ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
แผลริมฝีปากแตกอาจเป็นความเจ็บปวดที่ทรมานมากได้ ถ้าไม่รักษาอย่างเหมาะสม มันอาจเปลี่ยนจากการระคายเคืองเป็นการติดเชื้อรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสิ่งสกปรกหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปสะสมในแผลทำให้แผลไม่สะอาด บทความนี้จะอธิบายทั้งวิธีการห้ามเลือดที่แผลในระยะสั้น และวิธีรักษาแผลหลังจากนั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะติดเชื้อหรือเกิดรอยแผลเป็น
ขั้นตอน
-
ล้างมือให้สะอาด. ก่อนจะทำแผลใดๆ ก็ตาม ต้องอย่าลืมล้างมือให้สะอาดที่สุดเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจากเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามมือ ใช้น้ำอุ่นและสบู่ฆ่าเชื้อสำหรับล้างมือ (ถ้ามี) การใช้เจลล้างมือฆ่าเชื้อหลังจากล้างมือแล้วก็สามารถช่วยได้ [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ใช้ถุงมือไวนิล (ถ้ามี) หรือถุงมือยางก็ได้ แต่ควรระวังว่าผู้ที่คุณจะทำแผลให้นั้นไม่ได้แพ้ยาง สิ่งสำคัญคือการใช้วัสดุที่สะอาด ปราศจากเชื้อโรค เป็นตัวกั้นระหว่างมือกับแผล [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
เอียงศีรษะของผู้บาดเจ็บมาด้านหน้า. ให้ผู้ที่ปากเลือดออกนั่งตัวตรง และเอียงศีรษะลงมาด้านหน้าให้ปลายคางชี้ไปที่อก การทำให้เลือดไหลออกจากแผลที่ปากนั้น จะเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้เจ็บกลืนเลือดลงไป ซึ่งอาจทำให้อาเจียนหรือสำลักจนเป็นอันตรายได้ [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ดูว่ามีอาการบาดเจ็บอื่นๆ ด้วยหรือไม่. บ่อยครั้งที่เมื่อได้รับบาดเจ็บจนปากแตก มักจะมีอาการบาดเจ็บอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งเกิดจากสาเหตุเดียวกัน ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการต่อไปนี้
-
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้บาดเจ็บได้รับวัคซีนครบ. ถ้าเหตุที่ทำให้เกิดแผลคือชิ้นส่วนโลหะ หรือวัตถุหรือพื้นผิวที่สกปรก ผู้เจ็บอาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อบาดทะยักได้ [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ทารกและเด็กเล็กควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักเมื่ออายุครบ 2 เดือน, 4 เดือน, และ 6 เดือน และรับอีกครั้งเมื่ออายุ 15-18 เดือน และฉีดอีกครั้งเมื่ออายุระหว่าง 4-6 ปี [9] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Centers for Disease Control and Prevention ไปที่แหล่งข้อมูล
- ถ้าผู้เจ็บมีบาดแผลสกปรก ควรตรวจสอบว่าได้ฉีดวัคซีนกันบาดทะยักภายใน 5 ปีที่ผ่านมาหรือไม่ ถ้าไม่ก็ควรไปฉีด [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- เด็กโตและวัยรุ่นควรได้ฉีดวัคซีนอีกครั้งระหว่างอายุ 11-18 ปี [11] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Centers for Disease Control and Prevention ไปที่แหล่งข้อมูล
- ผู้ใหญ่ควรได้รับการฉีดวัคซีนบาดทะยักทุกๆ 10 ปี [12] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Centers for Disease Control and Prevention ไปที่แหล่งข้อมูล
-
นำวัตถุที่เอาออกได้ออกจากปาก. ให้ผู้บาดเจ็บถอดเครื่องประดับที่มีรอบแผลออก เช่น ห่วงเจาะลิ้นหรือปาก และคายอาหารหรือหมากฝรั่งที่กินอยู่ออกจากปากด้วย [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ทำความสะอาดแผล. ขั้นตอนนี้มีความสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็น [14] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ University of Rochester Medical Center ไปที่แหล่งข้อมูล
- ถ้ามีวัตถุอยู่ในแผล เช่น สิ่งสกปรกหรือกรวด ต้องเอาออกโดยการให้ผู้บาดเจ็บเปิดน้ำล้างแผลจนกว่าจะไม่มีสิ่งตกค้างเหลืออยู่ [15] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ University of Rochester Medical Center ไปที่แหล่งข้อมูล
- ถ้าทำวิธีนั้นไม่ได้ ก็ให้เติมน้ำใส่แก้วแล้วนำมาล้างแผลแทน ทำซ้ำจนกว่าจะล้างสิ่งสกปรกออกหมด
- ใช้สำลีชุบไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เพื่อทำความสะอาดแผลอย่างล้ำลึก ระวังอย่าให้ผู้เจ็บเผลอกลืนน้ำยาเข้าไป [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
