VPN หรือก็คือ virtual private network เป็นการเชื่อมต่อกับเครือข่ายชนิดหนึ่งที่ให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อคอมของตัวเองเข้ากับเครือข่ายได้จากทุกที่ในโลก ปกติจะใช้กันในแวดวงธุรกิจหรือการศึกษา เพราะ VPN ให้คุณเข้ารหัสได้ จึงโอนถ่ายข้อมูลได้อย่างปลอดภัย เป็นส่วนตัว แถมทำให้คุณเหมือนกับใช้งานจากนอกประเทศ ดังนั้นจึงสามารถเข้าถึงเนื้อหาของประเทศที่ปกติห้ามการเข้าถึงจากประเทศอื่นๆ ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเดี๋ยวนี้คนถึงนิยมซื้อเครือข่าย VPN จากเจ้าของหรือผู้ให้บริการ ถ้าคุณอยากเชื่อมต่อ VPN เจ้าของ VPN จะให้ล็อกอินกับ password สำหรับคุณโดยเฉพาะ จากนั้นก็แค่ทำตามขั้นตอนเพื่อใช้อินเทอร์เน็ตผ่านคอมเครื่องไหนก็ได้
ขั้นตอน
เลือก VPN ที่ใช่
-
หา account ที่ใช้ได้. ถ้าคุณเป็นพนักงานหรือนักศึกษา ที่บริษัทกับมหาวิทยาลัยก็น่าจะมี VPN ให้ได้ใช้บ้าง ลองไปสอบถามหัวหน้างานหรือกิจการนิสิตเกี่ยวกับ account ที่ใช้เข้า VPN ดู
-
ลองเช็คดูว่า account ใหม่ใช้ทำอะไรได้บ้าง. ดูให้ครบทั้งเรื่องความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว bandwidth ที่ต้องใช้ ต้องมี exit server ในประเทศอื่นหรือเปล่า platform ที่ต้องใช้คืออะไร ต้องใช้ customer service ไหม สุดท้ายคือต้องจ่ายเท่าไหร่ ข้ามไปอ่านเรื่องนี้ได้ที่ส่วน "เคล็ดลับ" ท้ายบทความได้เลย
-
สมัครรับข้อมูลล็อกอินเข้า account. ถ้าจะซื้อบริการ VPN จากผู้ให้บริการ VPN ก็ต้องมีค่าใช้จ่าย พอสมัครและจ่ายเงินเรียบร้อย (หรือยืนยันว่าบริษัทหรือสถานศึกษาของคุณมีบริการแบบนี้) ผู้ให้บริการก็จะให้ข้อมูลสำหรับการล็อกอินเข้าใช้ VPN มา หรือก็คือ username, password แล้วก็ IP หรือชื่อ server คุณเชื่อมต่อ VPN ได้ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งข้างล่างนี่เลยโฆษณา
-
คลิกปุ่ม "Start".
-
เลือก "Control Panel".
-
ในหน้า Control Panel ให้คลิก "Network and Internet".
-
แล้วคลิก "Connect to a network".
-
เลือก "Set up a connection or network".
-
ใน "Choose a connection option" ให้เลือก "Connect to a workplace" แล้วคลิก "Next".
-
พอเห็นตัวเลือกในหน้า "How do you want to connect?". ให้เลือก "Use my Internet connection (VPN)"
-
จะมีถามขึ้นมาว่า "Do you want to set up an Internet connection before continuing"?. ให้เลือก "I'll set up an Internet connection later."
-
พิมพ์ข้อมูล server ที่ได้จากเจ้าของ VPN ลงไป. พิมพ์ IP address ลงในช่อง "Internet address" แล้วพิมพ์ชื่อ server ในช่อง "Destination name" ติ๊กถูกที่ช่อง "Don't connect now; just set it up so I can connect later." จากนั้นให้ตั้งค่าก่อนเชื่อมต่อ แล้วคลิก "Next"
-
ใส่ user name กับ password ที่ได้จากเจ้าของ VPN. ติ๊กช่องที่บอกว่าให้จำชื่อกับ password นี้ด้วย ถ้าขี้เกียจมาพิมพ์ใหม่ทุกครั้งที่จะใช้ จากนั้นคลิก "Create"
-
คลิก "Close" เพื่อปิดหน้าต่างถัดมาที่เขียนว่า "The connection is ready to use".
-
คลิก "Connect to a network" ในหัวข้อ "Network and Sharing Center" แล้วคลิกการเชื่อมต่อ VPN ที่คุณเพิ่งสร้าง. สุดท้ายคลิก "Connect"โฆษณา
-
กด Windows ที่คีย์บอร์ด แล้วหา "VPN" ให้เจอ.
-
คลิก "Settings" ในกรอบทางขวาแล้วคลิก "Set up a virtual private network (VPN) connection" ในกรอบทางซ้าย.
-
ในหน้าต่าง "Create a VPN Connection" ให้ใส่ internet address ของ VPN พร้อม descriptive name. อย่าลืมติ๊กช่อง "Remember my credentials" จะได้ไม่เสียเวลาล็อกอินทุกครั้ง แล้วคลิก "Create"
- คุณต้องได้ IP address จากบริษัทหรือผู้ให้บริการ VPN มาก่อนหน้านี้แล้ว
-
พอกรอบ "Networks" โผล่ขึ้นมา ให้เลื่อนเมาส์ไปที่ VPN ที่เพิ่งสร้าง. คลิก "connect"
-
ใส่ username กับ password ของคุณ. ที่ได้มาจากบริษัทหรือผู้ให้บริการ VPN คลิก "OK" เพื่อเชื่อมต่อได้เลยโฆษณา
-
คลิกปุ่ม "Start" แล้วเลือก "Control Panel".
-
เลือก "Network and Internet Connections" จากนั้น "Network Connections".
-
หา "Create a new connection" ในหัวข้อ "Network Tasks" ให้เจอ. คลิกเลย จากนั้นคลิก "Next" แล้วก็คลิก "Next" อีกที่หน้าจอ "Welcome to the New Connection Wizard"
-
คลิกที่ปุ่มหน้า "Connect to the network at my workplace". จากนั้นคลิก "Next"
-
เลือก "Virtual Private Network connection" ในหน้าถัดมาแล้วคลิก "Next".
- ถ้าคุณต่อเน็ตแบบ dial-up ต่อมาจะเป็นหน้า "Public Network" ให้คลิกที่ปุ่มหน้า "Automatically dial this initial connection" แล้วคลิก "Next"
- แต่ถ้าต่อเน็ตผ่าน cable modem หรือแบบอื่นที่ต่อทีเดียวจบ ให้คลิก "Do not dial the initial connection"
-
ตั้งชื่อการเชื่อมต่อนี้ในช่องที่หน้า "Connection Name" แล้วคลิก "Next".
-
ใส่ชื่อ DNS server หรือ IP address ของ VPN server ที่คุณจะเชื่อมต่อ ในช่องที่เขียนว่า "Host name or IP address". คลิก "Next" จากนั้นคลิก "Finish"
-
ใส่ user name กับ password ที่ได้จากเจ้าของ VPN. จากนั้นติ๊กในช่องเพื่อเซฟข้อมูลไว้ถ้าคุณไม่อยากมานั่งกรอกอีกทีหลัง แล้วคลิก "Connect" เพื่อเชื่อมต่อ VPN ได้เลยโฆษณา
"Network Connection" tool ของเครื่อง Mac นั้นเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนในทุกเวอร์ชั่นของ Mac OS X เพราะงั้นขั้นตอนข้างล่างก็ใช้ได้เลยเวลาจะเชื่อมต่อ VPN ตามปกติ แต่ก็ควรจะอัพเกรดระบบเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด เพราะเวลามีจุดบกพร่องในระบบจะได้รู้ และจะได้ใช้ตัวเลือกขั้นสูงใหม่ๆ (อย่าง certificates) มาปรับแต่งการเชื่อมต่อ VPN ได้ด้วย
-
เปิดเมนู Apple แล้วเลือก "System Preferences". คลิกไอค่อนที่เขียนว่า "Network"
-
หารายชื่อ networks ใน sidebar ทางซ้ายของหน้าต่างให้เจอ. คลิกเครื่องหมายบวกที่ด้านล่างสุดของรายชื่อ เพื่อสร้างการเชื่อมต่อใหม่
-
ตอนที่มีหน้าต่างโผล่ขึ้นมาถามหา interface ให้คุณเลือก "VPN" จากในเมนูที่ขยายลงมา. เลือก connection protocol โดย Mac OS X Yosemite นั้นรองรับ VPN protocol แบบ "L2TP over IPSec," "PPTP," หรือ "Cisco IPSec" คุณอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วน "เคล็ดลับ" ที่ข้างท้ายของบทความ จากนั้นให้ใส่ชื่อ VPN แล้วคลิก "Create"
-
กลับไปที่หน้า Network แล้วเลือกการเชื่อมต่อ VPN ใหม่ของคุณจากในรายชื่อที่ sidebar ด้านซ้าย. เลือก "Add Configuration" จากเมนูที่ขยายลงมา แล้วพิมพ์ชื่อ VPN ในช่องที่ปรากฏ จากนั้นคลิก "Create"
-
ใส่ server address กับชื่อ account ที่ได้จากเจ้าของ VPN ลงในช่อง. แล้วคลิก "Authentication Settings" ที่อยู่ข้างล่างช่อง "Account Name"
-
คลิกปุ่มหน้า "Password" แล้วใส่ password ที่ได้มาจากเจ้าของ VPN. คลิกปุ่มหน้า "Shared Secret" แล้วใส่ข้อมูลที่คุณมี จากนั้นคลิก "OK"
-
คลิกปุ่ม "Advanced" และอย่าลืมติ๊กที่ช่อง "Send all traffic over VPN connection". คลิก "OK" จากนั้นคลิก "Apply" แล้วคลิก "Connect" เพื่อเชื่อมต่อ VPN ได้เลยโฆษณา
-
คลิก "Settings" จากนั้นเลือก "General".
-
เลื่อนลงไปจนสุด แล้วเลือก "VPN". คลิก "Add VPN Configuration"
-
เลือก connection protocol. ในแถบด้านบน คุณจะเห็นว่า iOS มีให้เลือก protocol 3 แบบด้วยกัน คือ L2TP, PPTP และ IPSec ถ้าคุณใช้ VPN ของบริษัท ก็คงมีคนบอกแล้วว่าต้องใช้ protocol ไหน แต่ถ้าเลือกใช้ VPN เอง ก็ต้องเลือกให้ตรงกับที่ผู้ให้บริการรองรับ
-
ใส่ข้อมูลช่อง description. กรอกอะไรก็ได้เลย เช่น ถ้าเป็น VPN ของบริษัท ก็พิมพ์ไปซะว่า "Work" แต่ถ้าเอาไว้ใช้ส่วนตัว อย่างการดู Netflix ของประเทศอื่น ก็ตั้งว่า "Canadian Netflix" เป็นต้น
-
ใส่ข้อมูล server. ข้อมูลตรงนี้คุณควรจะได้มาแล้วจากผู้ให้บริการ VPN หรือบริษัทของคุณ
-
ใส่ชื่อ "Account". ช่องนี้ให้ใส่ username ที่ได้มาจากผู้ให้บริการ VPN หรือบริษัทของคุณ
-
เปิดใช้ "RSA SecurID" ถ้าใช้การยืนยันตัวตนแบบนี้. เวลาจะเปิด ก็ให้แตะที่ปุ่มสีเทา พอปุ่มกลายเป็นสีเขียว ก็คือเปิดใช้งานแล้ว RSA SecureID comprises either a hardware or software mechanism which produces keys to verify a user over periods of time. Most likely, you will only have RSA SecurID in a professional setting.
- ถ้าจะเปิดใช้ RSA SecurID ใน IPSec ให้แตะที่ปุ่ม "Use Certificate" จนเป็นสีเขียว พอเลือก "RSA SecurID" แล้วก็คลิก "Save" ได้เลย
- IPSec ให้คุณใช้ CRYPTOCard หรือ certificates อื่นๆ ในฟอร์แมต .cer, .crt, .der, .p12 และ .pfx ได้
-
ใส่ "Password" ของคุณ. คุณจะได้ password จากผู้ให้บริการแล้วพร้อมกับ username ถ้าไม่มี ให้สอบถามบริษัทของคุณหรือผู้ให้บริการ VPN
-
ใส่ "Secret" ที่ใช้ร่วมกันด้วย ถ้าจำเป็น.
- "secret" นั้นมีเพื่อยืนยัน account ของคุณอีกชั้น ก็เหมือน "key" ของ RSA Secure ID โดย "secret" นั้นปกติจะเป็นชุดตัวอักษรและหมายเลขที่ได้มาจากบริษัทหรือผู้ให้บริการ แต่ถ้าไม่มี แปลว่าคุณอาจไม่ต้องกรอกอะไรในช่องนั้นก็ได้ ไม่ก็ลองสอบถามผู้ให้บริการหรือบริษัทของคุณดูก่อนเผื่อจะต้องใช้แต่ยังไม่มี
-
ใส่ "Group Name" สำหรับการเชื่อมต่อแบบ IPSec ถ้าจำเป็น. เช่นเดียวกัน คุณจะได้มาตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าบริษัทหรือผู้ให้บริการให้ข้อมูลตรงนี้กับคุณมาด้วย ก็ให้ใส่ไปเลยในช่องนี้ แต่ถ้าไม่ได้มาแต่แรก ก็แปลว่าปล่อยช่องนี้ว่างไว้ได้เลย
-
เลือกว่าจะ "Send All Traffic" ไปยัง VPN หรือไม่. คลิกปุ่มข้างช่องนี้ให้กลายเป็นสีเขียว ถ้าอยากให้ traffic ในอินเทอร์เน็ตทั้งหมดของคุณผ่าน VPN
-
คลิก "Save" ที่มุมขวาบนเพื่อเซฟการตั้งค่า. ถึงตอนนี้ VPN ของคุณก็เชื่อมต่อพร้อมใช้งาน
- คุณจะเปิดหรือปิดการเชื่อมต่อกับ VPN ก็ได้ ให้ไปที่หน้า "Settings" โดยคลิกที่ปุ่ม ถ้าปุ่มกลายเป็นสีเขียว ก็แปลว่าเชื่อมต่อเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าปุ่มยังเป็นสีเทา ก็แปลว่าเชื่อมต่อไม่ได้ โดยจะขึ้นมาให้เห็นที่ล่าง "Wi-Fi" เลย
- นอกจากนี้ เวลามือถือคุณเชื่อมต่อ VPN จะมีไอค่อนโผล่ขึ้นมาที่มุมซ้ายบนของมือถือ เป็น "VPN" ตัวใหญ่ทั้งหมดในช่องสี่เหลี่ยม
โฆษณา
-
เปิด "Menu" ขึ้นมา. แล้วไปที่ "Settings"
-
เปิด "Wireless & Networks" หรือ "Wireless Controls" แล้วแต่ว่าคุณใช้ Android เวอร์ชั่นไหน.
-
เลือก "VPN Settings".
-
เลือก "Add VPN".
-
เลือก "Add PPTP VPN" หรือ "Add L2TP/IPsec PSK VPN" แล้วแต่ว่าคุณใช้ protocol แบบไหน. ข้ามไปดูที่ส่วน "เคล็ดลับ" ท้ายบทความได้ ถ้าอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม
-
เลือก "VPN Name" แล้วใส่ชื่อ VPN. จะตั้งอะไรก็ได้ตามใจชอบ
-
เลือก "Set VPN Server" แล้วใส่ IP Address.
-
ตั้งค่าการเข้ารหัส. ให้สอบถามผู้ให้บริการ VPN ว่าการเชื่อมต่อจะเป็นแบบเข้ารหัสหรือเปล่า
-
เปิดเมนู แล้วเลือก "Save".
- คุณอาจต้องยืนยันคำสั่งด้วย storage password ซะก่อน หรือก็คือ password ของเครื่อง Android ของคุณนั่นเอง ไม่ใช่ password ของ VPN นะ
-
เปิดเมนู แล้วเลือก "Settings". เลือก "Wireless and Network" หรือ "Wireless Controls"
-
เลือกการตั้งค่า VPN ที่ทำไว้แล้วจากในรายการ. ใส่ username กับ password แล้วเลือก "Remember username" จากนั้นเลือก "Connect" เท่านี้คุณก็เชื่อมต่อกับ VPN แล้ว จะมีไอค่อนรูปกุญแจโผล่ขึ้นมาที่แถบด้านบน เพื่อบอกให้รู้ว่าคุณกำลังเชื่อมต่อกับ VPN อยู่นะโฆษณา
เคล็ดลับ
- ตอนเลือก protocol ที่จะใช้เชื่อมต่อ ให้คิดก่อนว่าจะใช้ VPN ทำอะไร ถ้าเป็น PPTP นั้นใช้ผ่าน wi-fi เร็วที่สุด แต่ปลอดภัยน้อยกว่า L2TP กับ IPSec เพราะงั้นถ้าความปลอดภัยมาเป็นอันดับ 1 สำหรับคุณ ให้เลือกใช้ L2TP หรือ IPSec แทน แต่ถ้าคุณใช้ VPN สำหรับเรื่องงาน บริษัทก็คงมี protocol ที่ต้องใช้อยู่แล้ว และถ้าคุณใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ก็ต้องเช็คกันให้ชัวร์ก่อนว่าคุณได้เลือก protocol ที่ทางนั้นรองรับ
- เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าอยากให้ปลอดภัยขนาดไหน ถ้าจะใช้ VPN ส่งเอกสาร อีเมล หรือท่องเว็บอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ก็ต้องสมัครใช้ของผู้ให้บริการที่เข้ารหัสแบบ SSL (หรืออีกชื่อคือ TLS) หรือ IPsec โดย SSL นั้นเป็นการเข้ารหัสที่ใช้กันแพร่หลายที่สุด การเข้ารหัสนั้นคือวิธีบดบังไม่ให้ใครมาแอบดูข้อมูลของเราได้ และอย่าลืมเลือกผู้ให้บริการที่ใช้ OpenVPN แทนการเข้ารหัสด้วย “point-to-point tunneling protocol” (PPTP) เพราะ PPTP นั้นมีช่องโหว่มากมายในหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่ OpenVPN นั้นเห็นตรงกันว่าเป็นการเข้ารหัสที่ไว้วางใจได้มากกว่า
- เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าอยากได้ความเป็นส่วนตัวมากขนาดไหน บางผู้ให้บริการจะบันทึก log กิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้ไว้ ซึ่งอาจถูกนำส่งทางการในภายหลังได้หากคุณทำอะไรไม่ชอบมาพากล ถ้าคุณอยากให้กิจกรรมออนไลน์หรือข้อมูลที่คุณรับ-ส่งเป็นความลับ ก็ขอให้เลือกผู้ให้บริการ VPN ที่ไม่ได้เก็บ log การใช้งานของผู้ใช้ไว้ก็แล้วกัน
- เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าต้อง VPN นั้นต้องใช้ bandwidth มากขนาดไหน Bandwidth จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะส่งข้อมูลได้มากแค่ไหน พวกคลิปวิดีโอคลิปเสียงคุณภาพสูงนั้นจะใหญ่กว่า ทำให้ต้องใช้ bandwidth มากกว่าการส่งข้อความหรือรูปธรรมดา แต่ถ้าคุณอยากใช้ VPN แค่ท่องเน็ตหรือส่งเอกสารส่วนตัว ผู้ให้บริการส่วนใหญ่ก็ให้ bandwidth มากพอที่คุณจะทำได้แบบทันใจและง่ายดาย แต่ถ้าอยากจะดูหนังฟังเพลงแบบ stream อย่างพวก Netflix หรือเล่นเกมออนไลน์กับเพื่อนฝูง ก็คงต้องเลือก VPN ที่ให้คุณใช้ bandwidth ได้ไม่จำกัด
- เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าคุณจะเข้าใช้เนื้อหานอกประเทศที่คุณอยู่หรือเปล่า เวลาคุณท่องเน็ต จะมี address แสดงว่าคุณใช้จากที่ไหน หรือก็คือ “IP address” ถ้าคุณพยายามจะดูอะไรที่อยู่ในประเทศอื่น IP address ของคุณอาจใช้เข้าดูไม่ได้ เพราะบางประเทศมีข้อตกลงกันเรื่องลิขสิทธิ์ของเนื้อหา แต่คุณเลือกใช้ VPN ที่มี “exit servers” ได้ เพราะจะแสดง IP address ของคุณเหมือนกับอยู่ในประเทศเจ้าของข้อมูล คุณก็เข้าดูได้ด้วย exit servers นี่เอง เวลาจะเลือกผู้ให้บริการ VPN ด้วยสาเหตุนี้ ต้องดูที่ตั้งของผู้ให้บริการว่ามี server ในประเทศเจ้าของข้อมูลที่คุณจะเข้าดูหรือเปล่า
- เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าคุณจะใช้ผ่านอุปกรณ์ไหน ใช้ผ่านคอมหรือมือถือ? ถ้าเป็นคนเดินทางบ่อย เลยตัวติดกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ก็ขอให้เลือกผู้ให้บริการ VPN ที่รองรับการเชื่อมต่อแบบนั้น หรือยิ่งดีคือมีแอพให้คุณใช้บนอุปกรณ์นั้นๆ โดยตรง
- เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าฝ่ายบริการลูกค้านั้นจำเป็นสำหรับคุณหรือเปล่า ให้ลองอ่านรีวิวแล้วดูว่าผู้ให้บริการนั้นรับผิดชอบลูกค้าในระดับไหน บางเจ้าอาจให้บริการทางโทรศัพท์เท่านั้น ในขณะที่เจ้าอื่นอาจให้บริการทางอีเมล หรือแชทกับเจ้าหน้าที่ได้ด้วย ก็ให้เลือกเจ้าที่ให้บริการหลังการขายแบบที่คุณชอบแล้วกัน หรือจะลองอ่านรีวิวที่โผล่มาใน search engine (อย่าง Google) ดูก็ได้ จะได้รู้ว่าบริการดีจริงหรือเปล่า
- เวลาจะเลือกใช้ VPN จากผู้ให้บริการ ให้คิดก่อนว่าคุณยอมจ่ายมากสุดเท่าไหร่ ผู้ให้บริการ VPN บางเจ้า (อย่าง Open VPN) ก็ให้บริการกันฟรีๆ เลย แต่ก็มีตัวเลือกการใช้งานที่จำกัด ตอนนี้มีผู้ให้บริการ VPN แข่งกันหลายเจ้า ก็ลองใช้เวลาเปรียบเทียบราคาของหลายๆ ที่ดู บวกลบคูณหารกับบริการที่คุณจะได้รับด้วย บางทีคุณอาจจะเจอผู้ให้บริการที่ครบเครื่องสำหรับคุณในราคาที่ถูกใจอีกต่างหาก