PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

การมีชีวิตที่สงบคือการมีชีวิตที่กลมกลืนกับตัวเอง ผู้อื่น และสิ่งที่มีความรู้สึกที่อยู่รอบตัวคุณทั้งหมด แม้ว่าคุณจะพบความหมายของการดำรงอยู่อย่างสงบและการแสดงออกภายนอกของชีวิตที่สงบตามความเชื่อและวิถีชีวิตในแบบของคุณเอง แต่ก็มีแนวคิดพื้นฐานของการมีชีวิตที่สงบที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เช่น การไม่ใช้ความรุนแรง การอดทนอดกลั้น การมีมุมมองที่เป็นกลาง และการเฉลิมฉลองชีวิตที่สุดแสนมหัศจรรย์ บทความนี้เสนอแนะวิธีการที่จะช่วยให้คุณค้นพบเส้นทางสู่ชีวิตที่สงบ ซึ่งเป็นเส้นทางและการเดินทางของชีวิตที่มีแต่คุณเท่านั้นที่จะสร้างมันขึ้นมาได้

  1. เข้าใจว่าการมีชีวิตที่สงบคือกระบวนการภายนอกและภายใน. การจะนิยามคำว่าสงบได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่วิธีง่ายๆ ก็คือการนิยามว่าเป็นการใช้ชีวิตโดยปราศจากความรุนแรง (ทั้งทางร่างกาย จิตใจ จิตวิญญาณ หรืออื่นๆ) และการมีชีวิตที่โอบกอดการเคารพและความอดทน ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ทั้งในโลกข้างนอกและในจิตใจของแต่ละคน :
    • ภายนอก : การมีชีวิตที่สงบคือวิถีชีวิตที่เราเคารพและรักกันและกัน แม้ว่าเราจะต่างกันทั้งในแง่ของวัฒนธรรม ศาสนา และการเมือง
    • ภายใน : เราทุกคนต่างต้องสร้างความสงบ ซึ่งหมายถึงการเข้าใจและเอาชนะความกลัว ความโกรธ การถือทิฐิ และการขาดทักษะทางสังคมที่เป็นต้นเหตุของความรุนแรง เพราะการเพิกเฉยต่อความเดือดดาลภายในย่อมไม่ทำให้พายุที่โหมกระหน่ำอยู่ภายนอกเบาบางลงได้
  2. การเลิกตามหาอำนาจเหนือผู้อื่นและผลลัพธ์ในชีวิตเป็นจุดเริ่มต้นหลักของการมีชีวิตที่สงบ การพยายามควบคุมคนอื่นคือการพยายามยัดเยียดความปรารถนาและความจริงของคุณไปให้คนอื่น แต่การยัดเยียดความปรารถนาของคุณให้คนอื่นแม้ว่าจะมีเจตนาที่ดีก็ถือเป็นการดึงอำนาจจากคนอื่น และทำให้เกิดความไม่สมดุลอย่างใหญ่หลวงที่อาจนำไปสู่ความโกรธ ความเจ็บปวด และการไม่พอใจ การควบคุมความสัมพันธ์จะทำให้คุณขัดแย้งกับคนอื่นร่ำไป วิธีที่ดีกว่าก็คือพยายามเข้าใจคนอื่นก่อนจะพยายามเปลี่ยนแปลง อดทนต่อความแตกต่างอย่างสงบ ใช้การโน้มน้าวและการเป็นผู้นำในการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องเป็นกระโถนท้องพระโรง เป็นคนหัวอ่อน หรือเป็นคนที่ไม่ยืนหยัดเพื่อตัวเอง แต่คือการสร้างความสัมพันธ์มากกว่าจะพยายามมีอำนาจเหนือคนอื่น
    • ความสงบมาก่อนอำนาจ คานธีแสดงให้เห็นแล้วว่า อำนาจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรักนั้นมีประสิทธิภาพกว่าและยั่งยืนกว่าอำนาจที่ได้มาจากการลงโทษ
      • เช่น การควบคุมคนอื่นด้วยพฤติกรรม ท่าที หรือการกระทำที่ข่มขู่จะแสดงผ่านการบังคับมากกว่าการให้เกียรติและความรัก ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่พอใจและความโกรธ แม้ว่าเขาหรือเธอสามารถทำให้คนอื่นทำตาม "แบบ" ของเธอได้ แต่คนรอบข้างก็ไม่ได้ทำอย่างมีความสุข ซึ่งไม่ใช่การใช้ชีวิตอย่างสงบ
      • อีกตัวอย่างก็คือ ครูคนหนึ่งอาจจะใช้การกักบริเวณหรือการลงโทษเพื่อให้นักเรียนเป็นระเบียบเรียบร้อย ในขณะที่ครูอีกคนอาจให้รางวัลที่นักเรียนมีพฤติกรรมที่ดี ทำให้นักเรียนรู้สึกซาบซึ้งและมีแรงบันดาลใจ ครูทั้งสองคนอาจได้ห้องเรียนที่มีระเบียบทั้งคู่....แต่คนไหนล่ะที่จะทำให้นักเรียน อยาก เรียนรู้ และคนไหนล่ะที่จะทำให้นักเรียนเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
    • เรียนรู้ทักษะการต่อรอง การแก้ปัญหาความขัดแย้ง และการสื่อสาร อย่างมีจุดยืน ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะการสื่อสารที่สำคัญและมีประโยชน์ที่ช่วยให้คุณเลี่ยงหรือข้ามผ่านความขัดแย้งกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราไม่สามารถเลี่ยงทุกความขัดแย้งได้ และไม่ใช่ว่าทุกความขัดแย้งจะเป็นเรื่องไม่ดีถ้าเรารู้วิธีที่จะรับมือกับมันอย่างประสิทธิภาพ ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองมีทักษะการสื่อสารเหล่านี้ไม่มากพอ ให้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้มากๆ ความชัดเจนของข้อความเป็นสิ่งสำคัญเสมอในการรักษาความสงบ เพราะความขัดแย้งมักเกิดจากการเข้าใจผิด
    • เวลาสื่อสารกับคนอื่น พยายามเลี่ยงการออกคำสั่ง อบรม แสดงความต้องการของตัวเอง ข่มขู่ หรือถามคำถามโดยมีจุดประสงค์คือเพื่อให้ได้ข้อมูลมากเกินไป การสื่อสารในลักษณะเหล่านี้จะทำให้เกิดความขัดแย้งกับคนอื่นๆ ที่รู้สึกว่าคุณพยายามควบคุมพวกเขามากกว่าจะพูดกับพวกเขาในฐานะคนที่อยู่ในสถานะเท่าเทียมกัน
    • มั่นใจว่าคนรอบตัวคุณสามารถมีชีวิตที่ดีได้เช่นเดียวกับคุณและมนุษย์ทุกคนเท่ากัน ในแง่นี้แม้แต่การให้คำแนะนำก็ยังมีแนวโน้มของการควบคุม ถ้าคุณใช้คำแนะนำเป็นสื่อกลางในการแทรกแซงชีวิตคนอื่นมากกว่าที่จะแค่แสดงความเข้าใจในแบบของคุณโดยไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องทำตามสิ่งที่คุณคิด Dag Hammerskjold นักการทูตชาวสวีดิชเคยกล่าวไว้ว่า "การตอบโดยไม่รู้คำถามนั้นง่ายยิ่งนัก" เวลาที่เราให้คำแนะนำกับคนอื่น เราก็เสี่ยงต่อการทึกทักเอาว่า เราเข้าใจปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอย่างถ่องแท้ ทั้งที่จริงๆ แล้วเรามักจะไม่เข้าใจและมองปัญหาจากประสบการณ์ของเรา จะดีกว่าไหมหากเราเคารพสติปัญญาของผู้อื่นและคอยอยู่เคียงข้างเขา มากกว่าจะพยายามยัดเยียดว่าประสบการณ์ของตัวเองนั้นคือ "คำตอบ" สำหรับพวกเขา วิธีนี้จะทำให้คุณสร้างความสงบมากกว่าความไม่พอใจ การให้เกียรติมากกว่าการลดทอนความสำคัญของมุมมองผู้อื่น และความมั่นใจในสติปัญญาของผู้อื่นมากกว่าที่จะดูถูกพวกเขา
  3. การคิดแบบขาวกับดำและการยึดมั่นในคำตัดสินโดยไม่แม้แต่จะพิจารณามุมมองและแง่มุมของคนอื่นเป็นวิธีที่การันตีได้เลยว่า คุณจะมีชีวิตที่ ปราศจาก ความสงบอย่างแน่นอน การคิดแบบสุดโต่งแบบนี้มักนำไปสู่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยเฉียบพลัน หุนหันพลันแล่น และถูกสิ่งอื่นครอบงำที่ทำให้ไม่ได้รับประโยชน์จากการคิดทบทวนและการคิดให้ถี่ถ้วน แม้ว่าการลงมือทำตามคำตัดสินแบบขาวกับดำได้อย่างมั่นใจจะเป็นเรื่องง่าย แต่มันก็ปิดกั้นความเป็นจริงอื่นๆ ในโลกใบนี้และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งกับคนอื่นได้ง่ายๆ เมื่อคนอื่นไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของคุณ แม้ว่าการเปิดใจและพร้อมที่จะทบทวนความเข้าใจของตัวเองต้องอาศัยความพยายามมากกว่า แต่วิธีนี้ก็คุ้มค่ามากกว่าเพราะคุณจะได้เติบโตในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และอยู่กับผู้อื่นได้อย่างกลมกลืนมากยิ่งขึ้น
    • ทำให้คำตัดสินแบบขาวกับดำเป็นกลางด้วยการพร้อมที่จะตั้งคำถามและคิดทบทวนอยู่เสมอ ยอมรับว่าความเชื่อ ความศรัทธา ความปรารถนา หรือความคิดเห็นของคุณนั้นก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ความเชื่อ ความศรัทธา ความปรารถนา และความคิดเห็นอื่นๆ บนโลกใบนี้ ยึดถือทางสายกลางที่ให้คุณค่าศักดิ์ศรีและคุณค่าของมนุษย์ ปฏิบัติตามสัจธรรมที่ว่า จงปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบเดียวกับที่คุณอยากให้พวกเขาปฏิบัติต่อคุณ (กฎทองคำ)
    • ทำอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตถ้าคุณคิดว่าตัวเองมักจะตัดสินคนอื่นอย่างไม่เป็นกลาง เพราะมันยากที่คุณจะไม่เป็นกลางหากคุณยุ่งกับการทำสิ่งต่างๆ มากมายและพบเจอผู้คนจากหลากหลายอาชีพ
    • เสริมสร้าง อารมณ์ขัน อารมณ์ขันเป็นเสน่ห์ที่ชวนให้คลายโกรธของคนรักความสงบ มีพวกหัวรุนแรงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีอารมณ์ขัน เพราะพวกเขามัวแต่ยุ่งกับเรื่องของตัวเองและจริงจังกับสิ่งที่ตัวเองสนใจมากเกินไป อารมณ์ขันทำให้คุณได้ผ่อนคลายความตึงเครียดและต่อกรกับการคิดแบบสุดโต่งที่ถูกเก็บงำเอาไว้
  4. การอดทนต่อทุกสิ่งที่คุณคิดและทำจะสร้างความแตกต่างในชีวิตของคุณและในชีวิตของคนรอบข้าง การอดทนต่อคนอื่นคือการรู้คุณค่าของความหลากหลาย ความเป็นพหุสังคมในโลกสมัยใหม่ และการเต็มใจที่จะมีชีวิตอยู่และให้ผู้อื่นได้มีชีวิตอยู่ในแบบของตัวเองด้วย เวลาที่เราไม่สามารถอดทนต่อความเชื่อ วิถีชีวิต และความคิดเห็นของคนอื่นได้ สุดท้ายแล้วมันก็จะนำไปสู่การกีดกัน การกดขี่ การลดทอนความเป็นมนุษย์ และท้ายที่สุดคือความรุนแรง การอดทนจึงเป็นหัวใจสำคัญของการมีชีวิตที่สงบ
    • แทนที่จะด่วนสรุปใครในเชิงลบ ให้เปลี่ยนมุมมองของตัวเองและเสริมสร้างความดีงามในตัวผู้อื่น การเปลี่ยนมุมมองของคุณที่มีต่อผู้อื่นจะทำให้คุณได้เริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีต่อการรับรู้เกี่ยวกับตนเองของพวกเขา [1] เช่น แทนที่จะมองว่าใครโง่หรือไร้ความสามารถ ให้เริ่มเรียกพวกเขาว่าเป็นคนเก่ง ทำงานดี และฉลาด คำเรียกเหล่านี้จะหล่อหลอมและกระตุ้นให้พวกเขาพยายามทำให้ดีเหมือนที่คุณมองว่าพวกเขาเป็นอย่างนั้น การมองว่าคนอื่นๆ ว่าเป็นคนน่าสนใจ พิเศษ และชอบช่วยเหลือภายใต้ความอวดเก่ง ความโกรธ และความทรมานอาจนำไปสู่ความเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่เพื่อสิ่งที่ดีกว่าได้
    • ในการเพิ่มความอดทนในชีวิต ให้คุณลองหาบทความเกี่ยวกับการอดทนต่อความคิดเห็นของผู้อื่น การอดทนต่อผู้อื่น และการอดทนต่อมุมมองของผู้อื่นเพิ่มเติม
  5. สงบ . คานธีกล่าวว่า "ฉันพร้อมที่จะตายเพื่อหลายสิ่ง แต่ไม่มีสิ่งใดเลยที่ฉันพร้อมจะฆ่าเพื่อให้ได้มา" คนที่สงบจะไม่ใช้ความรุนแรงกับผู้อื่นหรือสัตว์ (เพราะสัตว์ก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึก) แม้โลกใบนี้จะเต็มไปด้วยความรุนแรง แต่จงเลือกที่จะไม่ให้ความตายและการฆ่าเป็นส่วนหนึ่งของปรัชญาชีวิตคุณ
    • เมื่อไหร่ก็ตามที่มีใครพยายามโน้มน้าวให้คุณเชื่อว่า การใช้ความรุนแรงนั้นไม่เป็นไร ก็ให้ยึดมั่นในความเชื่อและปฏิเสธอย่างสุภาพ รู้ว่าจะมีบางคนที่พยายามจะยั่วยุคุณด้วยการยืนกรานว่า คุณกำลังประเมินผู้คนที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์ของการขัดแย้งต่ำเกินไป คุณรู้ว่านี่ไม่เป็นความจริงและรู้ว่ามันเป็นวิสัยทัศน์บิดเบือนที่ให้คุณค่ากับความขัดแย้งที่ทำให้หลายคนต้องตาย เป็นเด็กกำพร้า หรือไร้ที่อยู่อาศัย Mary Robinson อดีตข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติได้กล่าวไว้ว่า "ประสบการณ์เรื่องความขัดแย้งของฉันทำให้ฉันได้รู้ว่า คนที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งโหยหาความสงบแม้เพียงแค่วันเดียว หากความรุนแรงสามารถยุติได้แม้เพียงแค่วันเดียว ฉันก็ถือว่ายุคทองผ่องอำไพได้เกิดขึ้นแล้ว” ยึดมั่นในความเชื่อนี้จากความเป็นจริงที่ว่า แม้แต่คนที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงเองก็ยังไม่ต้องการความรุนแรง และความสงบเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติก็ถือเป็นความปรารถนาที่ถูกต้องที่เราควรยึดถือไว้
    • การเป็นคนสงบก็คือ การที่เราสามารถปฏิบัติต่อคนที่ใช้ความรุนแรงอย่างมีเมตตาได้ แม้แต่อาชญากรก็สมควรได้รู้ว่าความเมตตาเป็นเช่นไร แต่เมื่อสังคมจับคนเข้าคุก ทรมาน และทำให้ความรุนแรงเกิดขึ้นในคุกและในใจเรา เราก็ไม่ต่างอะไรกับอาชญากรพวกนั้น [2] หาโอกาสที่จะแสดงความเชื่อในหลักการของสังคมที่ยุติธรรมและเสมอภาค (ไม่ใช่แค่พูดว่าตัวเองเชื่อเพียงอย่างเดียว) และเป็นตัวอย่างให้ผู้อื่น
    • หลีกเลี่ยงภาพยนตร์ที่มีความรุนแรง การรายงานข่าวถึงการใช้ความรุนแรง และเพลงที่มีเนื้อหาแสดงความเกลียดชังหรือลดทอนคุณค่าผู้อื่น
    • อยู่ท่ามกลางภาพ เพลง และผู้คนที่สงบสุข
    • พิจารณาเรื่องการหันมารับประทานมังสวิรัติและรับประทานเจอย่างจริงจังเพื่อการดำรงชีวิตอย่างสงบในอนาคต ผู้รักสันติภาพหลายคนมองว่า การใช้ความรุนแรงกับสัตว์ย่อมไม่นำไปสู่การมีชีวิตที่สงบ อ่านว่าสัตว์ถูกเลี้ยงอย่างไรในฟาร์ม ในการล่าสัตว์ และในอุตสาหกรรมผลิตยา และอ่านเกี่ยวกับวิถีชีวิตแบบมังสวิรัติและเจให้มากๆ เพื่อให้คุณเกิดความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่มีความรู้สึกเหมือนกันกับเรา ผนวกความเข้าใจที่คุณได้จากการศึกษาเรื่องเหล่านี้กับแนวคิดเรื่องการมีชีวิตอยู่อย่างสงบ
  6. การทบทวนความคิดเป็นสิ่งสำคัญ การตอบสนองที่หุนหันพลันแล่นหลายครั้งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้าย เพราะไม่ได้ใช้เวลาคิดถึงปัญหาอย่างละเอียดถี่ถ้วนทุกซอกทุกมุม แน่นอนว่าอาจจะมีบางเวลาที่การตัดสินใจลงมืออย่างรวดเร็วก็จำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยเอาไว้ แต่ช่วงเวลาเหล่านี้ก็ไม่สามารถชดเชยหลายช่วงเวลาอื่นๆ ที่การตอบสนองอย่างเอาใจใส่และรอบคอบสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีกว่าในทุกๆ ด้านได้
    • ถ้ามีใครทำให้คุณเจ็บปวดทางกายหรือทางใจ อย่าตอบโต้ด้วยความโกรธหรือความรุนแรง ให้หยุดและคิด และเลือกที่จะตอบโต้อย่างสันติแทน
    • ขอให้อีกฝ่ายหยุดและคิด และบอกพวกเขาว่าความโกรธหรือความรุนแรงนั้นไม่ได้แก้ปัญหาที่มีอยู่ในตอนนี้ แค่บอกว่า "อย่าทำอย่างนั้นเลย" ถ้าพวกเขาไม่ยอมหยุด ให้ออกมาจากที่ตรงนั้นหรือสถานการณ์นั้นๆ
    • หยุดตัวเองก่อน เวลาที่คุณรู้สึกอยากจะตอบโต้ด้วยท่าทีที่แสดงถึงความโกรธ ความคับข้องใจ หรือความหงุดหงิด ให้บอกตัวเองว่า "หยุด" เอาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความสับสนหรือไม่สามารถคิดทบทวนได้ การให้พื้นที่ตัวเองจะทำให้คุณมีเวลาเอาชนะความโกรธที่ปะทุขึ้นมา และแทนที่ความโกรธนั้นด้วยวิธีการแก้ไขปัญหาที่สุขุม ซึ่งรวมถึงการไม่ตอบโต้ด้วย