ดูแผลอีกครั้งหลังจาก 15 นาที. แผลอาจยังมีเลือดหยดหรือซึมได้ถึง 45 นาที แต่ถ้ายังมีเลือดไหลอย่างสม่ำเสมอหลังจาก 15 นาทีแรก ควรไปพบแพทย์ [19] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ปาก รวมถึงเหงือก ลิ้น และริมฝีปาก เป็นอวัยวะที่มีเส้นเลือดและเลือดอยู่มาก ดังนั้นแผลบาดเจ็บที่ปากมักจะมีเลือดออกมากกว่าแผลที่เกิดบริเวณอื่นของร่างกาย [20] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ University of Rochester Medical Center ไปที่แหล่งข้อมูล
- กดแผลเข้าด้านใน เข้าไปทางฟัน ขากรรไกร หรือเหงือก
- ถ้าผู้เจ็บทนไม่ได้ ให้ยัดผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดไว้ระหว่างฟันกับริมฝีปาก พักแล้วค่อยกดอีกครั้ง [21] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ติดต่อแพทย์หากจำเป็น. ถ้าเลือดยังไม่หยุดไหลหลังจากกดแผลติดต่อกัน 15 นาที หรือผู้เจ็บมีปัญหาในการหายใจหรือกลืนน้ำลาย ฟันโยกหรือเคลื่อนจากตำแหน่งปกติ หรือถ้าคุณไม่สามารถล้างสิ่งสกปรกหรือเศษต่างๆ ออกได้หมด หรือกังวลว่าผู้เจ็บจะมีอาการบาดเจ็บอื่นๆ บริเวณใบหน้าอีก คุณควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าต้องเย็บแผลหรือรักษาด้วยวิธีอื่นๆ หรือไม่ ควรรีบทำให้เร็วที่สุด เพราะโอกาสที่จะติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าปล่อยให้แผลเปิดและมีเลือดไหล หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรติดต่อแพทย์
- ถ้าแผลเป็นทางยาวตลอดริมฝีปาก จำเป็นต้องพบแพทย์ทันที [22] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ถ้าแผลอยู่ในส่วนที่เป็นสีแดงของริมฝีปาก และส่วนที่เป็นผิวปกติเหนือหรือล่างริมฝีปากด้วย (ข้ามเส้นขอบปาก) ผู้เจ็บต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการเย็บแผล การเย็บจะลดความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อ และช่วยให้มั่นใจได้ว่าแผลจะรักษาตัวได้ด้วยวิธีทางการแพทย์
- แพทย์อาจแนะนำให้เย็บแผลหากมีแผลลึกและมีช่องเปิด หมายความว่าถ้าคุณสามารถใช้นิ้วจับขอบแผลทั้งสองข้างแล้วแยกให้มันเปิดออกได้โดยใช้แรงเพียงเล็กน้อย [23] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- แพทย์อาจแนะนำให้เย็บแผลด้วย หากมีเนื้อหลุดที่สามารถเย็บได้ [24] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การฉีกขาดอย่างลึกที่ต้องเย็บ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นานเกิน 8 ชั่วโมงในการเข้ารับการรักษาอย่างปลอดภัย [25] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
รู้ว่าควรคาดหวังแค่ไหน. แผลเล็กๆ ด้านในปากมักจะหายได้เองภายใน 3-4 วัน แต่แผลที่ใหญ่หรือลึกมากจะใช้เวลาในการรักษานานกว่านั้น โดยเฉพาะถ้าอยู่บริเวณริมฝีปากที่ต้องเคลื่อนไหวอย่างมากระหว่างเคี้ยวอาหารและดื่มน้ำ [26] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Seattle Children's Hospital ไปที่แหล่งข้อมูล
- ถ้าผู้บาดเจ็บได้พบแพทย์แล้ว ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ในการดูแลรักษาแผล รวมถึงกินยาตามที่แพทย์สั่ง เช่น ยาปฏิชีวนะ
-
ประคบเย็น. ถุงน้ำแข็งหรือน้ำแข็งก้อนห่อด้วยผ้าสะอาดหรือถุงซิปล็อก จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดและลดการอักเสบได้ [27] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ประคบเย็นที่แผล 20 นาที และเอาออก 10 นาที [28] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ University of Rochester Medical Center ไปที่แหล่งข้อมูล
-
เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อเฉพาะส่วนหรือผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ. หลังจากที่ได้ห้ามเลือดเบื้องต้นแล้ว คุณต้องดูแลบาดแผลเพื่อให้มันหายขาด มีความขัดแย้งในวงการแพทย์ว่าครีมฆ่าเชื้อนั้นจำเป็นหรือช่วยได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะถ้าใช้มากเกินไป [29] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล อย่างไรก็ตาม บางผลการศึกษาชี้ว่ามันสามารถช่วยในการรักษาได้หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
- ถ้าคุณเลือกจะใช้ครีมทาแผลเฉพาะที่ คุณสามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยาหรือร้านสะดวกซื้อ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรว่าผลิตภัณฑ์ตัวใดจะดีสำหรับแผลของคุณที่สุด และควรใช้ตามปริมาณที่แนะนำเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการทาเยอะหรือบ่อยเกินไป
- อีกทางหนึ่ง คุณสามารถทาน้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายลงบนแผลได้ น้ำตาลจะช่วยดูดซับน้ำออกจากแผล ป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเติบโตจากความชื้น ส่วนน้ำผึ้งมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย [30] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล ผลการศึกษาพบว่าการทาน้ำตาลหรือน้ำผึ้งลงบนแผลก่อนปิดแผลจะช่วยลดความเจ็บปวดและป้องกันการติดเชื้อได้ [31] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
จำกัดขอบเขตการเคลื่อนไหวของปาก. [32] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ถ้าผู้บาดเจ็บอ้าปากกว้างเกินไป เช่น ขณะหาว หัวเราะหนักๆ หรือกินอาหารคำใหญ่ จะทำให้เจ็บแผลและอาจทำให้แผลเปิดอีกได้ ในกรณีหลังจะเป็นอันตรายต่อการติดเชื้อ และต้องกลับไปเริ่มทำการรักษาใหม่ตั้งแต่แรก
-
กินอาหารอ่อนๆ. [33] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Seattle Children's Hospital ไปที่แหล่งข้อมูล ยิ่งผู้บาดเจ็บต้องเคี้ยวอาหารน้อยเท่าไหร่ ยิ่งลดโอกาสที่แผลจะเปิดได้มากเท่านั้น และควรดื่มน้ำให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อคงความชุ่มชื้นให้ร่างกายและเนื้อเยื่อ และยังช่วยป้องกันไม่ให้แผลเปิดอีกด้วย
- หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนเกลือหรือมะนาว เพราะจะทำให้แสบแผลได้ [34] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Seattle Children's Hospital ไปที่แหล่งข้อมูล
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่แข็ง กรอบ หรือแหลมคม เช่น มันฝรั่งทอด หรือตอติญ่าชิพส์
- เปิดน้ำอุ่นผ่านแผลหลังกินอาหารทุกมื้อเพื่อทำความสะอาดเศษอาหารต่างๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่ [35] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Seattle Children's Hospital ไปที่แหล่งข้อมูล
- ปรึกษาแพทย์หากผู้บาดเจ็บมีปัญหาเรื่องกินอาหารหรือดื่มน้ำลำบากเนื่องจากบาดแผล
-
แจ้งแพทย์ทันทีหากมีสัญญาณบอกอาการติดเชื้อ. แม้ว่าคุณจะได้ทำตามวิธีที่ทำได้เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเกิดบาดแผลเพิ่มแล้ว บางสิ่งอาจไม่เป็นไปตามที่คุณคิด ควรติดต่อแพทย์ทันทีหากมีอาการต่อไปนี้
- มีไข้ 38 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า [36] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อุณหภูมิร่างกายต่ำผิดปกติ [37] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- แผลมีอาการบวม แดง รู้สึกร้อนหรือเจ็บแผลมากขึ้น หรือแผลเป็นหนอง [38] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ปัสสาวะน้อยลง [39] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ชีพจรเต้นเร็ว [40] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- หายใจเร็ว [41] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คลื่นไส้และอาเจียน [42] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ท้องร่วง [43] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อ้าปากไม่ค่อยได้
- ผิวหนังบริเวณรอบแผลเป็นรอยแดง กดเจ็บ หรือบวม
โฆษณา
เคล็ดลับ
- ดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อคงความชุ่มชื้น
โฆษณา
คำเตือน
- อย่าจับแผล ยกเว้นเวลาทำแผล เพราะมันจะเจ็บและอาจทำให้ติดเชื้อจากสิ่งสกปรกหรือแบคทีเรียได้
- โรคติดต่อทางเลือดสามารถแพร่กระจายได้ง่ายๆ ถ้าไม่ระมัดระวังอย่างเหมาะสม ควรสวมถุงมือยาง และล้างมือทั้งก่อนและหลังจากทำแผลให้ผู้อื่น
- ถ้าแผลมีอาการแย่ลง ควรไปพบแพทย์ทันที
- ควรรีบไปพบแพทย์หากแผลนั้นเกิดจากการถูกกัดโดยสัตว์ เช่น สุนัข หรือแมว เพราะแผลแบบนี้มีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.betterhealth.vic.gov.au/bhcv2/bhcarticles.nsf/pages/First_aid_basics?open
- ↑ http://www.betterhealth.vic.gov.au/bhcv2/bhcarticles.nsf/pages/First_aid_basics?open
- ↑ http://www.betterhealth.vic.gov.au/bhcv2/bhcarticles.nsf/pages/First_aid_basics?open
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/stopping_a_nosebleed-health/article_em.htm
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/mouth_wounds_and_treatments_in_adults_and_children/page4_em.htm#mouth_wound_treatment
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/mouth_wounds_and_treatments_in_adults_and_children/page4_em.htm#mouth_wound_treatment
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/mouth_wounds_and_treatments_in_adults_and_children/page4_em.htm#mouth_wound_treatment
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/mouth_wounds_and_treatments_in_adults_and_children/page4_em.htm#mouth_wound_treatment
- ↑ http://www.cdc.gov/features/tetanus/
- ↑ https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000615.htm
- ↑ http://www.cdc.gov/features/tetanus/
- ↑ http://www.cdc.gov/features/tetanus/
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/mouth_wounds_how_to_stop_bleeding-health/article_em.htm
- ↑ https://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=90&ContentID=P02836
- ↑ https://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=90&ContentID=P02836
- ↑ http://www.uofmmedicalcenter.org/healthlibrary/Article/116249EN
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/mouth_wounds_how_to_stop_bleeding-health/article_em.htm
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/mouth_wounds_how_to_stop_bleeding-health/article_em.htm
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/mouth_wounds_how_to_stop_bleeding-health/article_em.htm
- ↑ http://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=90&ContentID=P02836
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/mouth_wounds_how_to_stop_bleeding-health/article_em.htm
- ↑ http://www.everydayhealth.com/kids-health/stitches.aspx
- ↑ http://www.everydayhealth.com/kids-health/stitches.aspx
- ↑ http://www.everydayhealth.com/kids-health/stitches.aspx
- ↑ http://www.uofmhealth.org/health-library/sig240490
- ↑ http://www.seattlechildrens.org/medical-conditions/symptom-index/mouth-injury/
- ↑ http://www.simplestepsdental.com/SS/ihtSS/r.==/st.32219/t.32774/pr.3.html
- ↑ https://www.urmc.rochester.edu/encyclopedia/content.aspx?ContentTypeID=1&ContentID=4483
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/20051094
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3609166/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/17708384
- ↑ http://www.uofmmedicalcenter.org/healthlibrary/Article/116249EN
- ↑ http://www.seattlechildrens.org/medical-conditions/symptom-index/mouth-injury/
- ↑ http://www.seattlechildrens.org/medical-conditions/symptom-index/mouth-injury/
- ↑ http://www.seattlechildrens.org/medical-conditions/symptom-index/mouth-injury/
- ↑ http://www.uofmmedicalcenter.org/healthlibrary/Article/116249EN
- ↑ http://www.uofmmedicalcenter.org/healthlibrary/Article/116249EN
- ↑ http://www.uofmmedicalcenter.org/healthlibrary/Article/116249EN
- ↑ http://www.uofmmedicalcenter.org/healthlibrary/Article/116249EN
- ↑ http://www.uofmmedicalcenter.org/healthlibrary/Article/116249EN
- ↑ http://www.uofmmedicalcenter.org/healthlibrary/Article/116249EN
- ↑ http://www.uofmmedicalcenter.org/healthlibrary/Article/116249EN
- ↑ http://www.uofmmedicalcenter.org/healthlibrary/Article/116249EN
โฆษณา