนานๆ หรือจะใช้ปลอกหมอนแล้วซักทุกวันแทนก็ได้ แบบนี้แบคทีเรียจะไม่กระจาย ช่วยต้านสิวเห่อได้ดี
  • รักษาสิวไปทีละวิธี จะได้รู้ว่าอะไรได้ผล อะไรไม่ได้ผล ถ้าไม่ได้ผลก็จะได้ตัดไปทีละวิธี เหลือแต่วิธีดีๆ ที่ช่วยลดสิวในที่สุด
  • ล้างหน้าด้วยสบู่ก้อน แล้วทาด้วยเบคกิ้งโซดาผสมน้ำจนเหนียวข้น สุดท้ายล้างน้ำให้สะอาด ทำแบบนี้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง
  • ถ้าสาวๆ คนไหนเป็นสิวขั้นรุนแรง แสดงว่าอาจจะมีปัญหาฮอร์โมนไม่สมดุล จนทำให้สิวเห่อ เช่น ผู้หญิงที่มีกลุ่มอาการถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่ (polycystic ovarian syndrome (PCOS)) จะมีการทดสอบฮอร์โมนโดยหาระดับเอสโตรเจนจากน้ำลาย มักพบว่าเอสโตรเจนสูงไป ส่วนโปรเจสเตอโรนก็ต่ำไป อาการนี้เรียกว่า “ภาวะเอสโตรเจนเกิน (estrogen dominance)” ต้องได้รับครีมโปรเจสเตอโรนทดแทน (bioidentical progesterone cream) หรือรักษาทางธรรมชาติบำบัดก็เห็นผลดี แล้วจะพบว่าสิวที่เกิดจากอาการนี้ดีขึ้นถึง 50% (หรือมากกว่า ถ้าใช้ครีมโปรเจสเตอโรน) ซึ่งสิวก็ไม่ได้เกิดจากฮอร์โมนไม่สมดุลเสมอไป
  • ถ้าลองใช้ทุกวิธีที่กล่าวมาแล้วสิวยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้หาคุณหมอโรคผิวหนัง (dermatologist) โดยเฉพาะ
  • ว่านหางจระเข้ก็ช่วยขจัดสิวได้
โฆษณา

คำเตือน

  • ห้ามเอาเกลือ sea salt แห้งๆ ไปขัดผิวโดยตรง เพราะจะแสบ ถึงบางอย่างจะดี แต่ก็ต้องใช้แต่พอประมาณและถูกวิธี
โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. http://practicaldermatology.com/2011/04/recommending-topical-moisturizers-clinical-benefits-and-practical-considerations
  2. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/30588129
  3. Kamatou GP, Vermaak I, Viljoen AM, Lawrence BM., Menthol: a simple monoterpene with remarkable biological properties.Phytochemistry. 2013 Dec;96:15-25.
  4. Fournomiti M, Kimbaris A, Mantzourani I, Plessas S, Theodoridou I, Papaemmanouil V, Kapsiotis I, Panopoulou M, Stavropoulou E, Bezirtzoglou EE, Alexopoulos A. Antimicrobial activity of essential oils of cultivated oregano
  5. Efstratiou E, Hussain AI, Nigam PS, Moore JE, Ayub MA, Rao JR.Antimicrobial activity of Calendula officinalis petal extracts against fungi, as well as Gram-negative and Gram-positive clinical pathogens.Complement Ther Clin Pract. 2012 Aug;18(3):173-6.
  6. Sienkiewicz M, Głowacka A, Kowalczyk E, Wiktorowska-Owczarek A, Jóźwiak-Bębenista M, Łysakowska M.The biological activities of cinnamon, geranium and lavender essential oils. Molecules. 2014 Dec 12;19(12):20929-40.
  7. http://www.essentialoils.co.za/irritation.htm
  8. http://www.webmd.com/eye-health/tc/eye-injuries-topic-overview
  9. http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/acne/make-up
  1. Bruce Fife, C.N., N.D.: “The Coconut Oil Miracle”, 5th edition,2013, Penguin Books, NY 10014
  2. https://www.aad.org/media/news-releases/want-clearer-skin-reduce-acne-by-following-these-top-tips-from-dermatologists
  3. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3609166/
  4. http://herbs.lovetoknow.com/How_to_Use_Lemon_Juice_to_Whiten_Skin
  5. Quist, Sven R., et al. "Anti-Inflammatory Effects Of Topical Formulations Containing Sea Silt And Sea Salt On Human Skin In Vivo During Cutaneous Microdialysis." Acta Dermato-Venereologica 91.5 (2011): 597-599. Academic Search Complete. Web. 17 June 2015.
  6. Murphy, K. (2010) Reviews of articles on medicinal herbs. Australian Journal of Medical Herbalism, 22(3), 100-103.
  7. http://www.webmd.com/food-recipes/antioxidants-in-green-and-black-tea
  8. Goldfaden, R.,Goldfaden, G.(2011) Topical Resveratrol Combats Skin Aging. Life Ext. 17(11), 1-5.
  9. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3609166/
  10. Hanley, K. (2010)Immunity superstars: the 10 best foods to fight off colds and flu. Nat. Solutions. 130; 50-54.
  11. http://healthyeating.sfgate.com/list-minerals-sea-salt-8907.html
  12. https://www.beneficialbotanicals.com/facts-figures/comedogenic-rating.html
  13. Bruce Fife, C.N., N.D.: “The Coconut Oil Miracle”, 5th edition,2013, Penguin Books, NY 10014
  14. http://www2.hawaii.edu/~johnb/micro/m140/syllabus/week/handouts/m140.8.3.html
  15. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1360273/
  16. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20657472
  17. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/17893831
  18. http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0254629910001705
  19. https://www.self.com/story/how-to-wash-your-face
  20. http://www.americanskin.org/education/the_skin_youre_in/pdf/poster.pdf
  21. https://www.aad.org/dermatology-a-to-z/for-kids/about-skin/acne-pimples-and-zits/different-kinds-of-pimples
  22. http://www.webmd.com/skin-problems-and-treatments/teen-acne-13/pop-a-zit
  23. http://www.huffingtonpost.com/2012/09/04/is-it-okay-to-pop-pimple_n_1837502.html
  24. http://kidshealth.org/parent/general/body/acne_myths.html
  25. http://www.askdrray.com/pimples-and-acne-can-be-caused-by-food/
  26. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2836431/
  27. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2836431/
  28. http://www.the-gi-diet.org/lowgifoods/
  29. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2836431/#R5
  30. http://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminA-HealthProfessional/
  31. http://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminD-HealthProfessional/
  32. http://ods.od.nih.gov/factsheets/VitaminD-HealthProfessional/
  33. http://www.cancer.org/cancer/cancercauses/sunanduvexposure/sun-and-uv-exposure-landing-page
  34. http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2836431/#R5
  35. https://www.aad.org/public/diseases/acne-and-rosacea/acne#treatment
  36. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acne/symptoms-causes/syc-20368047
  37. https://www.aad.org/public/diseases/acne-and-rosacea/acne#treatment
  38. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acne/symptoms-causes/syc-20368047
  39. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acne/symptoms-causes/syc-20368047

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,775 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา