ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
การทำความเข้าใจในภาษากายสามารถนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด ประกอบไปด้วยความหมายที่แฝงอยู่มากถึง 60% ของการสื่อสารระหว่างบุคคล [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press. การสังเกตสัญญาณที่ผู้คนส่งออกมาทางภาษากายของพวกเขา และสามารถที่จะอ่านเจตนารมณ์เหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นทักษะที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ด้วยการใส่ใจเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย คุณจะสามารถเรียนรู้การอ่านภาษากายได้อย่างแม่นยำ และด้วยการฝึกฝนที่เพียงพอ มันจะกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวคุณไปตลอด
ขั้นตอน
-
สังเกตการร้องไห้. การร้องไห้ถูกพิจารณาว่าเกิดจากการประทุทางอารมณ์ในเกือบทุกๆ วัฒนธรรม บ่อยครั้งการร้องไห้ถูกพิจารณาว่าเป็นสัญญาณของความเศร้าโศกเสียใจและความอาลัยรัก แต่การร้องไห้ยังสามารถเป็นการแสดงออกถึงความสุข การร้องไห้ยังสามารถเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากการหัวเราะ และอารมณ์ขันได้อีกด้วย ดังนั้น เมื่อวิเคราะห์การร้องไห้ คุณจำเป็นต้องดูสัญญาณอื่นๆ ร่วมกันเพื่อตัดสินใจถึงบริบทที่เหมาะสมของการร้องไห้ [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การร้องไห้สามารถถูกบังคับ หรือแสร้งทำ เพื่อเรียกร้องความสงสาร หรือเพื่อหลอกลวงผู้อื่น การฝึกหัดนี้รู้จักกันในชื่อ “น้ำตาจระเข้” คำอุปมาแบบภาษาพูดคำนี้มีที่มาจากความเชื่อที่ว่าจระเข้ ‘ร้องไห้’ เมื่อล่าเหยื่อ [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ดูสัญญาณของความโกรธ และ/หรือการคุกคาม. โดยสัญญาณของการคุกคาม เช่น คิ้วรูปตัววี ดวงตาที่เบิกกว้าง และปากที่เปิด หรือห้อยลง [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Tipples, J. (2007). Wide eyes and an open mouth enhance facial threat.Cognition and Emotion, 21(3), 535-557.
- แขนที่ไขว้กันอย่างแน่นหนา เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า คนคนนั้นกำลังโกรธ และปิดตัวเขาจากคุณ [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ดูสัญญาณของความวิตกกังวล. เมื่อคนมีความวิตกกังวล พวกเขาจะแสดงออกด้วยการกระพริบตาถี่ขึ้น และเคลื่อนไหวใบหน้าไปมา และริมฝีปากของพวกเขาจะเหยียดออกจนมีลักษณะเหมือนเป็นเส้นบางๆ [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Harrigan, J. A., & O'Connell, D. M. (1996). How do you look when feeling anxious? Facial displays of anxiety. Personality and Individual Differences,21(2), 205-212.
-
ดูการแสดงออกของความขวยเขิน. ความขวยเขินสามารถแสดงออกโดยการเบนสายตา หรือเปลี่ยนไปมองที่อื่น การหมุนศีรษะ และการฝืน หรือยิ้มแบบเกร็งๆ [9] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- หากบางคนมองพื้นบ่อยๆ พวกเขาอาจเขินอาย ขี้กลัว หรือถูกทำให้เขินอาย โดยคนทั่วไปอาจมองพื้น เมื่อพวกเขาอารมณ์เสีย หรือกำลังพยายามที่จะเก็บซ่อนอารมณ์บางอย่าง บ่อยครั้งที่คนจ้องมองไปที่พื้น เมื่อพวกเขากำลังครุ่นคิด หรือมีความรู้สึกไม่สบายใจ
-
สังเกตการแสดงออกอย่างเปิดเผยของความภาคภูมิใจ. คนทั่วไปแสดงความภาคภูมิใจ โดยการยิ้มเล็กๆ เอียงศีรษะของพวกเขาไปด้านหลัง และวางมือของพวกเขาไว้บนสะโพก [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Tracy, J. L., & Robins, R. W. (2007). Emerging insights into the nature and function of pride. Current Directions in Psychological Science, 16(3), 147-150.โฆษณา
-
วิเคราะห์เทศภาษา และการสัมผัส หรือการให้ระยะห่าง และการสัมผัส. นี่เป็นวิธีในการแสดงสถานะของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ได้แก่ ความสนิทสนมทางกาย และสัญญาณทางการสัมผัส ความห่วงหาอาทร และความรัก [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Burgoon, J. K. (1991). Relational message interpretations of touch, conversational distance, and posture. Journal of Nonverbal behavior, 15(4), 233-259. .
- คนที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่แนบแน่นต้องการพื้นที่ส่วนตัวน้อยกว่าคนแปลกหน้า [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Burgoon, J. K., & Jones, S. B. (1976). Toward a theory of personal space expectations and their violations. Human Communication Research, 2(2), 131-146.
- มันคุ้มที่จะจำไว้ว่า พื้นที่ส่วนบุคคลเปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรม ซึ่งสิ่งที่คิดว่าใกล้ในประเทศหนึ่ง อาจกลายเป็นห่างไกลในประเทศอื่น
-
อ่านดวงตาของคน. การศึกษาได้พบว่า เมื่อคนมีบทสนทนาที่น่าสนใจ ดวงตาของพวกเขาจะโฟกัสไปที่หน้าของคู่สนทนา ประมาณ 80% ของเวลาในการสนทนา พวกเขาจะไม่เพียงแค่โฟกัสไปที่ดวงตาของคู่สนทนา แต่หลังจากที่โฟกัสไปที่ดวงตาเป็นเวลา 2 – 3 นาที พวกเขาจะเริ่มโฟกัสไปที่จมูก หรือปาก และกลับไปที่ดวงตาอีกครั้งอยู่ตลอดเวลา พวกเขาอาจมองดูโต๊ะเป็นบางช่วง แต่พวกเขาก็จะกลับมาโฟกัสที่ดวงตาของคู่สนทนาอยู่เสมอ [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- เมื่อคนมองขึ้นข้างบน และไปทางด้านขวา ในระหว่างบทสนทนา นั่นแสดงว่าพวกเขารู้สึกเบื่อ และไม่ให้ความสนใจในบทสนทนาอีกต่อไป [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ม่านตาดำที่ขยายขึ้น หมายถึงคนคนนั้นรู้สึกสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม จำไว้ว่ามีสาเหตุสำคัญมากมายที่สามารถทำให้ม่านตาดำขยายขึ้น เช่น แอลกอฮอล์ โคเคน แอมเฟตามีน สารเสพติด LSD และอื่นๆ [15] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การสบตาบ่อยครั้งถูกใช้เป็นตัวบ่งชี้ความไว้วางใจ การสบตาอย่างจดจ่ออย่างเกินพอดี หรือดูมีความก้าวร้าว บ่งบอกว่าบุคคลคนนั้นระวังข้อความที่จะถูกส่งออกไปเป็นอย่างมาก บุคคลที่พยายามจะหลอกลวงผู้อื่น อาจพยายามสบตาให้น้อยลง เพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัยว่ากำลังหลบเลี่ยงความจริง ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่ากำลังพูดโกหก [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง อย่างไรก็ตาม พึงระลึกไว้ว่าสิ่งที่กล่าวไว้ด้านบน อาจมีความแตกต่างกันไปเป็นอย่างมากในแต่ละบุคคล เมื่อทำการวิเคราะห์เรื่องการสบตา เพื่อจับผิดการพูดโกหก
-
ดูกิริยาท่าทางของคน. หากบางคนพักแขนของพวกเขาไว้หลังคอ หรือศีรษะของพวกเขา หมายความว่าพวกเขากำลังบอกว่า พวกเขากำลังเปิดรับในสิ่งที่ถูกอธิบาย หรืออาจเป็นเพียงแค่การเอนหลังผ่อนคลายโดยทั่วไป
- การไขว้แขน หรือขาอย่างแน่นหนา โดยปกติเป็นสัญญาณของการต่อต้าน และแสดงระดับของการยอมรับผู้อื่นที่ต่ำ โดยทั่วไปเมื่อร่างกายถูกจัดวางในท่าทางดังกล่าว นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า คนคนนั้นกำลังปิดตัวเองจากผู้อื่นทางจิตใจ อารมณ์ และร่างกาย [17] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ในการศึกษาหนึ่งของการเจรจาต่อรอง 2,000 ครั้ง ซึ่งถูกบันทึกวิดีโอเทปไว้เพื่อวิเคราะห์ภาษากายของผู้เจรจาต่อรอง ไม่ได้มีข้อสรุปในกรณีใดๆ ที่ระบุว่า ผู้มีส่วนร่วมทั้งหญิง และชายมีการไขว้ขา [18] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
ประเมินการสบตา. การสบตาที่เป็นสัญญาณของการดึงดูดความสนใจ ได้แก่ การกระพริบตามากกว่าค่าเฉลี่ย 6 – 10 ครั้งต่อนาที [19] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Burgoon, J. K. (1991). Relational message interpretations of touch, conversational distance, and posture. Journal of Nonverbal behavior, 15(4), 233-259. [20] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การขยิบตาสามารถเป็นสัญญาณของการจีบ หรือการดึงดูดความสนใจ อย่างไรก็ตาม จำไว้ว่านี่อาจเป็นเรื่องเฉพาะของแต่ละวัฒนธรรม โดยบางวัฒนธรรมของชาวเอเชีย การทำหน้าบึ้งในขณะขยิบตา เป็นกิริยาที่หยาบคาย [21] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ดูการแสดงออกทางใบหน้าที่ชัดเจน. การยิ้มเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการแสดงการดึงดูดความสนใจ แน่ใจว่าคุณรู้วิธีแยกแยะการฝืนยิ้ม กับรอยยิ้มที่จริงใจ คุณสามารถบอกได้ว่าการยิ้มแบบไหน เป็นการแกล้งยิ้ม เนื่องจากมันไม่ได้ถูกส่งผ่านมาที่ดวงตาของบุคคลที่กำลังยิ้ม รอยยิ้มที่จริงใจโดยปกติจะทำให้เกิดรอยย่นเล็กๆ ที่บริเวณรอบดวงตาของผู้ที่กำลังยิ้ม (หรือเรียกว่า รอยตีนกา) เมื่อคนพยายามแกล้งยิ้ม คุณจะไม่เห็นรอยย่นพวกนั้น [22] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [23] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Burgoon, J. K. (1991). Relational message interpretations of touch, conversational distance, and posture. Journal of Nonverbal behavior, 233-259.
- การยกคิ้วถูกพิจารณาว่าเป็นสัญญาณของการจีบ [24] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
พิจารณาท่าทาง อิริยาบถ และท่ายืนของคน. โดยทั่วไป คนที่มีความรักใคร่ชอบพอกัน พยายามที่จะปิดระยะห่างระหว่างกัน นั่นอาจหมายถึงการเอนกายเข้าหาอีกคนมากขึ้น และสามารถมีการสัมผัสร่วมด้วยอย่างชัดเจน การแตะอย่างแผ่วเบา หรือการลูบแขน สามารถเป็นสัญญาณของการดึงดูดความสนใจ
-
พึงระวังความแตกต่างทางเพศในการแสดงการดึงดูดความสนใจ. ผู้ชายและผู้หญิงสามารถแสดงการดึงดูดความสนใจที่แตกต่างกันผ่านภาษากาย
- ผู้ชายชอบจะเอนตัวไปด้านหน้า และหันตัวของเขาเข้าหาคนที่เขาหมายปอง ในขณะที่ผู้หญิงที่แสดงการดึงดูดความสนใจจะหันตัวออกไปทางอื่น และเอนตัวไปด้านหลัง [27] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Grammer, K. (1990). Strangers meet: Laughter and nonverbal signs of interest in opposite-sex encounters. Journal of Nonverbal Behavior, 14(4), 209-236.
- ผู้ชายที่รู้สึกสนใจอาจยกมือของเขาขึ้นเหนือหัว ทำมุม 90 องศา [28] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Grammer, K. (1990). Strangers meet: Laughter and nonverbal signs of interest in opposite-sex encounters. Journal of Nonverbal Behavior, 14(4), 209-236.
- เมื่อผู้หญิงแสดงการดึงดูดความสนใจ แขนทั้งสองข้างอาจถูกเปิดออก และมือของเธออาจสัมผัสพื้นที่บนร่างกายตั้งแต่สะโพก ไปจนถึงคาง [29] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Grammer, K. (1990). Strangers meet: Laughter and nonverbal signs of interest in opposite-sex encounters. Journal of Nonverbal Behavior, 14(4), 209-236.
โฆษณา
-
สังเกตการสบตา. การสบตา หรือช่องทางของภาษาท่าทาง เป็นวิธีขั้นพื้นฐานที่คนแสดงออกถึงการมีอำนาจ คนที่พยายามแสดงอำนาจ จะใช้สิทธิ์ในการเริ่มต้น และการสำรวจผู้อื่น ในขณะที่ทำการสบตาโดยตรง และพวกเขาจะเป็นคนสุดท้ายที่จะเลิกสบตา [30] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- หากคุณกำลังมองหาทางเพื่อแสดงอำนาจของคุณ จำไว้ว่าการสบตาอย่างต่อเนื่องสามารถทำให้ดูน่ายำเกรง [31] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
วิเคราะห์การแสดงออกทางใบหน้า. บุคคลที่แสดงออกถึงความมีอำนาจจะไม่ยิ้ม เพื่อแสดงให้รู้ว่าจริงจัง และบางทีอาจขมวดคิ้ว หรือทำริมฝีปากจู๋ที่แสดงถึงความไม่พอใจ [32] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
-
ประเมินกิริยาท่าทาง และการยืน. กิริยาท่าทางสามารถแสดงถึงความมีอำนาจ การชี้ไปที่ผู้อื่น และการใช้ท่าทางที่วางอำนาจเป็นวิธีแสดงให้ผู้อื่นเห็นสถานะของคุณ ทั้งนี้เมื่อบางคนยืนอย่างสง่าผ่าเผย ในขณะที่ดูผ่อนคลาย เป็นการแสดงออกของความมีอำนาจ [33] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- บุคคลที่มีอำนาจต่อรอง จะมีการจับมือที่มั่นคง พวกเขาจะวางมือของพวกเขาไว้ด้านบน โดยให้ฝ่ามือของพวกเขาชี้ลงด้านล่างเสมอ มือที่จับจะแน่น และมั่นคงเพื่อแสดงถึงอำนาจในการควบคุม [34] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
พิจารณาว่าบุคคลจัดการกับพื้นที่ส่วนตัวของพวกเขาอย่างไร. สำหรับคนที่มีสถานะสูงโดยทั่วไปจะสามารถกำหนดพื้นที่ทางกายระหว่างพวกเขา และคนที่มีสถานะต่ำกว่าได้มากกว่า บุคคลที่มีสถานะสูงจะใช้พื้นที่ทางกายมากกว่าเพื่อแสดงการมีอำนาจของพวกเขา และการควบคุมสถานการณ์ [35] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press. หรืออีกนัยหนึ่ง การวางมาดที่ดูยิ่งใหญ่ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอำนาจ และการประสบความสำเร็จ [36] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อำนาจถูกแสดงผ่านการยืน ได้ดีกว่าการนั่ง การยืนโดยเฉพาะในด้านหน้า ถูกมองว่าเป็นการวางท่าที่มีอำนาจมากกว่า [37] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- หลังตรง และอกผายไหล่ผึ่ง แสดงออกถึงความมั่นใจ ในทางกลับกัน การห่อ และงอตัวเป็นการแสดงออกถึงการขาดความมั่นใจ [38] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- บุคคลที่มีอำนาจ จะยืนนำอยู่ด้านหน้า และเดินนำกลุ่ม หรือเดินเข้าประตูเป็นคนแรก โดยพวกเขาชอบที่จะอยู่แถวหน้า [39] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ดูวิธีการสัมผัสคนว่าเป็นอย่างไร และเมื่อไหร่. คนที่แสดงสถานะของพวกเขาจะมีตัวเลือกมากกว่าเมื่อว่าด้วยเรื่องการสัมผัส เนื่องจากพวกเขารู้สึกมั่นใจในตำแหน่งของพวกเขามากกว่า โดยทั่วไป ในสถานะที่ใครคนใดคนหนึ่งมีสถานะที่สูงกว่า เขาคนนั้นจะสัมผัสคนที่มีสถานะต่ำกว่าอยู่บ่อยครั้ง [40] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ในสถานการณ์ทางสังคม ที่คนที่สื่อสารกันทั้งสองคนมีสถานะที่เท่ากัน คนทั้งสองจะแสดงการสัมผัสในวิธีที่คล้ายคลึงกัน [41] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
โฆษณา
-
รู้ว่าการอ่านภาษากายเป็นเรื่องที่ซับซ้อน. พฤติกรรมที่ไม่ใช้คำพูดเป็นความซับซ้อนในตัวมันเอง เนื่องจากคนทั้งหมดมีความแตกต่างกัน และการแสดงออกของพวกเขายังแตกต่างกันด้วยเช่นกัน [42] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Knapp, M., Hall, J., & Horgan, T. (2013). Nonverbal communication in human interaction. Cengage Learning. การอ่านภาษากายสามารถเป็นเรื่องท้าทาย เพราะว่าการตีความสัญญาณที่คนกำลังส่งให้คุณ คุณจำเป็นต้องพิจารณาในภาพรวม ยกตัวอย่างเช่น คนนั้นได้เอ่ยกับคุณในวันนี้หรือไม่ว่าเขาทะเลาะกับภรรยาของเขา หรือไม่ได้รับการโปรโมตตำแหน่งในที่ทำงานใช่ไหม? หรือเขาดูเป็นกังวลอย่างชัดเจนตอนรับประทานอาหารเที่ยงใช่ไหม?
- เมื่อทำการตีความภาษากายของผู้อื่น มันเป็นเรื่องสำคัญว่าที่ไหนที่มีโอกาสเป็นไปได้ในการพิจารณาบุคลิกภาพ ปัจจัยทางสังคม พฤติกรรมที่ใช้คำพูด และการวางตัวของพวกเขา ในขณะที่ข้อมูลนี้ไม่ได้มีอยู่เสมอไป แต่มันสามารถใช้เป็นประโยชน์ในการอ่านภาษากาย คนมีความซับซ้อน ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ที่วิธีที่พวกเขาแสดงออกด้วยร่างกายของพวกเขามีความซับซ้อนด้วยเช่นกัน!
- คุณสามารถเปรียบเทียบการอ่านภาษากาย เหมือนกับการดูรายการทีวีที่คุณชื่นชอบ หลังจากนั้น คุณจะไม่ได้ดูแค่ฉากใดฉากหนึ่ง แต่คุณต้องดูทั้งตอนเพื่อเข้าใจความหมายของฉากนั้นๆ นอกจากนี้ คุณยังต้องจดจำตอนก่อนหน้า ประวัติของตัวละคร และโครงเรื่องทั้งหมด คุณจำเป็นต้องดูในภาพรวมเมื่อพูดถึงการอ่านภาษากาย!
-
ใช้เวลาในการพิจารณาความแตกต่างของแต่ละบุคคล. ไม่มีขนาดใดขนาดหนึ่งจะพอดีกับทุกคน โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเรื่องภาษากาย หากคุณลงทุนเพื่อให้สามารถอ่านภาษากายของคนได้อย่างแม่นยำ คุณอาจต้องใช้เวลาในการศึกษาใครคนนั้นสักระยะเวลาหนึ่ง สิ่งที่เป็นเรื่องจริงสำหรับใครคนหนึ่ง อาจไม่ได้เป็นเรื่องจริงสำหรับคนอื่นเสมอไป
- ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกำลังพูดโกหก คนบางคนจะไม่กล้าสบตา ในขณะที่คนอื่นๆ อาจพยายามที่จะสบตาให้มากกว่าปกติ เพื่อที่พวกเขาจะไม่ถูกสงสัยว่ากำลังพูดโกหกอยู่
-
พึงระวังว่าภาษากายสามารถแตกต่างกันออกไปตามวัฒนธรรม. สำหรับอารมณ์ และการแสดงของภาษากายบางอย่าง ความหมายของข้อความที่ส่งออกมา มีความเฉพาะเจาะจงไปในแต่ละวัฒนธรรม
- ยกตัวอย่างเช่น ในวัฒนธรรมชาวฟินแลนด์ เมื่อคนสบตาเรา มันเป็นสัญญาณว่าสามารถเข้าถึงได้ แต่ในทางตรงกันข้าม สำหรับชาวญี่ปุ่น เมื่อคนสบตาเรา เป็นการแสดงออกว่าโกรธ [43] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Akechi H, Senju A, Uibo H, Kikuchi Y, Hasegawa T, et al. (2013). Attention to Eye Contact in the West and East: Autonomic Responses and Evaluative Ratings. PLoS ONE 8(3): e59312.
- อีกหนึ่งตัวอย่าง ในวัฒนธรรมตะวันตก คนที่รู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยกับคุณ จะเอนตัวเข้าหาคุณ และหันหน้า และร่างกายเข้าหาคุณโดยตรง [44] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- จำไว้ว่าในขณะที่การแสดงออกด้านอารมณ์ทางใบหน้า แตกต่างกันไปจากวัฒนธรรมหนึ่ง ไปอีกวัฒนธรรมหนึ่ง บางการวิจัยแนะนำว่า การแสดงออกของภาษากายบางอย่าง เป็นเรื่องสากลในทุกวัฒนธรรม นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะสำหรับการสื่อสารของความมีอำนาจ และการยอมจำนน ยกตัวอย่างเช่น ในทุกวัฒนธรรม ท่าทางที่ดูโอนอ่อนแสดงให้เห็นถึงการยอมจำนน [45] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Eibl-Eibesfeldt, I., & Salter, F. K. (Eds.). (1998). Indoctrinability, ideology, and warfare: evolutionary perspectives. Berghahn Books
-
จำไว้ว่าการทำความเข้าใจแตกต่างกันไปในแต่ละช่องทางที่ไม่ใช้คำพูด. ช่องทางที่ไม่ใช้คำพูดเป็นความหมาย ซึ่งข้อความ หรือสัญญาณถูกถ่ายทอดโดยปราศจากคำพูด ช่องทางที่ไม่ใช้คำพูดที่สำคัญ ได้แก่ เทศภาษาต่างๆ (เช่น การสบตา การแสดงออกทางใบหน้า และภาษากาย) การสัมผัส และพื้นที่ส่วนบุคคล หรืออีกนัยหนึ่ง สื่อกลางเป็นตัวกำหนดข้อความ [46] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- โดยกฎทั่วไป คนสามารถอ่านการแสดงออกทางใบหน้าได้ดีที่สุด และตามด้วยภาษากาย และสุดท้าย คือพื้นที่ส่วนบุคคล และการสัมผัส [47] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ในแต่ละช่องทาง สามารถมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ไม่ใช่ทุกการแสดงออกทางใบหน้ามีความง่ายในการทำความเข้าใจได้ทั้งหมด โดยทั่วไปคนจะอ่านการแสดงออกทางใบหน้าในด้านดีได้ดีกว่าในด้านร้าย ในการศึกษาหนึ่งพบว่า บุคคลจะตีความเรื่องความสุข ความพึงพอใจ และความตื่นเต้น ได้ดีกว่าความโกรธ ความเสียใจ ความกลัว และความรังเกียจ [48] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง Wagner, H. L., MacDonald, C. J., & Manstead, A. S. (1986). Communication of individual emotions by spontaneous facial expressions. Journal of Personality and Social Psychology, 50(4), 737.
โฆษณา
คำเตือน
- อย่าตัดสินคนด้วยภาษากายของพวกเขา จำไว้ว่าภาษากายไม่ใช่ตัวบ่งชี้สถานะของใครบางคน สภาวะทางอารมณ์ หรือความสัมพันธ์ของเขา หรือเธอที่มีต่อคุณ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ http://www.psychologistworld.com/bodylanguage/eyes.php
- ↑ http://www.psychologistworld.com/bodylanguage/eyes.php
- ↑ Tipples, J. (2007). Wide eyes and an open mouth enhance facial threat.Cognition and Emotion, 21(3), 535-557.
- ↑ https://www.psychologytoday.com/blog/fulfillment-any-age/201206/the-ultimate-guide-body-language
- ↑ Harrigan, J. A., & O'Connell, D. M. (1996). How do you look when feeling anxious? Facial displays of anxiety. Personality and Individual Differences,21(2), 205-212.
- ↑ https://www.psychologytoday.com/blog/fulfillment-any-age/201206/the-ultimate-guide-body-language
- ↑ https://www.psychologytoday.com/blog/fulfillment-any-age/201206/the-ultimate-guide-body-language
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ Tracy, J. L., & Robins, R. W. (2007). Emerging insights into the nature and function of pride. Current Directions in Psychological Science, 16(3), 147-150.
- ↑ Burgoon, J. K. (1991). Relational message interpretations of touch, conversational distance, and posture. Journal of Nonverbal behavior, 15(4), 233-259.
- ↑ Burgoon, J. K., & Jones, S. B. (1976). Toward a theory of personal space expectations and their violations. Human Communication Research, 2(2), 131-146.
- ↑ http://www.psychologistworld.com/bodylanguage/eyes.php
- ↑ http://www.psychologistworld.com/bodylanguage/eyes.php
- ↑ http://www.psychologistworld.com/bodylanguage/eyes.php
- ↑ http://www.psychologistworld.com/bodylanguage/eyes.php
- ↑ http://www.businessinsider.com/how-to-read-body-language-2014-5?op=1
- ↑ http://www.businessinsider.com/how-to-read-body-language-2014-5?op=1
- ↑ Burgoon, J. K. (1991). Relational message interpretations of touch, conversational distance, and posture. Journal of Nonverbal behavior, 15(4), 233-259.
- ↑ http://www.psychologistworld.com/bodylanguage/eyes.php
- ↑ http://www.psychologistworld.com/bodylanguage/eyes.php
- ↑ http://www.businessinsider.com/how-to-read-body-language-2014-5?op=1
- ↑ Burgoon, J. K. (1991). Relational message interpretations of touch, conversational distance, and posture. Journal of Nonverbal behavior, 233-259.
- ↑ https://www.psychologytoday.com/articles/200712/fast-forces-attraction
- ↑ https://www.psychologytoday.com/articles/200712/fast-forces-attraction
- ↑ https://www.psychologytoday.com/articles/200712/fast-forces-attraction
- ↑ Grammer, K. (1990). Strangers meet: Laughter and nonverbal signs of interest in opposite-sex encounters. Journal of Nonverbal Behavior, 14(4), 209-236.
- ↑ Grammer, K. (1990). Strangers meet: Laughter and nonverbal signs of interest in opposite-sex encounters. Journal of Nonverbal Behavior, 14(4), 209-236.
- ↑ Grammer, K. (1990). Strangers meet: Laughter and nonverbal signs of interest in opposite-sex encounters. Journal of Nonverbal Behavior, 14(4), 209-236.
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ http://www.psychologistworld.com/bodylanguage/eyes.php
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ http://psychologia.co/dominant-body-language/
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ http://www.businessinsider.com/how-to-read-body-language-2014-5?op=1
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ https://www.psychologytoday.com/blog/fulfillment-any-age/201206/the-ultimate-guide-body-language
- ↑ http://psychologia.co/dominant-body-language/
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ Knapp, M., Hall, J., & Horgan, T. (2013). Nonverbal communication in human interaction. Cengage Learning.
- ↑ Akechi H, Senju A, Uibo H, Kikuchi Y, Hasegawa T, et al. (2013). Attention to Eye Contact in the West and East: Autonomic Responses and Evaluative Ratings. PLoS ONE 8(3): e59312.
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ Eibl-Eibesfeldt, I., & Salter, F. K. (Eds.). (1998). Indoctrinability, ideology, and warfare: evolutionary perspectives. Berghahn Books
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ Greene, J. O., & Burleson, B. R. (Eds.). (2003). Handbook of communication and social interaction skills. Psychology Press.
- ↑ Wagner, H. L., MacDonald, C. J., & Manstead, A. S. (1986). Communication of individual emotions by spontaneous facial expressions. Journal of Personality and Social Psychology, 50(4), 737.
โฆษณา