PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

นักเรียนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนจะรู้ว่าเวลาไหนควรตั้งใจเรียนและเวลาไหนต้องพักผ่อน นักเรียนแบบนี้สามารถบริหารจัดการเวลาได้เป็นอย่างดี ทำตามตารางทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ ตั้งใจเรียนและพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาภายในชั่วโมงเรียน ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการเรียน บทความนี้ก็จะขอแนะนำวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ได้รู้วิธีบริหารเวลา ได้ความรู้ และมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยม

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

พัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติของคนที่ประสบความสำเร็จ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. นักเรียนที่ประสบความสำเร็จในการเรียนจะให้ความสำคัญกับการเรียนเป็นอันดับแรก [1] ถึงแม้การมีเวลาอยู่กับเพื่อน ครอบครัว ทำกิจกรรมนอกหลักสูตร และแม้แต่การมีเวลาผ่อนคลายเป็นสิ่งสำคัญ แต่เราก็ควรมีเวลาให้กับการเรียนเสมอ ถ้าการสอบครั้งสำคัญกำลังมาถึงและรู้สึกว่าตนเองยังไม่พร้อมสอบ เราก็ควรงดทำกิจกรรมอื่นๆ ก่อนสอบสองวัน ถ้าเราเรียนวิชาบางวิชาแล้วไม่เข้าใจเนื้อหาเท่าไรนัก ก็อาจต้องงดรายการทีวีที่เราชื่นชอบเพื่อจะได้มีเวลามาทบทวนทำความเข้าใจ การให้ความสำคัญกับการเรียนไม่ได้หมายถึงห้ามตนเองไม่ให้ทำอะไรเลยนอกจากเรียน แต่หมายถึงให้เราพึงระลึกไว้ว่าการเรียนนั้นสำคัญที่สุด [2]
    • เราไม่สามารถมุ่งเรียนแต่เพียงอย่างเดียวเช่นกัน ถ้าเพื่อนหรือครอบครัวกำลังประสบปัญหา เราก็ไม่ควรทอดทิ้งพวกเขาและมุ่งเรียนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
  2. [3] รู้จักเผื่อเวลาและหาวิธีมาให้ทันเวลา ในความเป็นจริงแล้วเราควรมาถึงก่อนเวลาเล็กน้อย เราจะได้มีเวลาหาที่นั่ง ทำสมาธิ และพร้อมที่จะเรียนเมื่อไปถึง ไม่ว่าจะมีสอบหรือนัดติวกับเพื่อน เราจะต้องไปให้ทันเวลา ถ้าอยากประสบความความสำเร็จในการเรียน [4]
  3. ความซื่อสัตย์นี้หมายถึงเราควรทำการบ้านด้วยความสามารถของตนเอง อย่าลอกใคร และอย่าทำอะไรที่เป็นการทุจริตทุกอย่าง [5] การโกงไม่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ และถ้าเราเลือกใช้วิธีลัดนี้แค่ครั้งเดียวก็อาจทำให้เราประสบปัญหามากมายในคราวหน้า การโกงข้อสอบไม่มีประโยชน์ การทำคะแนนสอบออกมาได้ไม่ดีเพราะไม่ได้เตรียมตัวยังดีกว่าสอบได้คะแนนดีเพราะทุจริตในการสอบ ถึงแม้จะไม่มีใครจับได้จนทำให้เราคิดว่าถึงโกงไปก็ไมเป็นไรและทำจนเป็นนิสัย พอมาถึงคราวต้องใช้ความสามารถตนเองจริงๆ เราก็จะไม่สามารถสู้คนอื่นได้
    • อย่าโกงตามเพื่อน บางครั้งภายในห้องเรียนอาจมีเพื่อนแอบโกงข้อสอบกันเยอะจนดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ บางครั้งเราอาจเผลอคิดจะทำตามอย่างคนอื่นบ้าง พึงระลึกไว้ว่าการโกงนั้นไม่ดีและอันตรายมาก เพราะทำให้เราไม่สามารถบรรลุศักยภาพของตนเองได้
  4. [6] นักเรียนที่เป็นความสำเร็จในการเรียนจะสามารถจดจ่อกับภารกิจที่อยู่ตรงหน้าได้ดี ถ้าเราต้องอ่านหนังสือประวัติศาสตร์หนึ่งบทเป็นระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง เราจะต้องตั้งใจอ่านโดยไม่ปล่อยให้จิตใจวอกแวก ถ้าเราต้องการพัก ให้พักแค่ระยะเวลาสั้นๆ 10 นาที อย่าพักนานเกินไป ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นพักหนึ่งชั่วโมงแต่อ่านหนังสือแค่ 10 นาที เราสามารถฝึกตนเองให้จดจ่อกับการทำภารกิจต่างๆ เป็นระยะเวลานานได้ ถึงแม้จะรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถจดจ่อกับการทำภารกิจหนึ่งได้นานเกิน 15 นาทีก็ตาม พยายามฝึกจิตใจให้จดจ่อกับการทำภารกิจใดภารกิจหนึ่งโดยเพิ่มเวลามากขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มเวลาเป็น 20 นาที เพิ่มเวลาเป็น 30 นาที เพิ่มระยะเวลามากขึ้นเรื่อยๆ [7]
    • คนส่วนใหญ่ไม่ควรจดจ่อหรือทำภารกิจใดภารกิจหนึ่งนานเกิน 60 นาที หรือ 90 นาที การมีช่วงพัก 10-15 นาทีจะช่วยให้เราได้ฟื้นฟูกำลังและกลับมาจดจ่อกับภารกิจนั้นได้อีกครั้ง
  5. [8] บุคคลแต่ละคนต่างก็ประสบความสำเร็จในแบบของตนเอง คนที่ประสบความสำเร็จจะไม่มัวมานั่งเปรียบเทียบตนเองกับพี่น้อง เพื่อนบ้าน หรือเพื่อน เพราะคนคนนั้นรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วทุกคนต่างก็สามารถประสบความสำเร็จในแบบฉบับของตนเองได้ ถ้าเราเอาแต่เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น เราอาจพบแต่ความผิดหวังหรืออยากแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับคนอื่นเสียจนไม่เลือกวิธีการ จงเรียนรู้ที่จะหยุดคิดถึงเรื่องของคนอื่นบ้างและเน้นทำภารกิจที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
    • อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น ถ้าเราชอบเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น แสดงว่าเรากำลังดูถูกตัวเองอยู่
  6. [9] ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการเรียน เราก็ไม่ควรหวังว่าผลการเรียนจะดีขึ้นแบบก้าวกระโดดจาก "C" ไป "A" แต่เราควรพยายามปรับปรุงผลการเรียนให้ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป หวังว่าผลการเรียนวิชาหนึ่งจะเป็น "C+" แล้วจากนั้นก็ "B-" พยายามปรับปรุงผลการเรียนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และเราจะไม่ผิดหวัง การปรบปรุงตนเองให้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดนั้นยาก ฉะนั้นให้เน้นทำตามกระบวนการแทนที่จะเน้นผลลัพธ์ ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการเรียน เราจะต้องยอมปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นทีละนิด
  7. การประสบความสำเร็จในการเรียนไม่ใช่แค่ต้องเรียนให้ได้ "A" ทุกวิชาแต่เพียงอย่างเดียว เราต้องมีความสนใจเนื้อหาที่เรียนด้วยและความรักการเรียนรู้จะช่วยให้เราเรียนได้ดีขึ้น เราไม่สามารถที่จะสนใจและชอบเรียนรู้ไปทุกเรื่องตั้งแต่การสังเคราะห์ด้วยแสงไปจนถึงสมการเชิงเส้นได้ แต่เราสามารถพยายามหาส่วนที่ตนเองชอบในแต่ละวิชาได้ การค้นพบบางสิ่งที่เราชอบจะช่วยให้เรายังคงตั้งใจและสนุกกับการเรียนได้
    • ถ้าเราเห็นว่ามีบางเรื่องที่เราสนใจอยากรู้เพิ่มเติมจริงๆ ให้ลองหาอ่านนอกเหนือจากการเรียนในห้องก็ได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณครูให้ลองอ่านนวนิยายเรื่องแล้วดวงตะวันก็ฉายแสง (The Sun Also Rises) ของเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ แล้วเรารู้สึกชอบ ก็อาจลองหางานเขียนอื่นๆ ของนักเขียนท่านนี้มาอ่านเพิ่มเติมก็ได้
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ทุ่มเทให้กับการเรียนในห้อง

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการเรียน การตั้งใจเรียนในห้องเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จ ถึงแม้เราจะไม่ได้ชอบเรียนทุกวิชา แต่เราก็ควรกระตุ้นตนเองให้ตั้งใจฟังคุณครูสอน อย่าพูดคุยกับเพื่อนระหว่างที่คุณครูอธิบายเนื้อหา ตั้งใจฟังเพื่อจะได้เข้าใจสิ่งที่คุณครูกำลังสอนจริงๆ และเราจะได้รู้ว่าสาระสำคัญที่สุดของบทเรียนแต่ละบทนั้นคืออะไร [10]
    • มองคุณครูเพื่อเราจะได้ตั้งใจเรียนและจิตใจไม่วอกแวก
    • ถ้าสับสนและไม่เข้าใจเนื้อหาบางอย่าง ให้ถามคุณครูทันทีเพื่อจะได้เข้าใจกระจ่าง เพราะหากบทเรียนดำเนินต่อไปแต่เรากลับยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น เราจะกลับมาจดจ่ออยู่กับการเรียนได้ยาก
  2. การจดบันทึกเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการเรียน การจดบันทึกไม่เพียงช่วยให้เราได้กลับมาทบทวนบทเรียนภายหลังเท่านั้น แต่การจดบันทึกจะช่วยให้เรามีส่วนร่วมในการเรียนและจะช่วยให้เราพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาเพราะเราจะต้องรีบจดเป็นคำพูดของตนเอง บางคนใช้ปากกาเน้นข้อความหรือปากกาสีต่างๆ ในการจดบันทึกเนื้อหาเพราะอุปกรณ์เหล่านี้ช่วยให้ซึมซับข้อมูลได้ดีขึ้นจริงๆ การจดบันทึกจะทำให้รู้สึกว่าต้องตั้งใจเรียนในชั่วโมงให้ดีและฟังที่คุณครูสอน [11]
  3. ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในการเรียน การถามคุณครูเพื่อความกระจ่างในเนื้อหาบางอย่างที่เราไม่เข้าใจและการถามอย่างถูกกาลเทศะเป็นสิ่งที่สำคัญ เราไม่ควรถามขัดขึ้นมาระหว่างที่คุณครูกำลังอธิบาย ควรถามเมื่อเห็นว่าเนื้อหาตรงนั้นสำคัญจริงๆ และน่าจะออกข้อสอบ การถามคุณครูยังช่วยให้เรามีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาที่เรียนด้วย
    • พอหมดชั่วโมงในแต่ละวิชา ให้เราอ่านเนื้อหาที่จดไว้และถ้ามีข้อสงสัยอะไร ให้เตรียมไว้ถามคุณครูในชั่วโมงหน้า คุณครูบางท่านอาจอยากให้เราเข้าไปถามตอนที่หมดชั่วโมงเรียนแล้ว ฉะนั้นถ้าเราไม่เข้าใจเนื้อตรงส่วนไหน รอจนหมดชั่วโมงก่อนแล้วค่อยเข้าไปถามคุณครูก็ได้
  4. ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการเรียน การมีส่วนร่วมในชั้นเรียนนั้นสำคัญ เราไม่เพียงถามคุณครูเมื่อต้องการความกระจ่างในเนื้อหาต่างๆ เท่านั้น แต่เมื่อคุณครูถาม เราก็ต้องตอบด้วย กระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมทำกิจกรรมในห้องเรียน อาสาที่จะช่วยเหลือคุณครูเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเรียน และต้องตั้งใจเรียนในชั่วโมงเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเราจะได้ประโยชน์จากการเรียนรู้สูงสุด การมีส่วนร่วมในชั้นเรียนจะช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคุณครูและช่วยให้เรียนรู้ในห้องเรียนได้ดีขึ้นด้วย [12]
    • เราไม่จำเป็นต้องยกมือขอตอบทุกครั้งที่คุณครูถามก็ได้ แต่เมื่อจำเป็นต้องเสนอความคิดเห็นบ้าง ก็พยายามพูดเสนอความคิดเห็นออกมา
    • ให้ตอบตามหลัก 3-3-3 เวลาเรียนวิชาใดก็ตาม ลองตอบคำถามให้ได้อย่างน้อง 3 คำถาม การตอบคำถามอาจช่วยเพิ่มคะแนนการมีส่วนร่วมในชั้นเรียนก็ได้
    • การมีส่วนร่วมในชั้นเรียนมีความสำคัญต่อการทำงานกลุ่มด้วย ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการเรียน เราต้องสามารถทำงานเดี่ยวและทำงานกลุ่มได้ดี
  5. ถ้าอยากได้ความรู้จากการเรียนอย่างเต็มที่ ก็ควรพยายามตั้งใจเรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามอย่านั่งใกล้เพื่อนที่ช่างพูดช่างคุย อย่าเอาอาหารเข้ามากินในชั้น เก็บหนังสืออ่านเล่นไว้ในกระเป๋าก่อน ปิดเสียงมือถือ หรือปิดเครื่องไปเลย พอหมดชั่วโมงเรียน ก็ให้รางวัลตนเองด้วยการหันไปพูดคุยกับเพื่อน อ่านนิตยสาร หรือหาอะไรสนุกๆ ทำหลังจากนั้น แต่อย่าเพิ่งทำกิจกรรมเหล่านี้ตอนที่กำลังเรียนอยู่
    • ถ้าได้ยินนักเรียนคนอื่นพูดคุยกันระหว่างเรียนหรือเรารู้สึกอยากพูดคุยกับเพื่อนเพราะเบื่อเนื้อหาที่กำลังเรียนอยู่ ขออนุญาตคุณครูย้ายที่นั่ง ถ้าไม่สามารถย้ายที่นั่งได้ ก็พยายามอย่าไปสนใจการพูดคุย แต่ถ้าเพื่อนพูดคุยเสียงดังมากเกินไป ขอให้พวกเขาคุยกันเบาๆ
    • พยายามอย่าไปกังวลถึงวิชาอื่น ถ้ากำลังเรียนวิชาใดๆ อยู่ตาม ตั้งใจเรียนวิชาที่กำลังเรียนอยู่แล้วค่อยกังวลถึงวิชาอื่นๆ เมื่อถึงชั่วโมงที่ต้องเรียนวิชานั้นแล้ว
  6. วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการเรียนคือการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับครูบาอาจารย์ เราไม่จำเป็นต้องประจบประแจงหรือเอาอกเอาใจพวกท่าน แค่สร้างความสัมพันธ์อันดีกับครูบาอาจารย์เข้าไว้ เมื่อถึงคราวที่เราต้องการความช่วยเหลือจริงๆ พวกท่านจะได้ช่วยเหลือเรา นอกจากนี้การมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันยังทำให้เราต้องสนใจเรียนมากขึ้นอีกด้วย การมาเรียนตรงเวลาและทำตามที่คุณครูสอนหรือแนะนำก็ถือว่าเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับครูบาอาจารย์แล้ว [13]
    • อย่าไปกังวลถ้าเพื่อนหาว่าเราดีกับคุณครูเพราะหวังว่าจะได้คะแนนดี ให้คิดเสียว่าเราตั้งใจที่จะเป็นนักเรียนที่ดีเท่านั้น
    • ถ้าคุณครูเห็นความมานะพยายามของเรา พวกท่านจะยิ่งอยากช่วยเหลือและยินดีตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับเนื้อหาต่างๆ ของเรา ถ้าเกิดปัญหาต่างๆ กับเรา พวกท่านจะเข้าใจและยินดีที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
  7. ถ้าเราอยู่ในห้องเรียนและสามารถเลือกที่นั่งได้ ควรเลือกนั่งอยู่ใกล้หน้าห้อง จะได้ใกล้ตัวครูผู้สอนด้วย การนั่งใกล้ครูผู้สอนจะช่วยให้เราตั้งใจเรียนเพราะไม่อาจวอกแวกไปทำอะไรอย่างอื่นได้ด้วยกลัวว่าคุณครูจะเห็น จึงต้องตั้งใจเรียนไปโดยปริยาย นอกจากนี้การนั่งใกล้ครูผู้สอนยังทำให้คุณครูสังเกตเห็นเราได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะถ้าต้องเรียนในห้องที่มีขนาดใหญ่มาก คุณครูมักจะง่วนอยู่กับคนที่นั่งอยู่ข้างหน้ามากกว่า
    • อย่ากังวลถ้ามีคนหาว่าเราเป็นพวกชอบประจบสอพลอ เราแค่ต้องการที่จะซึมซับเนื้อหาที่จำเป็นต้องรู้ให้มากที่สุดเท่านั้น
  8. เมื่อคุณครูมอบหมายงานการบ้านอะไรให้ทำ ก็ทำให้เสร็จตามกำหนด ทำงานตามที่คุณครูมอบหมายส่งให้ครบ งานเหล่านั้นอาจเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนเก็บที่ช่วยเราในการสอบได้
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ทบทวนบทเรียนอย่างสม่ำเสมอ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. วางแผนว่าในแต่ละช่วงจะทบทวนบทเรียนด้วยวิีธีใดบ้าง. การวางแผนทบทวนบทเรียนก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราทบทวนบทเรียนได้อย่างสม่ำเสมอ การวางแผนทบทวนบทเรียนจะทำให้เรายังคงจดจ่อกับการเรียน บรรลุเป้าเหมายของตนเอง และได้รับประโยชน์จากการทบทวนนี้ จัดเวลาทบทวนบทเรียนช่วงละ 15 หรือ 30 นาทีและเขียนว่าในแต่ละช่วงเราจะทบทวนบทเรียนอย่างไรบ้าง ใช้บัตรคำในการทบทวนบทเรียน อ่านเนื้อหาที่จดบันทึกไว้ในสมุด หรือทำแบบฝึกหัด การวางแผนทบทวนบทเรียนด้วยวิธีต่างๆ ไม่ซ้ำกันในแต่ละช่วงจะช่วยให้เรารู้สึกว่าการทบทวนบทเรียนไม่ใช่เรื่องหนักหนาหรือน่าเบื่อ [14]
    • การเขียนรายการภารกิจต่างๆ และขีดฆ่ารายการภารกิจใดก็ตามที่ทำสำเร็จแล้วจะทำให้เรามีแรงบันดาลใจมากขึ้น เราจะรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จและมีความมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจอื่นๆ ให้สำเร็จต่อไป
  2. ถ้าเราอยากจะทบทวนบทเรียนได้อย่างสม่ำเสมอ เราต้องมีสมุดบันทึกตารางเวลาและจัดเวลาให้กับการทบทวนบทเรียนไว้ล่วงหน้า เราต้องจัดเวลาทบทวนบทเรียนให้มีเกือบทุกวันธรรมดาและมีการจัดเวลาทบทวนบทเรียนแม้แต่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ เมื่อเห็นว่าจำเป็น อย่าทำอะไรเกินกำลังตนเอง อย่าเพิ่งจัดเวลาให้กับงานสังคม กิจกรรมนอกหลักสูตร ไม่อย่างนั้นสุดท้ายอาจไม่มีเวลาพอที่จะทบทวนบทเรียน [15]
    • ถ้าเราได้กำหนดช่วงเวลาที่จะทบทวนบทเรียนไว้แล้ว เราจะไม่นำเวลาทบทวนบทเรียนไปเข้าร่วมงานสังคมหรือทำกิจกรรมอย่างอื่น เราจะสามารถทบทวนบทเรียนได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะเมื่อดูตารางและเห็นว่าเราต้องทบทวนบทเรียนเวลานั้น เราก็จะกำหนดเวลาเข้าร่วมงานสังคมเป็นวันและเวลาอื่นที่ไม่ตรงกับเวลาทบทวนบทเรียน
    • เราอาจแม้แต่กำหนดตารางทบทวนบทเรียนในแต่ละเดือนก็ได้ เราจะได้มั่นใจว่าเรามีการทบทวนบทเรียนทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราต้องทบทวนบทเรียนเพื่อเตรียมสอบครั้งสำคัญ
  3. [16] ความจริงแล้วคนเราจะมีรูปแบบการเรียนรู้ที่ตนเองถนัดไม่เหมือนกัน รูปแบบการเรียนรู้แบบหนึ่งอย่างเช่น การใช้บัตรคำ หรือการอ่านเนื้อหาที่จดบันทึกไว้อาจไม่ใช่รูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเรา ฉะนั้นพยายามค้นหารูปแบบการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเอง เราจะได้ออกแบบการทบทวนบทเรียนให้เหมาะกับความต้องการของตนเอง ผู้คนจำนวนมากมักจะใช้รูปแบบการเรียนรู้ผสมผสานกัน ฉะนั้นเราอาจใช้รูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายก็ได้ ต่อไปนี้คือรูปแบบการเรียนรู้ที่พบมากที่สุดและกลเม็ดในการทบทวนบทเรียน [17]
    • ผู้ที่เรียนรู้จากการมองดูหรือมองเห็น ถ้าเราเรียนรู้ได้ดี เมื่อได้มองดูหรือมองเห็น แสดงว่าเราจะเข้าใจบทเรียนมากขึ้นถ้าได้มองหรือดูภาพถ่ายและรูปภาพ ฉะนั้นการเรียนรู้โดยการมองหรือดูแผนภูมิ แผนภาพ และข้อความที่เน้นด้วยปากกาสีนั้นอาจเหมาะสมกับเรามากที่สุด เมื่อจดบนทึกเนื้อหา การวาดเนื้อหาออกเป็นแผนผังหรือภาพอาจได้ผลมากกว่าการจดบันทึกเป็นตัวอักษร
    • ผู้เรียนรู้จากการฟังหรือได้ยิน ผู้เรียนรู้แบบนี้จะสามารถเรียนรู้ได้ดีที่สุด ถ้าได้ยินหรือฟัง ฉะนั้นให้บันทึกเสียงของผู้บรรยายและเปิดฟังซ้ำๆ หรือตั้งใจฟังที่คุณครูสอนแล้วค่อยจดบันทึกเนื้อหาลงไป เราอาจอ่านเนื้อหาที่จดบันทึกไว้หลายครั้ง ย้ำเนื้อหาที่จดไว้ ย้ำเนื้อหาตามหัวข้อต่างๆ กับตนเอง พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ หรือมีส่วนร่วมในการอภิปรายกลุ่มเพื่อจะได้ทบทวนบทเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
    • ผู้เรียนรู้จากการสัมผัสหรือเคลื่อนไหวร่างกาย ผู้ที่เรียนรู้แบบนี้จะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่างกาย มือ และความรู้สึกที่ได้จากการสัมผัส เราสามารถเรียนรู้ด้วยการเขียนคำเพื่อช่วยในการเรียนรู้เนื้อหาวิชาต่างๆ จดจำเนื้อหาระหว่างเดิน หรือทำกิจกรรมให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวหรือสัมผัสสิ่งต่างๆ ระหว่างเรียนรู้
  4. เราอาจต้องประหลาดใจที่พบว่าการได้หยุดพักบ้างนั้นเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จของเราเช่นกัน ไม่มีใครสามารถทบทวนบทเรียนได้ยาวนานถึงแปดชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก ถึงแม้คนคนนั้นจะเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจมากหรือคอยดื่มกาแฟกระตุ้นตนเองอยู่เสมอ ในความเป็นจริงแล้วการได้พักบ้างนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการทบทวนบทเรียน เพราะจะทำให้เราได้พักสมอง จึงมีแรงบันดาลใจและกำลังที่จะกลับมาทบทวนบทเรียนอีกครั้ง ให้ตนเองพักทุก 60 หรือ 90 นาที และทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ได้พักสายตา บำรุงร่างกาย หรือออกไปสูดอากาศที่สดชื่น [18]
    • การพักจะช่วยแยกย่อยข้อมูลที่เราต้องจำออกเป็นส่วนๆ
    • เราอาจทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการพัก เช่น [19]
      • ฟังเพลง
      • อ่านหนังสือ
      • งีบหลับ
      • อาบน้ำ
      • เล่นวีดีโอเกม
      • เล่นอินเตอร์เน็ต
    • ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการเรียน ก็ต้องรู้ว่าควรหยุดพักเมื่อไรด้วย เมื่อรู้สึกเหนื่อยหรือเมื่อการทบทวนบทเรียนไม่ได้ผลอีกแล้ว ให้หยุดการทบทวนไว้ก่อน อย่าคิดว่าการหยุดพักเป็นการแสดงความขี้เกียจและพึงระลึกไว้ว่าการหยุดพักระหว่างทบทวนบทเรียนบ้างนั้นช่วยเราได้จริงๆ
  5. ถ้าเราอยากมีสมาธิในการทบทวนบทเรียน เราก็ต้องป้องกันไม่ให้มีอะไรมารบกวนระหว่างนั้นได้ วิธีป้องกันนี้อาจหมายถึงการไม่เลือกทบทวนบทเรียนกับเพื่อนที่ชอบชวนคุยหรือเที่ยว ปิดโทรศัพท์มือถือ และให้ใช้อินเตอร์เน็ตเพียงแค่สืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวกับการเรียนเท่านั้น ไม่ใช้ดูเว็บไซต์ที่ให้ความบันเทิง ถึงแม้เราไม่สามารถป้องกันสิ่งรบกวนได้เต็มร้อย แต่ก็ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดอะไรมารบกวนก่อนที่เราจะนั่งลงทบทวนบทเรียน จึงช่วยให้เรามีสมาธิและไม่วอกแวกง่าย [20]
    • ถ้าเห็นว่าตนเองไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตในการทบทวนบทเรียนและเกรงว่าจะอดใจไม่ไหวอยากเข้าชมเว็บไซต์ขึ้นมา ให้ปิดอินเตอร์เน็ตไว้ก่อน ถ้าเห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์มือถือในตอนนั้น ให้ปิดเครื่องด้วยเช่นกัน
    • ถ้าเรากังวลใจกับปัญหาสำคัญบางอย่างอยู่ ให้ไปจัดการแก้ปัญหาให้เสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยกลับมาทบทวนบทเรียน เพราะถ้าเรามัวแต่กังวลกับปัญหานั้นตลอดเวลา เราจะไม่มีสมาธิและไม่สามารถจดจ่อกับการทบทวนบทเรียนได้
  6. เลือกสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมต่อการทบทวนบทเรียน. สภาพแวดล้อมในการทบทวนบทเรียนนั้นสำคัญต่อการประสบความสำเร็จในการเรียน แต่ทุกคนนั้นชอบสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกัน บางคนชอบทบทวนบทเรียนในห้องส่วนตัวที่เงียบสงบ บางคนชอบนั่งทบทวนบทเรียนท่ามกลางความร่มรื่นและเปิดเพลงที่ชื่นชอบฟังไปด้วย บางคนชอบทบทวนบทเรียนบนเตียงนอน บางคนชอบทบทวนบทเรียนที่ห้องสมุดหรือร้านกาแฟและรายล้อมไปด้วยผู้คนที่มาทบทวนบทเรียนเช่นเดียวกัน ลองทบทวนบทเรียนในสภาพแวดล้อมต่างๆ ดู จะได้รู้ว่าเราเหมาะที่จะทบทวนบทเรียนในสภาพแวดล้อมแบบไหน [21]
    • ถ้าเห็นว่าตนเองเคยนั่งทบทวนบทเรียนในร้านกาแฟที่มีเสียงอึกทึกแล้วไม่มีสมาธิ ลองเปลี่ยนสถานที่ทบทวนเป็นห้องของตนเองหรือสวนสาธารณะที่เงียบสงบ
  7. วิธีหนึ่งที่จะทำให้ได้รับประโยชน์จากทบทวนบทเรียนมากที่สุดคือใช้แหล่งความรู้ที่เรามีอยู่ให้คุ้มค่า ถ้ามีเนื้อหาส่วนไหนไม่เข้าใจ ถามคุณครู ค้นคว้าในห้องสมุด หรือถามเพื่อนที่เข้าใจเนื้อหาต่างๆ เป็นอย่างดี ใช้ทรัพยากรห้องสมุดและทรัพยากรทางอินเตอร์เน็ตมาช่วยเสริมการเรียนรู้ หาอ่านตำราเพิ่มเติมเพื่อจะได้เข้าใจเนื้อหาต่างๆ ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เราต้องใช้แหล่งความรู้ทุกอย่างที่มีให้คุ้มค่า ถึงจะประสบความสำเร็จในการเรียน [22]
    • ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการเรียนก็ต้องมีความคิดที่สร้างสรรค์ด้วย เมื่อไม่ได้คำตอบทุกอย่างที่ต้องการจากตำราเรียน ให้ลองถามผู้รู้ ไปสถานที่ซึ่งสามารถให้ความรู้ หรือสืบค้นทางอินเตอร์เน็ตก็ได้
  8. ชวนเพื่อนมาทบทวนบทเรียนด้วยกันหรือตั้งกลุ่มติวหนังสือ. บางคนอาจเรียนได้ดีขึ้นเมื่อมีเพื่อนร่วมทบทวนบทเรียนด้วยกันหรือร่วมติวหนังสือกับผู้อื่น การร่วมทบทวนบทเรียนกับผู้อื่นจะช่วยให้เรารู้สึกมีแรงบันดาลใจและรู้สึกว่าตนเองไม่ได้มานะพยายามอยู่เพียงลำพัง เรายังได้รับความรู้จากผู้อื่นและได้ถ่ายทอดความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรู้ด้วย ถึงแม้การทบทวนบทเรียนกับเพื่อนหรือการติวเป็นกลุ่มอาจใช้ไม่ได้ผลกับทุกๆ คน แต่ก็ควรพยายามอย่างถึงที่สุดดูก่อน [23]
    • ไม่ใช่ทุกคนที่จะถนัดการเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่น เราอาจทดสอบด้วยการนั่งทบทวนบทเรียนกับเพื่อน ถ้าได้ผลค่อยชวนเพื่อนคนอื่นมาร่วมติวด้วยกัน
    • ต้องพยายามให้การติวหนังสือเป็นกลุ่มไปเป็นตามกำหนดการและเป้าหมาย ไม่อย่างนั้นอาจลงเอยด้วยการออกนอกลู่นอกทาง ถ้าเราเห็นว่าการติวกลุ่มกลายเป็นการพูดคุยเรื่องไร้สาระไปเสียมากกว่า พยายามชักชวนเพื่อนให้กลับมาเข้าสู่บทเรียนกันต่อ
  9. ถึงแม้การหากิจกรรมสนุกๆ ทำ อาจดูเหมือนไม่เกี่ยวกับการประสบความสำเร็จในการเรียนเลย แต่การหากิจกรรมสนุกๆ ทำสามารถช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้จริงๆ การหยุดพักหลังจากการทบทวนบทเรียนเพื่อไปทำกิจกรรมอย่างเช่น เล่นโยคะ ออกไปข้างนอกกับเพื่อน ดูภาพยนตร์คนเดียว หรือผ่อนคลายจะช่วยฟื้นฟูกำลังกายให้สามารถกลับมาเรียนต่อไปได้เหมือนกับการพักระหว่างทบทวนบทเรียน
    • การหากิจกรรมสนุกๆ ทำไม่ได้ทำให้เรามีผลการเรียนแย่ลง ในความเป็นจริงแล้วการมีเวลาสนุกสนานบ้างช่วยเราเรียนได้ดีขึ้นด้วยซ้ำ
    • การหาเวลาทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกับเพื่อนบ้างจะช่วยทำให้เราผ่อนคลายขึ้นหากผลการเรียนไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ถ้าเราเอาแต่เรียนเพียงอย่างเดียว เราก็จะรู้สึกกดดันตนเองมากเกินไป
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ทำอะไรก็ได้ที่ช่วยทำให้เราจดจำได้ดียิ่งขึ้นเมื่อทบทวนบทเรียน เช่น เคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอม เป็นต้น จากนั้นลองทบทวนเนื้อหาด้วยการทำแบบทดสอบ
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ สมองของคนที่นอนเพียงแค่ 4 ชั่วโมงทำงานแตกต่างจากสมองของคนที่นอน 8 ชั่วโมง ขอแนะนำจำนวนชั่วโมงการนอนที่เหมาะสมตามอายุดังนี้ เด็กอายุ 1-11 ปีควรนอนหลับ 10 ถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน เด็กอายุ 12-17 ปีควรนอนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
  • อย่าลืมกินอาหารเช้า ถึงแม้จะไม่หิวก็ตาม อาหารเช้าเป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน เพราะร่างกายของเราก็เหมือนรถยนต์และเครื่องยนต์ต่างๆ มากมายที่ต้องการเชื่อเพลิงมาขับเคลื่อนให้ทำงานได้อย่างราบรื่นตลอดวัน การไปเรียนหนังสือโดยที่ปล่อยให้ท้องว่างจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง เราจะอ่อนเพลีย หิวจนไม่มีสมาธิเรียน รู้สึกไม่สบายตัว เฉื่อยชา และไม่มีแรง
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 75,202 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา