ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
หลายคนคิดว่าจะพัฒนาการถ่ายรูปของตนเองด้วยการซื้อกล้องใหม่ แต่ที่จริงแล้วในการถ่ายรูปนั้นเทคนิคที่คุณใช้สำคัญมากกว่าคุณใช้อุปกรณ์อะไรถ่าย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ใครๆ ก็สามารถถ่ายภาพให้ดีได้ด้วยกล้องอะไรก็ได้ ถ้าคุณฝึกฝนมาเพียงพอและหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่คนทั่วๆ ไปไม่ค่อยรู้ตัว
ขั้นตอน
-
1ลองคิดถึงรูปแบบการใช้ชีวิตของคุณ และวิธีที่คุณใช้กล้อง. การเลือกซื้อกล้องคุณอาจจะพบว่ามันมีตัวเลือกหลายรุ่นหลายยี่ห้อเหลือเกิน มีกล้องหลายแบบ ความแตกต่างของลักษณะกล้องและความสามารถของกล้องแต่ละกล้องก็เยอะซะจนไม่สามารถเขียนได้หมดในบทความเดียว แต่ให้คุณลองใช้หลักง่ายๆ เหล่านี้ดู
- ถ้าคุณอาศัยอยู่ในย่านที่ดูไม่ค่อยปลอดภัย อย่าเดินถือกล้องที่ดูหรูหราแกว่งไปมา ยังมีกล้องที่มีความสามารถดีในระดับมืออาชีพที่ดูภายนอกแล้วก็เหมือนกล้องธรรมดา กล้องขนาดเล็กก็เหมาะกับงานในลักษณะนี้
- อย่าเลือกกล้องจากสี. กล้องสีอ่อนจะมองเห็นได้ง่ายเกินไปเมื่อคุณพยายามจะแอบถ่ายภาพสัตว์ หรือภาพแอบถ่ายอื่นๆ แถมยังดูเก่าแล้วก็ไม่สวยได้ง่ายด้วย
- ขนาด เทคโนโลยี และราคาของกล้อง อาจจะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญเสมอไป ไม่ใช่ว่ากล้องราคาถูกจะไม่ดี แล้วก็ไม่ใช่ว่ากล้องราคาแพงจะดีเสมอไป กล้อง DSLR ขนาดใหญ่ อาจจะใหญ่เกินไปแล้วก็ไม่คล่องตัวกับช่างภาพ ในทางกลับกัน กล้องราคาถูกที่คุณภาพต่ำก็อาจจะทำให้ได้ภาพมัวๆ คุณภาพติ่เช่นเดียวกัน
- กล้องแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียของมันเอง กล้องบางตัวก็ซับซ้อน เต็มไปด้วยความสามารถมากมายที่คุณอาจไม่ได้ใช้งานมัน ซึ่งความสามารถเหล่านี้ก็มีผลกับราคาของกล้องด้วย ถ้าโทรศัพท์ของคุณมี GPS อยู่แล้วคุณก็ไม่จำเป็นต้องมีระบบ GPS ในกล้องอีก ถ้าคุณมีโปรแกรมตกแต่งรูปที่บ้านอยู่แล้ว คุณอาจไม่จำเป็นต้องใช้ฟิลเตอร์สร้างเอฟเฟกต์จากกล้อง กล้องส่วนมากมักไม่สามารถกันน้ำ กันความเย็น กันกระแทกจากการหล่น ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณควรพิจารณาหากคุณเป็นนักผจญภัย หรือเป็นพวกซุ่มซ่าม
-
2เลือกกล้องที่สามารถถ่ายภาพคมชัดได้ง่าย. มีเลนส์ที่สามารถขยายภาพ (Optical Zoom) ในอัตราสูง ความเร็วชัตเตอร์สูง มีความไวในการรับแสงได้ดี (ISO) และมีลักษณะการถ่ายภาพที่หลากหลาย ไม่ต้องกังวลนักว่าความละเอียดของภาพจะละเอียดกี่ล้านพิกเซล กล้องคุณภาพต่ำที่มีจำนวนพิกเซลสูงๆ ก็ยังไม่สามารถให้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพดีเท่ากับกล้องคุณภาพสูงที่มีพิกเซลน้อยได้ ช่างภาพมืออาชีพหลายคนถ่ายภาพที่มีคุณภาพด้วยกล้องเก่าๆ การใช้กล้องที่มีความละเอียดมากกว่า 10 ล้านพิกเซลก็จะเหมาะกับงานที่ต้องการภาพถ่ายคุณภาพสูง
- ให้เลือกกล้องที่ใช้การขยายภาพ (Zoom) ด้วยเลนส์ (Optical Zoom) ไม่ใช่การซูมภาพด้วยวิธีอื่น การซูม คือ การดึงวัตถุให้ปรากฏในกล้องได้ใกล้ขึ้น ซึ่งมีประโยชน์มากกับการถ่ายภาพในสวนสัตว์ หรือการถ่ายภาพกีฬา การซูมด้วยเลนส์จะให้ภาพคมชัดไม่ว่าคุณจะดึงภาพเข้ามาใกล้แค่ไหน ในขณะที่การขยายแบบดิจิทัล (Digital Zoom) หรือแบบอื่นๆ จะทำให้วัตถุสูญเสียความคมชัดไป และจะยิ่งเบลอมากขึ้นเมื่อคุณขยายภาพมากขึ้น
- ความเร็วชัตเตอร์ (Shutter Speed) เป็นตัวกำหนดว่าคุณจะถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้เร็วที่สุดเท่าไหร่ ยิ่งค่านี้สูงก็แปลว่าคุณสามารถจับภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวให้เป็นภาพนิ่งได้ แต่ว่าคุณก็สามารถ “โกง” โดยใช้ความสามารถของกล้องวิดีโอความละเอียดสูงในการจับภาพที่เคลื่อนไหวเร็วๆ ได้ โดยการใช้โปรแกรมจับภาพหน้าจอขณะที่หยุดภาพจากวิดีโอที่คุณถ่ายมา
- ค่าความไวแสง (ISO) สูงๆ มีประโยชน์ในการถ่ายภาพในที่แสงน้อย และวัตถุเคลื่อนไหว ถ้าไม่มีตัวรับภาพที่ค่าความไวแสงดีๆ คุณอาจได้ภาพที่มีจุดๆ (noise) เต็มไปหมดเมื่อถ่ายภาพในที่แสงน้อย คุณคงเคยเห็นภาพที่ดูสวยบนเว็บไซต์ แต่เมื่อขยายภาพเข้าไปคุณจะเห็นจุดสีกระจายอยู่เต็มภาพ นั่นคือ noise อย่างไรก็ตามพวกช่างภาพมืออาชีพก็รู้ดีว่าจะยอมให้จุดรบกวนพวกนี้เข้ามาในภาพได้ขนาดไหน ในขณะที่ยังสามารถรักษาความคมชัดของภาพไว้ได้อยู่
- เช่นเดียวกัน คือ กล้องที่มีตัวรับแสงความไวสูงจะถ่ายภาพในที่แสงน้อยซึ่งห้ามใช้แฟลชหรือ ไม่ต้องการใช้แฟลช ได้ดีกว่า เช่น ในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ การถ่ายภาพวัตถุที่มีผิวสะท้อนแสง การถ่ายภาพกลางคืน หรือคอนเสิร์ต
- ควรระวังเวลาเลือกซื้อกล้องที่มีระบบออโต้โฟกัส เพราะข้อเสียของระบบนี้ในกล้องคุณภาพต่ำก็คือ มันจะใช้เวลานานในการจับภาพและทำให้คุณพลาดการเก็บภาพในจังหวะที่ดีที่สุดไป และยังทำให้เปลืองแบตเตอรี่ด้วย เพราะกล้องจะพยายามจับภาพวัตถุให้คมที่สุด แต่หากเป็นภาพเคลื่อนไหว เช่น ดอกไม้ปลิวอยู่บนอากาศ กล้องจะไม่สามารถจับภาพได้ กล้องที่มีระบบออโต้โฟกัสคุณภาพดีอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า และคุณก็ยังสามารถปิดระบบนี้ได้ด้วยหากคุณไม่ต้องการใช้มัน
- ตัวเลือกรูปแบบการถ่ายภาพ (Mode) ในกล้องจะมีประโยชน์มาก เมื่อคุณไม่แน่ใจว่าควรจะตั้งค่าอะไรบ้างเพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด กล้องบางตัวจะมีโหมดอัจฉริยะ ซึ่งกล้องจะเลือกรูปแบบที่เหมาะสมให้เอง ทั้งการเลือกค่าอุณหภูมิสี ความคมชัด ความเข้มสี สีของแสง และภาพเคลื่อนไหวด้วย เมื่อคุณเข้าใจเรื่องพวกนี้แล้วคุณก็ค่อยๆ ปรับไปตามรูปแบบของคุณเอง
- ซื้อขาตั้งกล้อง ซึ่งจะช่วยให้กล้องของคุณอยู่นิ่งได้จริงๆ บางครั้งมันก็ยากที่จะได้ภาพที่ดีที่สุดในบางสถานการณ์ เพราะว่ากล้องตอบสนองกับทุกอย่างได้เร็วมาก จนแม้กระทั่งการสั่นไหวเพียงนิดเดียวก็ทำให้ภาพที่ออกมาดูน่าผิดหวัง บางครั้งขาตั้งกล้องก็สามารถช่วยให้กล้องคุณภาพต่ำเก็บภาพที่ดูดีได้ด้วย
- สะสมอุปกรณ์อื่นๆ เพิ่มเติม เช่น กระเป๋ากล้อง การ์ดความจำ แบตเตอรี่ หรือที่ชาร์จ และถ้าคุณไปเที่ยวที่เปียกๆ คุณควรมีชุดกันน้ำที่พอดีสำหรับกล้องของคุณโดยเฉพาะ และอย่าลืมอุปกรณ์ทำความสะอาดเลนส์และฝาปิดเลนส์ หากคุณจะมีกล้องมากกว่า 1 กล้องเพื่อใช้ในรูปแบบที่ต่างไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
- เลือกใช้หน่วยความจำที่เยอะที่สุดให้กับกล้องของคุณ เพราะหน่วยความจำขนาดเล็กอาจนำไปสู่การได้ภาพคุณภาพต่ำ
- ใช้กล้องจากมือถือหรือแท็บเล็ตถือเป็นความเสี่ยงของคุณเอง เพราะไม่ว่าคุณจะทำยังไง กล้องพวกนี้จะไม่สามารถให้ภาพที่มีคุณภาพสูงได้เลย ยกเว้นว่ากล้องของคุณจะมีความละเอียดมากกว่า 10 ล้านพิกเซล มีอัตราการขยายภาพสูง และมีตัวรับแสงที่ดี ซึ่งถ้ามีครบโดยทั่วไปก็จะราคาแพงมาก
โฆษณา
-
ตั้งค่าความละเอียดของกล้องให้สูงที่สุดเพื่อถ่ายภาพที่มีคุณภาพสูง. ภาพถ่ายความละเอียดต่ำจะแก้ไขอะไรภายหลังได้ยากกว่า เช่น คุณจะไม่สามารถตัดภาพบางส่วนออกไปได้เยอะเท่าที่คุณจะทำกับภาพความละเอียดสูงกว่า (โดยภาพที่เหลือยังละเอียดพอที่จะพิมพ์ออกมาได้) เพิ่มหน่วยความจำให้เยอะขึ้น ถ้าคุณไม่อยากเปลี่ยนหรือ ยังไม่มีเงินซื้อมันตอนนี้ ลองดูว่าหากกล้องของคุณสามารถทำได้ ก็ให้ตั้งค่าคุณภาพภาพถ่ายไว้ที่ “คุณภาพดี” (fine) โดยใช้ความละเอียดที่น้อยลง
-
เริ่มต้นจากการตั้งค่ากล้องของคุณให้เริ่มต้นที่โหมดอัตโนมัติสักโหมดหนึ่ง. โหมดที่มีประโยชน์ที่สุดในกล้อง DSLR คือ โหมดโปรแกรม หรือ โหมด “P” อย่าพึ่งสนใจคำแนะนำที่บอกให้คุณตั้งค่ากล้องทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะการพัฒนาพวกระบบออโต้โฟกัสหรือการวัดแสงเขาทำขึ้นมาเพื่อการนี้ แต่ถ้าคุณถ่ายภาพแล้วพบว่ามันโฟกัสผิด หรือ วัดแสงผิด ถึงตอนนั้นก็ค่อยตั้งค่าทุกอย่างด้วยตนเองโฆษณา
-
นำกล้องติดตัวคุณไป “ทุกที่”. เมื่อคุณมีกล้องอยู่ติดตัว คุณจะเริ่มมองโลกเปลี่ยนไป คุณจะมองหาโอกาสที่จะได้ถ่ายภาพที่สวยที่สุด และนั่นก็จะทำให้คุณ “ถ่ายภาพมากขึ้น” และยิ่งคุณถ่ายภาพมากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะเป็นช่างภาพที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ยิ่งกว่านั้น หากคุณถ่ายภาพเพื่อนๆ หรือครอบครัวของคุณ พวกเขาก็จะชินกับการที่คุณมีกล้องติดตัวตลอดเวลา ดังนั้นพวกเขาจะไม่รู้สึกเขินอาย หรือถูกคุกคามเวลาที่คุณเอากล้องออกมา ซึ่งก็จะทำให้คุณได้ภาพที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
- หากคุณใช้กล้องดิจิทัล อย่าลืมเตรียมแบตเตอรี่สำรองหรือชาร์จแบตให้เต็มก่อน
-
ออกไปข้างนอก. กระตุ้นตัวเองให้ออกไปถ่ายภาพภายใต้แสงธรรมชาติ ลองถ่ายภาพแบบ “เล็งแล้วถ่าย” หลายๆ ภาพ เพื่อให้เห็นความแตกต่างของสภาพแสงในแต่ละช่วงเวลาของวัน ทั้งกลางวันและกลางคืน หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่า “ช่วงเวลาทองคำ" (2 ชั่วโมงสุดท้ายของแสงอาทิตย์) เป็นช่วงที่แสงสวยที่สุดสำหรับการถ่ายภาพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ถ่ายภาพในช่วงอื่นของวัน ในวันที่แสงแดดแรง บางครั้งแสงที่ลอดผ่านธรรมชาติลงมาก็สร้างแสงสวยๆ ดึงดูดใจได้เหมือนกัน (โดยเฉพาะกับคน) จงออกไปข้างนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผู้คนกำลังทานอาหาร ดูทีวี หรือนอนหลับ การจัดแสงมักจะทำให้หลายๆ คนรู้สึกทึ่งได้เสมอ “เพราะว่าพวกเขาไม่เคยเห็นมัน”โฆษณา
-
อย่าให้หมวก นิ้วมือ สายคล้อง หรือวัตถุอื่นๆ มาบดบังเลนส์ของคุณ. มันเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่สิ่งเหล่านี้ซึ่งคุณมักจะไม่ทันสังเกตเห็น จะทำลายภาพของคุณ มันอาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับกล้องสมัยใหม่ที่มีช่องดูภาพแบบดิจิทัล และยิ่งไม่เป็นปัญหากับกล้อง SLR อย่างไรก็ตาม คนจำนวนมากก็ยังพลาดสิ่งเล็กๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องถ่ายภาพแบบเร็วๆ
-
ตั้งค่าสมดุลแสงขาว (white balance). พูดง่ายๆ คือ ตาคนเราจะปรับชดเชยเข้ากับสภาพแสงต่างๆ โดยอัตโนมัติ เราจะเห็นสีขาวเป็นสีขาวในเกือบทุกสภาพแสง แต่กล้องดิจิทัลจะปรับชดเชยค่านี้โดยการขยับค่าสีไปทางใดทางหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น ภายใต้แสงทังสเตน (หลอดไส้) กล้องจะขยับค่าแสงเข้าหาสีน้ำเงิน เพราะแสงทังสเตนจะค่อนไปทางสีแดง ในทางตรงข้าม ถ้าเป็นแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนท์ กล้องจะขยับค่าสีไปทางสีแดงเพื่อชดเชยค่าแสงสีน้ำเงิน กล้องบางรุ่นจะมีการตั้งค่าสมดุลแสงขาว ทังสเตน และ ฟลูออเรสเซนท์ด้วย การทดลองใช้การตั้งค่าแบบต่างๆ และสังเกตผลของมันเพื่อเรียนรู้การตั้งค่าเหล่านี้จะเป็นประโยชน์กับคุณเอง “ค่าสมดุลแสงขาว เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่กลับถูกใช้งานน้อยกว่าที่ควรจะเป็นในกล้องสมัยใหม่” ลองเรียนรู้ที่จะตั้งค่ามัน ดูว่าผลที่ได้ต่างกันอย่างไร ถ้าคุณไม่ได้ถ่ายภาพภายใต้แสงสังเคราะห์ การตั้งค่าให้เป็น “ในร่ม” (Shade) หรือ “เมฆมาก” (Cloudy) มักจะใช้ได้กับทุกสถานการณ์ จะทำให้ได้ภาพที่แสงดูอบอุ่น ถ้าสีภาพออกมาแดงเกินไป สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ในโปรแกรม ขณะที่การตั้งค่า “อัตโนมัติ” เป็นค่าเริ่มต้นของกล้อง บางครั้งก็ได้ภาพที่ดี แต่บางครั้งก็ทำให้ภาพออกมาสีอมฟ้า [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง- การตั้งค่านี้เรียกอีกอย่างได้ว่าการตั้งค่าอุณหภูมิสี