    • ฝึกการฟังเพื่อสะท้อนกลับ ภาษาพูดเป็นภาษาที่คลุมเครือ และคนที่เครียดก็มักจะพูดอะไรที่ปิดบังข้อความจริงๆ ที่เขาต้องการจะสื่อ John Powell บอกว่า "ในการฟังอย่างแท้จริงนั้น เราเอื้อมไปข้างหลังคำพูด มองมันให้ละเอียดเพื่อหาตัวตนของคนที่ถูกเปิดเผย การฟังคือการค้นหาทรัพย์สมบัติของตัวตนที่แท้จริงขณะที่ถูกเปิดเผยทางวาจาและกิริยาท่าทาง" การฟังเพื่อสะท้อนกลับสำคัญต่อการมีชีวิตที่สงบในแง่ที่ว่า คุณจะเลิกมองคนอื่นจากมุมมองของคุณเพียงอย่างเดียว และจะเริ่มพยายามทำความเข้าใจให้ลึกลงไปว่า อีกฝ่ายกำลังพูดอะไรและหมายความว่าอย่างไรจริงๆ ซึ่งนำไปสู่การเป็นผู้รับและผู้ให้ที่มีประสิทธิภาพ มากกว่าแค่การตอบสนองตามสิ่งที่คุณคิดว่าคุณได้ยินจากการอนุมานและคาดเดา
  7. ให้ อภัย ไม่ใช่แก้แค้น. ตาต่อตาฟันต่อฟันนำไปสู่อะไร มักจะมีแต่ทำให้ตาและฟันของใครต้องหลุดออกมาใช่หรือเปล่า ตาต่อตาฟันต่อฟันเป็นวิธีการที่ไร้สาระและเป็นการยืดเยื้อให้ตัวเองยังต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดี ดูจากบทเรียนวิชาประวัติศาสตร์ที่เรารู้ดีก็ได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน นับถือศาสนาอะไร หรือสร้างวัฒนธรรมอะไรขึ้นมา หัวใจของทุกสิ่งก็คือเราทุกคนต่างเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน มีความมุ่งมาดปรารถนาและความทะเยอทะยานที่จะดูแลครอบครัวและใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ศาสนา และการเมืองไม่ควรเป็นแกนหลักที่ทำให้เกิดความขัดแย้งที่มีแต่จะนำมาซึ่งความโศกเศร้าและการทำลายล้างในโลกใบนี้ เวลาที่คุณรู้สึกอยากจะทำร้ายผู้อื่นเพราะเขาดูถูกชื่อเสียงของคุณ หรือเพราะคุณรู้สึกว่าการกระทำของเขาสมควรได้รับการตอบสนองที่รุนแรงพอๆ กัน ก็เท่ากับว่าคุณยืดเยื้อความโกรธ ความรุนแรง และความเศร้าให้คงอยู่ต่อไป แทนที่สิ่งเหล่านี้ด้วยการให้อภัยเพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตที่สงบ
    • อยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่อดีต การจมปลักอยู่กับสิ่งที่น่าจะเป็นไปและการกลับเข้าไปอยู่ในความเจ็บปวดที่ผ่านมาแล้วทำให้เรื่องแย่ๆ ในชีวิตกลับมามีชีวิตอีกครั้งและทำให้เกิดความขัดแข้งภายในอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การให้อภัยทำให้คุณได้อยู่กับปัจจุบัน มองไปข้างหน้าสู่อนาคต และปล่อยให้อดีตค่อยๆ ผ่านเราไป การให้อภัยเป็นชัยชนะสูงสุด เพราะมันทำให้คุณได้มีความสุขกับการใช้ชีวิตอีกครั้งด้วยการปรองดองกับอดีต
    • การให้อภัยทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้นและทำให้คุณเป็นอิสระจาก ความไม่พอใจ การให้อภัยคือการเรียนรู้ การเรียนรู้ที่จะรับมือกับความรู้สึกเชิงลบที่ปะทุขึ้นจากผลของการกระทำที่ทำให้คุณโกรธหรือไม่พอใจ และคุณก็เรียนรู้จากการยอมรับความรู้สึกเหล่านั้นมากกว่าที่จะเก็บกดมันไว้ และในการให้อภัยนั้น คุณจะได้เห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย ทำให้คุณเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น คุณไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับการกระทำของเขา แค่เข้าใจก็พอ