-
ถ้าไม่ได้อยู่ในที่แสงน้อยลองตั้งค่าความไวแสงให้ช้าลง. นี่อาจไม่ใช่ปัญหาสำหรับกล้องดิจิทัล SLR แต่กับกล้องแบบเล็งแล้วถ่าย (ซึ่งมักจะมีเซนเซอร์เล็กและเกิดคลื่นรบกวนได้ง่าย) การตั้งค่า ISO ให้ช้าลง (ตัวเลขน้อยลง) จะช่วยทำให้ปริมาณจุดรบกวนน้อยลง แต่ก็เป็นการบังคับคุณให้ต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ช้าลงด้วย ความสามารถในการถ่ายวัตถุที่เคลื่อนไหวก็จะถูกจำกัดตามไปด้วย หากคุณถ่ายวัตถุนิ่งในที่แสงเพียงพอ (หรือถ่ายวัตถุนิ่งในที่แสงน้อย แต่คุณใช้ขาตั้งกล้องและรีโมทกับกล้อง) ให้ใช้ค่าความไวแสงที่ต่ำที่สุดที่คุณมีโฆษณา
-
จัดองค์ประกอบภาพอย่างตั้งใจ. วางกรอบภาพในหัวของคุณก่อนที่จะมองผ่านกล้อง คิดถึงกฎต่อไปนี้ โดยเฉพาะข้อสุดท้าย
- ใช้กฎสามส่วน จุดสำคัญที่สุดของภาพควรจะอยู่บนเส้นที่ 3 อย่าให้เส้นแนวนอนหรือเส้นอื่น “ตัดผ่ากลางภาพ” [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- กำจัดพื้นหลังที่ดูรกยุ่งเหยิง ลองเลื่อนตำแหน่งเพื่อหลีกเลี่ยงภาพที่ดูเหมือนมีต้นไม้งอกออกมาจากศีรษะของแบบ เปลี่ยนมุมเพื่อหลีกเลี่ยงแสงสะท้อนจากกระจกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ถ้าคุณถ่ายภาพการไปเที่ยวพักผ่อน ลองให้เวลาครอบครัวของคุณวางของรกๆ ที่พวกเขากำลังหิ้วอยู่ เอากระเป๋าเป้และกระเป๋าคาดเอวออก และก็เอาของเหล่านั้นออกไปให้พ้นภาพด้วย แล้วคุณจะได้ภาพที่ไม่ดูรกยุ่งเหยิง และดูสวยขึ้น ถ้าคุณสามารถทำให้ฉากหลังเบลอได้เวลาถ่ายรูปคน ทำเลย
-
ลืมคำแนะนำข้างบนซะ. คิดว่ามันเป็น “กฎ” ที่บังคับใช้แต่ก็มักจะขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ด้วย และก็ไม่ใช่กฎที่บังคับใช้ตลอดเวลา เพราะการยึดติดกับคำแนะนำเหล่านั้นตลอดจะทำให้คุณได้ภาพที่ดูน่าเบื่อ ลองถ่ายภาพฉากหลังที่ดูยุ่งเหยิงเห็นทุกรายละเอียดก็อาจสร้างบริบท ความแตกต่าง และสี การถ่ายภาพที่สมมาตรกันสุดๆ ก็สามารถทำให้ภาพดูน่าสนใจ เป็นต้น กฎทุกข้อสามารถและ “ควรจะ” ถูกทำลายได้หลายๆ ครั้ง เพื่อผลทางศิลปะ นี่เป็นวิธีที่ภาพเจ๋งๆ หลายภาพเกิดขึ้นมา
-
ถ่ายภาพแบบเต็มกรอบ. อย่ากลัวที่จะเข้าใกล้แบบของคุณ หรือถ้าคุณใช้กล้องที่มีความละเอียดพิกเซลสูงมากๆ ก็อาจจะไปตัดภาพในโปรแกรมทีหลังก็ได้
-
ลองถ่ายภาพในมุมที่น่าสนใจ. แทนที่จะถ่ายวัตถุจากมุมตรงธรรมดา ก็ลองถ่ายจากมุมสูงลงมา หรือคุกเข่าแล้วถ่ายเสยขึ้น เลือกมุมที่โชว์สีเยอะที่สุดแล้วเห็นเงาน้อยที่สุด การถ่ายภาพจากมุมต่ำจะทำให้วัตถุดูสูงยาวขึ้น หรือลองถือกล้องเหนือวัตถุก็จะทำให้วัตถุดูเล็กลง หรือทำให้รู้สึกว่าคุณลอยอยู่เหนือวัตถุนั้น ลองถ่ายภาพจากมุมแปลกๆ บ้าง จะทำให้ภาพที่ได้ดูน่าสนใจมากขึ้น
-
โฟกัสให้ถูก. การโฟกัสภาพผิดเป็นสาเหตุหลักอันหนึ่งที่ทำให้ภาพดูแย่ ถ้ากล้องของคุณมีโหมดออโต้โฟกัสให้ใช้มันซะ ปกติการกดปุ่มชัตเตอร์ครึ่งนึงกล้องจะโฟกัสวัตถุให้คุณเอง และถ้าคุณจะถ่ายภาพโคลสอัพ ก็ใช้ “โหมดมาโคร” “อย่าโฟกัสภาพด้วยตัวเอง” นอกจากว่าระบบโฟกัสอัตโนมัติของคุณจะมีปัญหา เพราะการใช้ระบบโฟกัสอัตโนมัติก็เหมือนกับการวัดแสงนั่นแหละ ที่กล้องมักจะทำได้ดีกว่าคุณเสมอ
-
6จัดสมดุลให้กับค่า ISO ความเร็วชัตเตอร์ และ รูรับแสง. ISO คือ ค่าที่แสดงว่ากล้องของคุณจะตอบสนองต่อแสงได้ไวขนาดไหน ความเร็วชัตเตอร์เป็นตัวกำหนดว่า กล้องของคุณจะใช้เวลานานแค่ไหนในการถ่ายภาพ (ซึ่งแปรผกผันกับปริมาณแสงที่เข้ามา) รูรับแสง คือ ค่าที่บอกว่าเลนส์ของคุณเปิดออกขนาดไหน ซึ่งความสามารถเหล่านี้ไม่ได้มีในกล้องทุกชนิด แต่กล้องดิจิทัลโดยมากจะมี การตั้งค่าเหล่านี้ให้สมดุลกันโดยที่แต่ละค่าอยู่ใกล้ค่าตรงกลางให้มากที่สุด จะช่วยลดโอกาสการเกิด noise จากการใช้ค่าความไวแสงสูง หรือภาพไม่ชัดเพราะใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำเกินไป หรือ ช่วงระยะภาพที่มีความคมชัดน้อยเพราะใช้ค่ารูรับแสงกว้างไป แต่ก็ขึ้นกับว่าคุณต้องการภาพแบบไหนด้วย คุณควรตั้งค่าเหล่านี้ให้ภาพออกมาตามที่คุณต้องการและยังคงได้แสงที่พอเหมาะด้วย ยกตัวอย่างเช่น คุณถ่ายภาพนกที่บินขึ้นมาจากน้ำ คุณต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงเพื่อให้ภาพนกคมชัด และต้องใช้ค่ารูรับแสงต่ำ หรือค่าความไวแสงสูงเพื่อชดเชยแสง แต่การใช้ค่าความไวแสงสูงจะทำให้ภาพคุณดูเป็นเม็ดๆ ดังนั้นคุณควรเลือกใช้ค่ารูรับแสงต่ำ เพราะนอกจากจะได้ค่าแสงที่ถูกต้องแล้ว คุณยังได้ภาพฉากหลังเบลอๆ ที่จะยิ่งทำให้ตัวนกดูเด่นขึ้นมาด้วย ลองจัดสมดุลให้ค่าเหล่านี้ดีๆ แล้วคุณจะได้ภาพที่เยี่ยมที่สุดโฆษณา
-
อยู่นิ่งๆ. หลายคนแปลกใจว่า ทำไมภาพที่ถ่ายมาถึงดูเบลอขนาดนี้ เวลาที่ถ่ายภาพโคลสอัพ หรือถ่ายภาพจากระยะไกล วิธีต่อไปนี้อาจจะช่วยได้ ถ้าคุณใช้กล้องขนาดใหญ่ที่มีเลนส์ซูม ถือตัวกล้องด้วยมือหนึ่งข้างที่ใช้กดชัดเตอร์ และเอามืออีกข้างประคองเลนส์ให้นิ่งจากด้านล่าง เก็บศอกให้ชิดลำตัว และทำตัวให้มั่นคงในท่านี้ ถ้ากล้องหรือเลนส์ของคุณมีตัวช่วยทำให้ภาพนิ่ง ให้ใช้ตัวช่วยนี้ (ในอุปกรณ์ของยี่ห้อ Canon เรียกว่า IS และของยี่ห้อ Nikon เรียกว่า VR)
-
ลองพิจารณาที่จะใช้ขาตั้งกล้อง. ถ้าปกติคุณเป็นคนมือสั่น หรือคุณใช้เลนส์ถ่ายภาพระยะไกลขนาดใหญ่ (และช้า) หรือคุณถ่ายภาพในที่แสงน้อย หรือ คุณต้องถ่ายภาพหลายภาพต่อเนื่อง (เช่นการถ่ายภาพที่มีความแตกต่างของแสงมาก HDR) หรือคุณกำลังถ่ายภาพพาโนรามา การใช้ขาตั้งกล้องดูจะเป็นความคิดที่ดี สำหรับภาพที่ต้องใช้เวลาถ่ายนาน (มากกว่า 1 วินาที) ใช้สายลั่นชัตเตอร์ (สำหรับกล้องฟิล์มรุ่นเก่า) หรือใช้รีโมท หรือคุณจะใช้การตั้งเวลาถ่ายภาพของกล้องก็ได้เช่นกัน
-
เลือกที่จะ “ไม่ใช้” ขาตั้งกล้อง โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้มีอยู่แล้ว. ขาตั้งกล้องจะจำกัดการเคลื่อนไหวของคุณ ทำให้คุณย้ายมุมกล้องได้ไม่ทันใจ หนักเวลาที่ต้องแบกมันไปมา แล้วก็จะทำให้คุณหมดกำลังใจในการออกไปถ่ายภาพ
- คุณต้องใช้ขาตั้งกล้องก็ต่อเมื่อค่าความเร็วชัตเตอร์ของคุณ ช้ากว่าหรือเท่ากับค่าทางยาวโฟกัสที่คุณใช้ [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง เช่น ถ้าคุณใช้เลนส์ที่มีทางยาวโฟกัส 300 มม. คุณต้องใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่เร็วกว่า 1/300 วินาที คุณอาจใช้วิธีการเพิ่มค่าความไวแสง (ก็ทำให้คุณเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ได้) หรือใช้ตัวลดการสั่นไหวของภาพจากกล้อง หรือไม่ก็ย้ายไปที่อื่นที่มีแสงมากกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ขาตั้งกล้อง
-
ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ขาตั้งกล้อง แต่คุณไม่ได้เอาติดตัวมา ลองวิธีเหล่านี้เพื่อช่วยลดอาการกล้องสั่น
- เปิดตัวช่วยลดการสั่นไหวที่กล้อง (กล้องดิจิทัลบางรุ่นเท่านั้นที่มี) หรือเลนส์ (โดยปกติก็จะมีเฉพาะในเลนส์ราคาแพง)
- ซูมออก (หรือเปลี่ยนเป็นเลนส์ที่กว้างขึ้น) แล้วเดินเข้าไปใกล้วัตถุมากขึ้น วิธีนี้จะไม่ไปขยายภาพการเปลี่ยนแปลงเล็กๆให้กล้องเห็น แล้วก็เพิ่มขนาดรูรับแสงเพื่อให้เปิดหน้ากล้องให้น้อยลง
- ถือกล้องด้วย 2 มือ ในจุดที่ห่างจากตรงกลางของกล้อง เช่น ตรงตำแหน่งมือจับใกล้ปุ่มกดชัตเตอร์ และมุมตรงข้าม หรือตรงปลายของเลนส์ (แต่อย่าไปจับตรงจุดที่พับได้ง่ายของเลนส์บนกล้องแบบเล็งแล้วถ่าย หรือตรงตำแหน่งที่ขัดขวางการทำงานของกล้อง อย่างแหวนโฟกัส หรือตำแหน่งที่บังหน้าเลนส์) วิธีนี้จะช่วยลดมุมที่กล้องสั่นเพราะมือของคุณ
- กดชัตเตอร์ช้าๆ มั่นคง และเบามือ และอย่าปล่อยจนกว่าภาพจะถูกถ่ายเรียบร้อยแล้ว ให้วางนิ้วชี้ของคุณไว้ที่ด้านบนของกล้อง กดชัตเตอร์ด้วยการเคลื่อนไหวแบบต่อเนื่องโดยใช้ข้อนิ้วข้อที่สองสัมผัส ดูเผินๆ ก็เหมือนคุณกำลังกดลงไปด้านบนของกล้อง
- ดันกล้องของคุณไว้กับอะไรสักอย่าง หรือวางมือคุณไว้กับอะไรสักอย่าง ถ้าคุณกลัวว่าจะทำให้กล้องเป็นรอย หรือแนบแขนคุณเข้ากับตัว หรือนั่งลงแล้ววางแขนไว้บนเข่า
- วางกล้องบนอะไรสักอย่าง (เช่น กระเป๋ากล้องหรือสายคล้อง) และใช้ตัวตั้งเวลาถ่ายภาพเพื่อหลีกเลี่ยงอาการสั่นหากว่าสิ่งที่รองอยู่นุ่ม แต่ก็มีโอกาสเสี่ยงที่กล้องจะหล่น เพราะฉะนั้นเช็คให้ดีว่ามันจะไม่หล่นสูงนัก อย่าใช้วิธีนี้ถ้ากล้องของคุณราคาแพง หรือมีอุปกรณ์เสริม เช่น แฟลช ที่อาจแตกหรือหักได้ แต่ถ้าคุณคิดว่าจะใช้วิธีนี้บ่อยๆ คุณควรพกถุงถั่ว (beanbag) ซึ่งใช้งานแบบนี้ได้ดี มีบีนแบ็กที่ถูกสร้างมาเพื่อใช้งานแบบนี้โดยเฉพาะ ถุงใส่ถั่วแห้งนั้นมีราคาถูก แล้วพอถุงเริ่มทะลุหรือคุณอยากเปลี่ยนถุงของที่อยู่ข้างในก็ยังเอามากินได้ด้วย
-
ผ่อนคลายเวลาที่กดชัตเตอร์. ลองใช้เวลายกกล้องให้สั้นลง เพราะการยกกล้องนานๆ จะทำให้แขนและมือของคุณสั่น ฝึกโฟกัส วัดแสง และถ่ายภาพ ภายในเวลาสั้นๆโฆษณา
-
อย่าให้เกิดตาแดง. ตาแดงเกิดขึ้นจากแสงแฟลชสะท้อนเข้ากับเส้นเลือดที่ในผนังด้านหลังของตา ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อม่านตาของคุณขยายตัวใหญ่ขึ้นเวลาที่อยู่ในที่แสงน้อย ดังนั้นถ้าคุณต้องใช้แฟลชถ่ายภาพในที่แสงน้อย พยายามอย่าให้แบบของคุณมองตรงมายังกล้อง หรืออาจจะยิงแฟลชให้สะท้อนจากที่อื่น ด้วยการหันหัวแฟลชส่องขึ้นเหนือศีรษะของแบบ และยิ่งถ้ากำแพงรอบๆ เป็นสีขาวแล้ว วิธีนี้ก็จะยิ่งทำให้เกิดตาแดงน้อยลง แต่ถ้าคุณไม่ได้มีตัวแฟลชแยกจากกล้องที่สามารถปรับองศาได้ ให้ใช้ฟังก์ชั่นลดตาแดงที่มากับกล้อง ฟังก์ชั่นนี้จะใช้วิธีการยิงแฟลชไปก่อน 2 -3 ครั้ง ก่อนที่จะเปิดชัตเตอร์ เพื่อทำให้ม่านตาของคุณหดตัวลง วิธีนี้ก็จะช่วยลดการเกิดตาแดงขึ้นได้ แต่จะให้ดีกว่านี้ก็คือ อย่าถ่ายภาพที่ต้องใช้แฟลช ให้ลองหาที่อื่นที่มีแสงเพียงพอแทน
-
ใช้แฟลชให้เป็น และถ้าไม่จำเป็นก็อย่าใช้. การใช้แฟลชในที่แสงน้อยมักจะทำให้เกิดการสะท้อนที่ดูน่าเกลียด หรือบางครั้งก็ทำให้วัตถุที่เป็นแบบของคุณดูซีด ซึ่งอย่างหลังนี้โดยมากจะเกิดขึ้นกับคน ในทางกลับกัน แฟลชก็มีประโยชน์ในการช่วยลบเงา เช่น ลบเงาใต้ตาหรือที่เรียกว่า “ตาแรคคูน” เมื่อถ่ายภาพในช่วยเที่ยง (แต่คุณต้องมีแฟลชที่สามารถทำงานได้ไวพอด้วย [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ) ถ้าคุณสามารถหลีกเลี่ยงการใช้แฟลชได้ ไม่ว่าจะด้วยการออกไปถ่ายภาพกลางแจ้ง หรือตั้งกล้องนิ่งๆ (เพื่อเปิดชัตเตอร์ได้นานขึ้นโดยที่ภาพไม่สั่น) หรือเพิ่มความไวแสง (เพื่อใช้ความเร็วชัตเตอร์ได้มากขึ้น) จงทำซะ
- ถ้าคุณไม่อยากให้แสงจากแฟลชเป็นแสงหลักในภาพ ให้ตั้งค่าแฟลชว่าคุณจะใช้รูรับแสงเท่าไหร่ ซึ่งควรจะเป็นค่าที่กว้างกว่าที่คุณใช้วัดแสงจริง 1 สต็อป หรือมากกว่า (ค่าที่ใช้จริงก็จะขึ้นอยู่กับสภาพแสงแวดล้อม และความเร็วชัตเตอร์ที่คุณใช้ ซึ่งต้องต่ำกว่าค่า flash-sync speed) การตั้งค่านี้ทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการเลือกค่ารูรับแสงจากแฟลชแบบแมนนวล (Manual) หรือแบบไทริสเตอร์ (Thyristor) หรือใช้ “โปรแกรมชดเชยแสงแฟลช” ที่มีในกล้องรุ่นใหม่ๆ
โฆษณา
-
ย้อนกลับไปดูภาพที่คุณถ่ายมาแล้วเลือกภาพที่ดีที่สุด. สังเกตดูว่าอะไรทำให้ภาพนั้นเป็นภาพที่ดี แล้วใช้วิธีนั้นสร้างภาพที่ดีที่สุดเพิ่มขึ้น ไม่จำเป็นต้องเสียดายถ้าคุณจะต้องลบหรือโยนภาพบางภาพทิ้งไป ภาพที่ไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกชอบมันได้ก็ควรจะถูกทิ้งไปซะ ถ้าคุณถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิทัลเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่แล้ว คุณไม่ได้เสียอะไรเลย นอกจากเวลา แต่ก่อนที่จะลบภาพทิ้งไป คุณจะต้องเรียนรู้จากมันเสียก่อน ว่าอะไรที่ทำให้ภาพนั้นออกมาดูไม่ดี และก็ “อย่าทำแบบเดิม”
-
2ฝึกฝน ฝึกฝน แล้วก็ฝึกฝน. ถ่ายภาพเยอะๆ ให้เต็มการ์ดความจำ หรือใช้ฟิล์มทั้งหมดที่คุณสามารถจ่ายค่าล้างอัดภาพได้ แต่ที่จริงคุณไม่ควรถ่ายภาพด้วยฟิล์มจนกว่าคุณจะถ่ายภาพจากกล้องดิจิทัลธรรมดาได้ดีเสียก่อน ถึงตอนนั้นคุณจะเรียนรู้ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยที่ไม่ต้องเสียเงิน และก็เป็นการเรียนรู้ที่คุณจะเห็นผลในทันทีเพื่อค้นหาว่าอะไรกันแน่ที่คุณได้ทำพลาดไป ณ สถานการณ์ตรงนั้น ยิ่งคุณถ่ายภาพมากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งทำผลงานได้ดีขึ้น และคุณ(รวมถึงคนอื่นๆ) ก็จะชอบภาพของคุณ
- ถ่ายภาพจากมุมมองใหม่ๆ และหาวัตถุใหม่ๆ เป็นแบบให้กับคุณและถ่ายมันไปเรื่อยๆ คุณสามารถทำให้ภาพธรรมดาที่เห็นกันจนชินตาดูน่าทึ่งได้ ถ้าคุณมีมุมมองการถ่ายภาพที่สร้างสรรค์พอ
- เรียนรู้ข้อจำกัดของกล้องที่คุณใช้ เช่น กล้องของคุณสามารถถ่ายภาพได้ดีขนาดไหนในสภาพแสงแบบต่างๆ ระยะห่างมีผลกับความสามารถในการโฟกัสอัตโนมัติหรือไม่ สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ดีแค่ไหน เป็นต้น
โฆษณา
เคล็ดลับ
- เมื่อถ่ายภาพเด็ก ลงไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา ภาพถ่ายเด็กที่กดลงจากมุมสูงมักจะได้ภาพที่ออกมาดูไม่ดี เลิกขี้เกียจแล้วก็คุกเข่าลงไป
- ถ้าอยากได้ภาพที่น่าสนใจจากสถานที่ท่องเที่ยว ลองดูว่าคนอื่นเขาถ่ายภาพกันจากมุมไหน แล้วก็ย้ายไปถ่ายมุมอื่นซะ คุณไม่อยากได้ภาพเหมือนๆ กับคนอื่นอยู่แล้วนี่
- นำภาพออกจากการ์ดความจำ “ทันทีที่ทำได้” แล้วสำรองข้อมูลไว้ ถ้าเป็นไปได้ก็อาจจะสำรองไว้หลายๆ ชุด ช่างภาพทุกคนเคยมี และคงต้องมีประสบการณ์หัวใจสลายเมื่อภาพของพวกเขาหายไป จนกว่าพวกเขาจะทำสิ่งนี้จนเป็นนิสัย อย่าลืมสำรองข้อมูลทุกครั้ง
- ไม่ต้องกลัวว่าคุณจะถ่ายภาพเยอะเกินไป คุณสามารถถ่ายภาพไปจนกว่าคุณจะรู้สึกว่าคุณได้ภาพที่ดีที่สุด มันอาจต้องใช้เวลาบ้างในการค้นหาองค์ประกอบภาพที่ดีที่สุดให้กับแบบของคุณ ถ้าคุณเจออะไรที่ดูน่าสนใจ ให้ใช้เวลาของคุณกับมันให้เยอะที่สุดเสมือนว่านั่นเป็นสมบัติล้ำค่าของคุณ
- ใช้สายคล้องคอถ้าคุณมี ถือกล้องให้ห่างออกไปจนกระทั่งสายคล้องคอตึง จะช่วยเพิ่มความนิ่งให้กับกล้อง ซึ่งสายคล้องยังช่วยป้องกันไม่ให้กล้องคุณตกกระแทกด้วย
- จดบันทึกในสมุดจดพกพาสักเล่ม เพื่อจำไว้ว่าอะไรที่คุณทำแล้วดี หรืออะไรที่ทำแล้วไม่ดี อ่านสิ่งที่จดไว้บ่อยๆ เพื่อเป็นการฝึกฝน
- เรียนรู้ที่จะใช้โปรแกรมตกแต่งภาพ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถแก้ไขสมดุลสี ปรับแสง ตัดภาพและอื่นๆ อีกหลายอย่าง ส่วนมากกล้องมักจะมาพร้อมกับโปรแกรมแต่งภาพขั้นพื้นฐาน แต่ถ้าคุณต้องการอะไรที่มากกว่านั้น ลองพิจารณาว่าจะซื้อโปแกรมโฟโต้ชอป (Photoshop) หรือ ดาวน์โหลดโปรแกรมแต่งภาพ GIMP ซึ่งเป็นโปรแกรมฟรี หรือใช้โปรแกรมตกแต่งภาพ Paint.Net ( http://www.getpaint.net/download.html ) โปรแกรมฟรีที่ไม่หนักเครื่องสำหรับผู้ใช้วินโดวส์
- สังคมทางตะวันตก ชอบดูภาพถ่ายที่ใบหน้าของคนหรือความสูงของคนเต็มเฟรมภาพ เช่น ไม่เกิน 6 ฟุท (1.8 ม.) – ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวตะวันออก มักจะถ่ายภาพคนที่ยืนห่างกล้องออกไปอย่างน้อย 15 ฟุท (4.6 เมตร) เพื่อที่จะได้เห็นภาพฉากหลังเป็นสถานที่ที่พวกเขาไป ไม่ใช่แค่ภาพถ่ายที่เห็นแต่ภาพ “ตัวเอง”
- ลองสังเกตวิธีการเล่าเรื่องด้วยภาพของช่างภาพสารคดีมืออาชีพจากหนังสือพิมพ์หรือ หนังสือ National Geographic ลองเข้าไปหาแรงบันดาลใจจากพวกเว็บรูปภาพต่างๆ อย่าง Flickr ( http://www.flickr.com/ ) หรือ deviantART ( http://www.deviantart.com/ ) ลองเปิดดู Flickr's camera finder ( http://www.flickr.com/cameras/ ) เพื่อดูว่าคนอื่นๆ ใช้กล้องที่ถูกที่สุดแบบกล้องเล็งแล้วยิงทำอะไรได้บ้าง ดูข้อมูลกล้องจาก deviantART. แต่ก็อย่าดูเพลินจนลืมหาเวลาออกไปถ่ายภาพของคุณเองด้วยนะ
- อัพโหลดไปยัง Flickr หรือ Wikimedia Commons ( http://commons.wikimedia.org/ ) บางทีสักวันคุณอาจะได้เห็นภาพคุณบน wikiHow!
- กล้องของคุณไม่ใช่ปัญหา กล้องทุกตัวมีความสามารถในการถ่ายภาพได้ถ้ามันอยู่ในสภาพที่ดี แม้แต่กล้องที่ติดมากับโทรศัพท์สมัยใหม่ก็ยังสามารถถ่ายภาพได้ดี [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง เรียนรู้ข้อจำกัดของกล้องและทำงานกับมันสักพัก อย่าพึ่งซื้อกล้องใหม่จนกว่าคุณจะรู้แน่ชัดว่า กล้องของคุณมีข้อจำกัดอะไรบ้างที่ทำให้คุณไม่สามารถทำอะไรที่อยากทำได้
- ถ้าคุณใช้กล้องดิจิทัล การถ่ายภาพที่แสงน้อยกว่าความจริงจะสามารถแก้ไขในโปรแกรมได้ง่ายกว่า รายละเอียดที่เป็นเงาดำสามารถแก้ไขได้ แต่รายละเอียดที่ขาวจ้า (เพราะวัดค่าแสงให้สว่างเกินไป) จะไม่สามารถแก้ไขกลับมาได้ เพราะกล้องไม่มีข้อมูลอะไรส่วนนั้นเลย ขณะที่ฟิล์มจะตรงกันข้าม คือ รายละเอียดในส่วนเงาดำจะแย่กว่าแบบดิจิทัล และถึงแม้คุณจะวัดแสงสว่างเกินไปยังไงก็จะไม่ค่อยเจอภาพขาวสว่างจ้า [7] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
คำเตือน
- ขออนุญาตก่อนถ่ายภาพคน สัตว์ที่มีเจ้าของ หรือทรัพย์สินของผู้อื่น ทุกครั้ง มีเพียงกรณีเดียวที่คุณไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก็คือ คุณกำลังถ่ายภาพอาชญากรรม การขออนุญาตก่อนถ่ายภาพทำให้คุณดูสุภาพขึ้นด้วย
- ระวังการถ่ายภาพอนุสาวรีย์ งานศิลปะ หรือแม้กระทั่งสถาปัตยกรรม ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะอยู่ในที่สาธารณะ บางครั้งศาลก็ถือว่านี่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
สิ่งของที่ใช้
- กล้องอะไรก็ได้ที่คุณมี หรือขอยืมมา ใช้ได้ทั้งนั้น
- ถ้าคุณใช้กล้องดิจิทัล หน่วยความจำที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่คุณหาได้ ถ้าคุณใช้กล้องฟิล์มให้เตรียมฟิล์มให้เยอะที่สุดเท่าที่คุณจะมีเงินไปล้างอัดรูป
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ See 5 Reasons to Take Your Camera Everywhere in 2008, http://digital-photography-school.com/blog/5-reasons-to-take-your-camera-everywhere-in-2008/ .
- ↑ For more on white balance, see How to Set White Balance, http://www.kenrockwell.com/tech/whitebalance.htm , by Ken Rockwell.
- ↑ See the Wikipedia article on the subject for a fuller explanation of this.
- ↑ http://www.slrphotographyguide.com/camera/settings/shutter-speed.shtml
- ↑ See Ken Rockwell's page on sync speed at http://www.kenrockwell.com/tech/syncspeed.htm for more details on this.
- ↑ See Your Camera Doesn't Matter, http://www.kenrockwell.com/tech/notcamera.htm by Ken Rockwell.
- ↑ See Film vs. Digital, http://www.kenrockwell.com/tech/filmdig.htm for a more in-depth discussion.
- ↑ See the Wikimedia Commons for a country-by-country breakdown of local laws ( http://commons.wikimedia.org/wiki/Commons:Freedom_of_panorama ).
โฆษณา