    • รู้ว่าการปิดบังความโกรธว่าทำไป "เพื่อปกป้องเกียรติของอีกคน" นั้นถือเป็นการดูถูกคนๆ นั้น เพราะวิธีนี้ดึงความเป็นอิสระของคนที่คุณกำลังปกป้องด้วยการที่คุณพูดและตอบโต้แทนเขา (ซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นคน เป็นคนอ่อนแอ ) และเป็นข้ออ้างเพื่อการกระทำความผิดที่รุนแรง เมื่อคิดว่าเกียรติของใครถูกดูหมิ่น ให้เหยื่อเป็นคนพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาเอง (เขาอาจจะไม่ได้เห็นอย่างที่คุณเห็นก็ได้) และหาวิธีแก้ปัญหาผ่านการให้อภัยและความเข้าใจที่มากกว่า
    • แม้ว่าคุณจะรู้สึกให้อภัยไม่ได้ ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ต้องใช้ความรุนแรง แต่ให้ตีตัวออกห่างและเป็นคนที่ดีกว่าแทน
  8. ถ้าไม่มีความสงบจากภายใน คุณก็จะรู้สึกเหมือนอยู่ในภาวะขัดแย้งตลอดเวลา การพยายามเติมเต็มชีวิตด้วยข้าวของหรือทำให้ชีวิตดีขึ้นด้วยการไต่เต้าทางสังคมโดยไม่เคยหยุดเพื่อให้คุณค่ากับคุณค่าภายในจะทำให้คุณไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต เวลาที่คุณอยากได้อะไรมากๆ แล้วคุณไม่ได้ ก็เท่ากับว่าคุณอยู่ในจุดที่ขัดแย้ง การลืมซาบซึ้งถึงสิ่งที่คุณมีนั้นเป็นเรื่องง่ายหากคุณพยายามแต่จะยกระดับข้าวของ อาชีพ บ้าน และชีวิต การมีข้าวของมากเกินไปก็ทำให้เกิดความขัดแย้งและทำให้คุณไม่มีชีวิตที่สงบสุขได้เช่นกัน เพราะคุณตกเป็นทาสของ "ความอยาก" ในข้าวของ ตั้งแต่การทำความสะอาดและการบำรุงรักษา ไปจนถึงประกันภัยและความปลอดภัย
    • เหลือไว้แต่ของที่จำเป็นและตัดสินใจอย่างรอบคอบว่า อะไรที่พัฒนาหรือทำให้ชีวิตของคุณสวยงาม ที่เหลือทิ้งไปให้หมด
    • เวลาที่โกรธ ให้หาที่เงียบๆ ดีๆ เพื่อหยุด หายใจลึกๆ และผ่อนคลาย ปิดทีวี เครื่องเสียง หรือคอมพิวเตอร์ ถ้าเป็นไปได้ให้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือออกไปเดินเล่นเรื่อยเปื่อยสักพัก เปิดเพลงเบาๆ ฟังหรือหรี่ไฟ เมื่อคุณรู้สึกใจเย็นอีกครั้งแล้ว ก็ให้ลุกขึ้นและออกไปใช้ชีวิตต่อ
    • คุณควรอยู่ในที่ๆ สงบอย่างน้อยวันละ 10 นาที เช่น ใต้ร่มไม้ให้เงาหรือในสวนสาธารณะ ที่ไหนก็ได้ที่คุณได้นั่งเงียบๆ โดยไม่มีอะไรมารบกวน
    • การมีชีวิตที่สงบไม่ใช่แค่การอยู่อย่างปราศจากความรุนแรง พยายามสร้างความสงบในทุกด้านของชีวิตด้วยการลดความเครียดให้ได้มากที่สุด หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด เช่น รถติด คนเยอะๆ เป็นต้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ทำได้
  9. การเลือกที่จะมองสิ่งมหัศจรรย์ในโลกใบนี้เป็นยาถอนพิษจากความรุนแรง เพราะมันยากที่เราจะอยากใช้ความรุนแรงกับสิ่งที่เราเห็นว่าสวยงาม น่าอัศจรรย์ใจ มหัศจรรย์ และเบิกบานใจ จริงๆ แล้วความสิ้นหวังที่ใหญ่หลวงที่สุดที่เกิดจากสงครามนั้นมาจากการทำลายความบริสุทธิ์ ความงาม และความเบิกบาน ความเบิกบานนำความสงบมาสู่ชีวิตของคุณ เพราะคุณจะพร้อมที่จะมองเห็นความดีในตัวของผู้อื่นและโลกใบนี้เสมอ ทั้งยังเห็นคุณค่าของแง่มุมที่น่าอัศจรรย์ในชีวิตอีกด้วย
    • อย่าทำลายสิทธิ์ที่จะ มีความสุข ของตัวเอง การรู้สึกไม่มีค่าพอที่จะมีความสุข การกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรถ้าคุณมีความสุข และการกังวลถึงความเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากที่ความสุขหมดลงล้วนเป็นรูปแบบการคิดเชิงลบที่กัดกร่อนการตามหาความเบิกบานในชีวิต
    • ทำในสิ่งที่คุณรัก ชีวิตมีอะไรมากกว่างาน แม้ว่างานจะต้องเป็นสิ่งที่ทำให้คุณหาเลี้ยงชีพได้ แต่คุณก็ต้องเติมเต็มวิสัยทัศน์ของชีวิตด้วยเช่นกัน หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ได้ให้แนวทางไว้ว่า "อย่ามีชีวิตอยู่กับอาชีพที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และธรรมชาติ อย่าลงทุนในบริษัทที่พรากโอกาสในการมีชีวิตไปจากผู้อื่น เลือกอาชีพที่ทำให้เมตตาจิตในอุดมคติของคุณเป็นจริง" ตัดสินใจว่าจะนำความหมายของแนวทางนี้มาใช้มากแค่ไหน และหางานที่ช่วยรักษาชีวิตที่สงบ
  10. สร้างการเปลี่ยนแปลงที่คุณอยากเห็นบนโลกใบนี้. นี่ไม่ใช่แค่การอ้างถึงคำพูดของคานธีโดยทั่วไป แต่เป็นคำพูดเพื่อกระตุ้นให้ลงมือทำ และมีวิธีการเชิงรุกมากมายที่คุณสามารถทำได้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่สงบที่คุณอยากเห็นบนโลกใบนี้ ได้แก่ :
    • เปลี่ยนตัวเอง ความรุนแรงเริ่มจากการที่เรายอมรับว่า ความรุนแรงสามารถนำมาใช้แก้ปัญหาได้และบ่อยครั้งความรุนแรงก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นหากจะหยุดความรุนแรงได้ คุณต้องเริ่มจากภายในและมีจิตใจที่สงบก่อน ในการที่จะพยายามไม่ทำร้ายสิ่งมีชีวิตและมีชีวิตที่สงบนั้น คุณต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนแปลงโลก
    • เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา . เป็นคนที่รักทุกคนในแบบที่พวกเขาเป็นจริงๆ ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับคุณ และให้พวกเขาได้เป็นตัวของตัวเองขณะอยู่กับคุณ แล้วคุณจะได้เพื่อนมากมายและได้ความเคารพจากเพื่อนๆ ที่คุณมีอยู่แล้วด้วย
    • เข้าร่วมองค์กร Peace One Day [3] แสดงความมุ่งมั่นที่จะสร้างสันติภาพในโลกใบนี้ทางออนไลน์ด้วยการเฉลิมฉลองวันสันติภาพสากลขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็นวันแห่งการพักรบและอหิงสานานาชาติประจำปีที่จัดขึ้นทุกวันที่ 21 กันยายน
    • พูดคุยกับคนอื่นถึงมุมมองของเขาที่มีต่อสันติภาพ บอกเล่าแนวคิดเกี่ยววิธีที่จะช่วยสร้างโลกที่สงบสุขมากยิ่งขึ้นและวิธีที่จะยอมรับความแตกต่างโดยไม่เกิดความขัดแย้ง คุณอาจจะทำวิดีโอเผยแพร่ออนไลน์ หรือเขียนเรื่อง กลอน หรือบทความเกี่ยวกับความสำคัญของสันติภาพให้ทุกคนได้อ่าน
    • เสียสละเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น การกระทำที่ยิ่งใหญ่สูงส่งที่สุดก็คือ การแสดงความปรารถนาที่จะสร้างสันติภาพบนโลกใบนี้ด้วยการเสียสละของตัวคุณเอง ไม่ใช่การเสียสละของคนที่เห็นต่างจากคุณ มาหาตมะ คานธีเสียสละหน้าที่การงานด้านกฎหมายที่กำลังไปได้ไกลใน Durban ประเทศแอฟริกาใต้เพื่อมาใช้ชีวิตเรียบง่ายและแบ่งปันความเจ็บปวดของผู้ที่ไร้อำนาจและยากจน เขาชนะใจคนหลายล้านโดยไม่ต้องใช้อำนาจเหนือใคร มีเพียงอำนาจแห่งความเอื้อเฟื้อเท่านั้น คุณก็สามารถสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้เช่นเดียวกัน ด้วยการแสดงความเต็มใจที่จะเสียสละความปรารถนาส่วนตน เอาชนะใจคนอื่นด้วยการแสดงความเต็มใจที่จะรับใช้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง [4] อย่างน้อยที่สุดก็ลองเข้าร่วมงานอาสาสมัครดู
    • สร้างความสมานฉันท์ในโลกใบนี้ด้วยการต่อสู้เพื่อความรักและความสงบแก่ทุกคน แม้จะฟังดูน่ากลัว แต่ให้ลองนึกถึงวิธีที่คานธีแสดงให้เห็นว่า ผู้ชายเปราะบางร่างเล็กที่ดูอ่อนน้อมคนนั้นก็สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าใครจะคาดคิดได้ ซึ่งทั้งหมดนี้มาจากความเชื่อเรื่องการแสดงสันติภาพผ่านหลักการอหิงสาอย่างแรงกล้า [5] สิ่งที่คุณทำได้ในฐานะคนๆ หนึ่งก็สำคัญเช่นเดียวกัน
  11. คุณมีอิสระที่จะเลือกเส้นทางของตัวเอง ทุกสิ่งที่คุณได้อ่านจากบทความนี้เป็นเพียงคำแนะนำเท่านั้น ซึ่งไม่ได้เป็นหลักการที่ต้องปฏิบัติตาม บทความนี้ไม่ได้พยายามจะยัดเยียดความคิดให้คุณ และจะยังมีบางส่วนที่ตกหล่นไปเช่นเดียวกับคำแนะนำอื่นๆ ที่คุณอ่าน สุดท้ายแล้วการมีชีวิตที่สงบก็เป็นการใช้ชีวิตประจำวันอย่างรอบคอบของคุณที่สร้างจากความอุตสาหะและความเข้าใจของคุณที่คุณได้มาจากทั่วทุกมุมโลก จากคนที่คุณเคยเจอและเคยรู้จัก และจากจิตสำนึกและความรู้ของคุณ จงเดินหน้าสู่ความสงบต่อไป
    • เรียนรู้ต่อไป บทความแค่แตะพื้นผิวความต้องการส่วนบุคคลและความต้องการของโลกที่ลึกซึ้งและยังดำเนินต่อไป ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ความสงบ อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักต่อสู้เพื่อสันติภาพและผู้ที่ใช้ชีวิตบนพื้นฐานของความสงบที่สามารถให้ความรู้แก่คุณได้มากมาย แบ่งปันการเรียนรู้กับผู้อื่นและเผยแพร่ความรู้เรื่องความสงบในทุกที่ๆ คุณไป
    โฆษณา


เคล็ดลับ

  • ยอมรับว่าคุณก็จะยังเจอคนเรื่องเยอะใส่ เพราะคนพวกนี้ก็เรื่องเยอะกับตัวเองด้วยเหมือนกัน คุณควรมองคนประเภทนี้ด้วยความเมตตา ไม่ใช่กลัวหรือเกลียด แต่คุณก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเต้นตามความต้องการของเขาหรืออยู่ท่ามกลางคนพวกนี้ด้วยเช่นเดียวกัน แค่สุภาพ หนักแน่น และมีเมตตากับคนพวกนี้ก็พอ
  • การมองหาการยืนยันคุณค่าของตัวเองจากคนอื่นอยู่เสมอไม่ใช่วิถีชีวิตที่คุณควรมี แต่เป็นการที่คุณจะยอมทำตามความปรารถนาของคนอื่นและมีชีวิตที่ไม่มั่นคงไปตลอด จงยอมรับตัวตนในแบบที่คุณเป็นและใช้ชีวิตให้คุ้มค่าด้วยความรักที่มีต่อตนเองและผู้อื่น
  • ถ้าคุณต้องผ่าซากสัตว์ในวิชาเรียน หรือลูกๆ ของคุณต้องทำ ให้หาทางเลือกอื่นแทนการกระทำที่โหดร้ายเช่นนั้น ต้องมีทางเลือกที่ดีกว่านี้แน่นอน
โฆษณา

คำเตือน

  • การยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสันติภาพอาจนำคุณไปสู่การเป็นทาสหรือการถูกศัตรูกำจัด เพราะท่ามกลางพวกเราก็มีคนที่ปฏิบัติตามอุดมการณ์ทหารหรือเผด็จการที่รุนแรงอย่างสุดโต่ง พวกเขาอาจจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบ แต่ก็ไม่แคล้วระแวงกันไปตลอด
  • ศึกษาเกี่ยวกับโภชนาการหากคุณเลือกที่จะรับประทานมังสวิรัติหรือรับประทานเจ เพราะคุณต้องมีเทคนิคในการที่จะได้รับสารอาหารที่คุณต้องการอย่างครบถ้วนจากแหล่งพืชเพียงอย่างเดียว
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • หนังสือ/บทความจากนักต่อสู้เพื่อสันติภาพ


ข้อมูลอ้างอิง

  1. Piero Ferrucci, The Power of Kindness , pp. 168-169, (2007), ISBN 978-1-58542-588-4
  2. Leo Babauta, 5 Teachings to Bring About World Peace, http://zenhabits.net/mahatma-gandhis-5-teachings-to-bring-about-world-peace/
  3. Peace One Day, http://www.peaceoneday.org/welcome
  4. Leo Babauta, 5 Teachings to Bring About World Peace, http://zenhabits.net/mahatma-gandhis-5-teachings-to-bring-about-world-peace/
  5. Leo Babauta, 5 Teachings to Bring About World Peace, http://zenhabits.net/mahatma-gandhis-5-teachings-to-bring-about-world-peace/

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 9,877 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา