PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

อาชีพพนักงานเสิร์ฟชายหรือหญิงนั้น มักเป็นงานที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่ว่าคุณจะอยู่ในทีมงานที่คร่ำหวอด หรือเป็นมือใหม่หัดเสิร์ฟก็ตาม พยายามหาเวลาอ่านบทความนี้และทบทวนตัวเอง ในช่วงที่ว่างจากการทำงานตัวเป็นเกลียว รอยยิ้มจากลูกค้า ความพอใจของหัวหน้า และจำนวนทิปที่ได้ในแต่ละคืน สามารถเพิ่มขึ้นทวีคูณได้ ด้วยการหมั่นพัฒนาทักษะการให้บริการ

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. หากร้านคุณต้องใส่ยูนิฟอร์ม พยายามรักษาความสะอาด และรีดให้เรียบอยู่เสมอ หากไม่ได้เป็นยูนิฟอร์ม คุณควรใส่ชุดที่ดูเรียบร้อยและเป็นทางการ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และเจ้านายก็แฮปปี้ พยายามตรวจเช็คตัวเองระหว่างทำงานเป็นระยะๆ ว่าเสื้อผ้ายุ่งเหยิง และมีคราบรอยเปื้อนที่ลืมสังเกตไปหรือไม่
    • ตัดเล็บให้สั้นและสะอาดดูดีเสมอ
    • ใส่รองเท้าที่ดูดีเหมาะสม ไม่ใช่รองเท้าเทนนิส และพยายามสวมใส่ให้แน่นพอดี ห้ามใส่รองเท้าแตะ
    • หลีกเลี่ยงการใส่น้ำหอมหรือโคโลญจน์ เนื่องจากลูกค้าบางท่านอาจแพ้กลิ่นดังกล่าวได้ นอกจากนี้ อย่าสูบบุหรี่ก่อนเข้างาน หรือในช่วงพักเบรกด้วย เพราะจะทิ้งกลิ่นไม่พึงประสงค์ไว้ในขณะทำงาน
    • พยายามแต่งหน้าและใส่เครื่องประดับแต่พองาม ไม่ดูโอเว่อร์เกินไป
  2. การทำความคุ้นเคยกับทุกๆ รายการอาหาร จะช่วยให้คุณประหยัดเวลา และไม่เดือดร้อนเวลาต้องรับออเดอร์ พยายามหาเวลาศึกษาให้มาก และอย่าจดออเดอร์พลาดหรือช้าเกินไป
    • พยายามจำตัวเลือกของรายการอาหารแต่ละอย่างให้ได้ เช่น หากลูกค้าสั่งแซนวิช คุณควรจะรู้ว่าต้องแนะนำขนมปังแบบไหน ขนาดใด ฯลฯ รวมถึงควรแจกแจงตัวเลือกดังกล่าวให้ได้อย่างชัดถ้อยชัดคำด้วย
    • ตระหนักว่า มีรายการอาหารใดบ้างที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม หรืออาหารที่หลายคนมีอาการแพ้ เช่น ถั่ว เป็นต้น และควรเสนอทางเลือกที่เหมาะสมให้แก่ลูกค้า เพื่อแทนรายการเหล่านั้นได้
    • พยายามศึกษาว่า ทางร้านมีเมนูพิเศษประจำวัน เป็นอะไรบ้าง ก่อนเริ่มงานในแต่ละกะ
  3. คุณควรถามลูกค้าอย่างสุภาพว่า ต้องการเครื่องดื่ม เครื่องเคียง หรืออยากอัพเกรดรายการอาหารที่สั่งด้วยหรือไม่ ผู้บริหารของทางร้านจะชื่นชอบคุณมากในจุดนี้ และทิปของคุณเองก็จะเพิ่ม เพราะลูกค้าสั่งมากขึ้นด้วย
    • ศึกษาว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ใดบ้างที่มีราคาแพงและคุณภาพดี คุณควรบรรยายสรรพคุณของมันเวลาที่ลูกค้าสั่ง
    • พยายามถามลูกค้าทุกโต๊ะทุกครั้งว่า ต้องการอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนหรือไม่
    • อย่ากดดันหรือหลอกลูกค้า พยายามแนะนำรายการอาหารอย่างสุภาพ และอย่ายัดเยียดให้ลูกค้าอัพเกรดรายการอาหาร ราวกับว่าไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
  4. การทำงานในกะของคุณจะง่ายขึ้นมาก หากคุณรู้จักปฏิบัติงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น ทำพร้อมกันได้ 3 เรื่อง เพียงแค่เดินไปกลับรอบเดียวจากหน้าร้านมาถึงครัว พยายามแวะเก็บจานเปล่าตามโต๊ะต่างๆ ระหว่างทางทุกครั้งที่เดินไปที่ครัว หรือใช้ถาดช่วยขนเวลาที่ลูกค้าต้องการเครื่องปรุง เครื่องดื่ม หรือสิ่งที่คล้ายๆ กันจำนวนมาก แทนที่จะถือไปกลับทีละอย่าง [1]
    • พยายามจดออเดอร์ทันทีที่ลูกค้าสั่ง และโน้ตเอาไว้ว่า คุณมีอะไรที่ต้องทำอีกบ้างในอีก 5-10 นาทีข้างหน้า เว้นเสียแต่ว่าคุณจะทำงานมานานจนช่ำชองแล้ว
  5. จดหรือจำไว้ว่า คุณไม่ได้เดินไปดูที่แต่ละโต๊ะมากี่นาทีแล้ว และพยายามจำให้ได้ว่า อาหารแต่ละรายการ ใช้เวลาทำประมาณกี่นาทีเสร็จ รวมถึงเดินไปที่แต่ละโต๊ะทันทีที่พวกเขาทานอาหารแต่ละจานหมดแล้ว เคลื่อนไหวให้คล่องแคล่วโดยไม่ต้องวิ่ง และรักษาความเร็วให้สม่ำเสมอ เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น [2]
    • แจ้งให้ลูกค้าทราบว่า อาหารแต่ละรายการต้องรอประมาณกี่นาที หากมีคนสั่งสเต๊กแบบสุกดี แจ้งพวกเขาว่าต้องรอนานกว่าแบบอื่นสักหน่อยนะ หากซุปหมดและพ่อครัวต้องปรุงใหม่ ก็แจ้งพวกเขาด้วยว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร รวมถึงเสนอทางเลือกอื่นๆ ด้วย
  6. โดยเฉพาะหากเป็นรายการที่มีการสั่งเพิ่มเติมเป็นพิเศษ คุณจะช่วยลดปัญหาให้ทางร้านได้เยอะ หากรู้จักตรวจรายการอาหารให้ตรงตามที่ลูกค้าสั่งทุกครั้งก่อนเสิร์ฟ
    • หากเกิดปัญหาทำออกมาไม่ตรงกับที่ลูกค้าสั่ง คุณควรแจ้งให้ลูกค้าและทางครัวทราบ ซึ่งหากได้รับอนุญาตแล้ว คุณควรเสนอส่วนลด หรือบางสิ่งเพื่อชดเชยความผิดพลาดดังกล่าว
  7. คนส่วนใหญ่มักจะขอซอสมะเขือเทศเวลาสั่งเบอร์เกอร์ เด็กส่วนใหญ่มักทำช้อนส้อมตกพื้น เมื่อคุณตระหนักว่า มีสิ่งใดที่ลูกค้ามักจะขอบ่อยๆ คุณควรนำมาเตรียมไว้บนโต๊ะล่วงหน้า เพื่อช่วยประหยัดทั้งเวลาของตัวเองและลูกค้า แถมยังทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจของคุณด้วย
    • อุปกรณ์อย่างเครื่องเงินต่างๆ ชุดปรุงรส และกระดาษเช็ดปาก/เช็ดมือ ควรมีสำรองไว้ในกระเป๋าด้านหน้าชุดกันเปื้อนของคุณเสมอ (ถ้ามี)
  8. อย่าปล่อยให้ทิปน้อยๆ มาทำลายหน้าที่การงานคุณ. อย่าบ่นให้ลูกค้าฟังเกี่ยวกับเรื่องให้ทิปน้อย ต่อให้คุณบริการแค่ไหนก็ตาม นอกจากอาจจะโดนไล่ออกได้แล้ว คุณจะยังถูกตราหน้าว่า เป็นพวกขี้บ่น และยังถูกเขม่นจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ด้วย
    • คนบางคนอาจจะไม่ให้ทิปตามสมควรก็ได้ ไม่ว่าบริการของคุณจะเป็นอย่างไร ในขณะที่บางคนอาจจะไม่มีเงินมากพอจะให้ทิป หรือมาจากประเทศที่การให้ทิปไม่ใช่ธรรมเนียมสำคัญ
  9. หากเวลาใดยังไม่มีลูกค้า ก็ทำความสะอาดร้านไปก่อนสิ ในร้านอาหารมักมีอะไรให้ทำเสมอ แสดงให้เจ้าของร้านเห็นว่าคุณรู้จักทำงานโดยไม่ต้องสั่ง และเป็นคนทำงานหนักด้วย
    • หากโต๊ะที่คุณกำลังดูแลอยู่ ยังไม่ได้ต้องการให้คอยช่วยเหลืออะไร พยายามปลีกตัวไปดูแลโต๊ะอื่นๆ ก่อนก็ได้ ลูกค้าบางโต๊ะอาจจะกำลังมองหาพนักงานเสิร์ฟประจำโต๊ะ ให้ไปช่วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งคุณสามารถทำแทนได้ โดยไม่เป็นการก้าวก่ายเพื่อนร่วมงาน
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

แก้ปัญหาเฉพาะหน้า

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. สังเกตผู้ปกครองด้วย เวลาที่เด็กสั่งอาหารเอง. เด็กบางคนอาจจะสั่งอาหารที่ไม่ค่อยเป็นประโยชน์กับตัวเอง หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือรายการอาหารที่พ่อแม่ผู้ปกครองอาจไม่เห็นด้วย คุณควรเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนทวนออเดอร์ เผื่อว่าผู้ปกครองของเด็กอาจจะคัดค้าน
    • หากผู้ปกครองไม่ได้สนใจเด็ก คุณควรทวนออเดอร์ด้วยเสียงดังกว่าเดิมให้ฟังชัดเจน เหมือนกับทวนให้ทุกคนในโต๊ะได้ฟังด้วย จะช่วยให้พวกเขาหันมาสนใจได้
    • ต่อหน้าเด็กๆ หากมีการคัดค้านจากผู้ปกครอง คุณสามารถระงับการโต้เถียงของพวกเขาได้ ด้วยการออกตัวพูดกับเด็ก ในทำนองว่า “ขอโทษทีจ้ะ ตอนนี้น้ำอัดลมหมด หนูสั่งอย่างอื่นแทนได้ไหมจ้ะ?”
    • หากคุณไม่เห็นด้วยกับรายการอาหารที่เด็กบางคนสั่ง คุณควรหุบปากเงียบเอาไว้ มันเป็นเรื่องของผู้ปกครองที่จะพิจารณาตัดสินใจ เว้นแต่ว่าจะเป็นเรื่องต้องห้ามทางกฎหมาย เช่น การเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่เด็ก
  2. หากคุณกำลังเสิร์ฟอาหารร้อนๆ วางอุปกรณ์ครัวที่เป็นโลหะ หรือนำสิ่งใดที่อาจเป็นอันตรายต่อเด็กไปวางที่โต๊ะ พยายามเสิร์ฟตรงฝั่งที่เป็นผู้ปกครองนั่ง และทักให้พวกเขารู้ เช่น “มาแล้วค่ะ/ครับ” ในกรณีที่อาจต้องการให้พวกเขาใส่ใจสักนิด
  3. บริการลูกค้าที่มีเด็กทารกมาด้วย ให้เร็วกว่าปกติ. เด็กอ่อนหรือเด็กเล็กมักจะมีสมาธิสั้น ดังนั้น หากมื้ออาหารของพวกเขาล่าช้า ผู้ปกครองและทางร้านเองคงปวดหัวไม่ใช่น้อย คุณควรเตรียมพร้อมให้บริการโต๊ะดังกล่าวมากกว่าโต๊ะอื่นสักนิด และอย่าลืมรวบงานหลายอย่างทำพร้อมๆ กัน เพื่อประหยัดเวลา
    • ลองถามลูกค้าอย่างสุภาพว่า สามารถสั่งอาหารและเครื่องดื่มพร้อมกันทีเดียวเลยได้ไหม แทนที่จะต้องมารับออเดอร์สองรอบ
    • แนะนำรายการอาหารที่ทดแทนกันได้ ในกรณีที่ลูกค้าสั่งอาหารที่ต้องใช้เวลาทำนานเป็นพิเศษ
    • นี่เป็นสถานการณ์พิเศษ ที่คุณสามารถเอาบิลไปให้ลูกค้าได้ ในขณะที่กำลังไปเก็บจานสุดท้ายที่พวกเขาทานเสร็จ แต่อย่าลืมถามพวกเขาด้วยว่า ให้เก็บจานไปได้หรือยัง
    • อย่าทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าคุณกำลังไล่ส่ง ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะชื่นชมยินดีที่คุณบริการรวดเร็วทันใจ โดยไม่ต้องบอก แต่หากพวกเขากำลังหัวเสียกับเด็กๆ คุณควรรอให้พวกเขาเรียกและหลบไปก่อน ปล่อยให้พวกเขาทานกันไปตามอัธยาศัย
  4. วางตัวให้เป็นกลางเวลาที่ลูกค้าแย่งกันจ่ายเงิน. หากมีลูกค้าโต๊ะไหนแย่งกันจ่ายเงิน คุณควรวางบิลไว้บริเวณกลางโต๊ะ อย่าใกล้คนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ หากพวกเขาพยายามจะดึงคุณไปช่วยตัดสิน คุณควรยิ้มและบอกพวกเขาว่าเดี๋ยวคุณค่อยกลับมาใหม่ดีกว่า
  5. คนส่วนใหญ่ค่อนข้างจริงจังกับชาหรือกาแฟที่พวกเขาสั่ง และคุณจะทำคะแนนได้มาก หากรู้วิธีการเสิร์ฟแบบที่พวกเขาประทับใจ คุณไม่จำเป็นต้องเสิรฟตามธรรมเนียมปกติ หากคุณกำลังเสิร์ฟให้แก่ลูกค้าประจำคนที่คุณรู้วิธีการเสิร์ฟเฉพาะตัวของพวกเขาเอง ซึ่งขึ้นอยู่กับการสังเกตของคุณด้วย
    • นักดื่มชามักจะจุกจิกเกี่ยวกับการเสิร์ฟ คุณควรดูให้แน่ใจว่าพวกเขาขอเครื่องเคียงหรือส่วนผสมอะไรเพิ่มบ้าง และเตรียมนมสด มะนาวฝาน และน้ำตาลเอาไว้ให้เยอะสักหน่อย เพื่อรองรับการปรุงด้วยตนเองของแต่ละคน
    • อย่าเติมชาหรือกาแฟโดยไม่ถามลูกค้าก่อน เพราะพวกเขาอาจเติมส่วนผสมลงไปอย่างถูกคอแล้วก็ได้
    • อย่าวางช้อนลงไปในแก้วชาหรือกาแฟเอง ก่อนที่จะเสิร์ฟให้ลูกค้า เพราะมันอาจจะไปทำให้ชาหรือกาแฟแก้วนั้นเย็นลงเล็กน้อย ซึ่งลูกค้าบางคนไม่ชอบ
  6. ถามลูกค้าว่าต้องการน้ำเปล่าด้วยไหม เวลาที่พวกเขาสั่งเครื่องดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์. เรื่องนี้เหมาะที่จะถามลูกค้าที่มาทานในร้านอาหาร มากกว่าลูกค้าตามผับบาร์ หลายคนมักชอบดื่มน้ำเปล่าเพื่อชดเชยภาวะร่างกายขาดน้ำ รวมถึงอาการอารมณ์แปรปรวนอันเกิดจากเครื่องดื่มประเภทดังกล่าว
    • ในบางประเทศ อาจไม่นิยมเสิร์ฟน้ำเปล่าในกรณีดังกล่าว รวมถึงอาจมีการคิดเงินด้วย
  7. ต่อให้มันเป็นแค่ขวดเกลือหรือใบปลิวของทางร้านก็ตาม คุณควรจะหยิบอันใหม่ในร้านมาวางแทน ลูกค้าของคุณไม่ต้องการให้มีเชื้อโรคมาป้วนเปี้ยนบนโต๊ะ
  8. ตัวอย่างเช่น การเปิดขวดไวน์ และยังมีอีกหลายๆ อย่างเกี่ยวกับงานเสิร์ฟ ที่คุณสามารถฝึกได้ง่ายกว่า เวลาที่คุณฝึกเสิร์ฟให้ตัวเองอยู่ที่บ้าน และยังใช้เวลาเรียนรู้น้อยกว่าน้อยด้วย
    • พนักงานเสิร์ฟที่มีหน้าที่ในการเปิดขวดไวน์ มักจะต้องเปิดต่อหน้าลูกค้าทุกคนที่โต๊ะ ตอนที่พวกเขาสั่งมา การฝึกฝนจะช่วยให้คุณไม่ขายหน้า และทำได้ราบรื่นสวยงาม
  9. หากคุณได้รับอนุญาตให้ดูแลเรื่องเพลง/ดนตรีที่เปิดในร้านได้ พยายามเปิดให้เบาๆ และเลือกอัลบั้มที่เหมาะกับกาลเทศะ และอารมณ์ของลูกค้า อย่าเล่นจนจบทั้งอัลบั้ม แต่ควรมิกซ์ให้มีความหลากหลาย เผื่อมีลูกค้าคนไหนไม่ชอบศิลปินที่เปิดอยู่ จะได้โล่งใจเวลาที่เปิดเพลงของศิลปินอื่นบ้าง
    • ลูกค้าในคาเฟ่ หรือในร้านอาหารช่วงเช้าและบ่ายอ่อนๆ มักจะชอบดนตรีฟังสบายๆ ให้รู้สึกสงบ เช่น ดนตรีคลาสสิก ก็ถือว่าไม่เลว
    • ลูกค้าในช่วงอาหารเย็นหรือค่ำ มักจะชอบแนวเพลงที่คึกคักมากกว่า แต่ก็มีความแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ด้วย แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะชอบให้เปิดเพลงด้วยเสียงเบาๆ เหมือนกันหมด เพื่อที่พวกเขาจะได้คุยกันได้สะดวก ทั้งนี้ ปกติพนักงานเสิร์ฟจะไม่ได้เป็นคนดูแลเรื่องเพลงที่เปิดในช่วงที่ทางร้านมีลูกค้าเยอะ หรือช่วงที่เป็นทางการมากๆ หรอก
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า นำมาซึ่งทิปก้อนโต

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. สบตากับลูกค้าหลังจากที่เชิญพวกเขานั่งกันหมดแล้ว และแนะนำตัวคุณเอง จะเป็นการเปิดการสนทนาที่ดี อันนำไปสู่ทิปที่มากขึ้นโดยเฉลี่ย และช่วยให้พวกเขาเรียกใช้คุณอย่างสุภาพเป็นกันเองในภายหลังด้วย [3]
    • รวบงานทีเดียว ด้วยการแนะนำตัวในขณะที่แจกเมนูให้พวกเขาไปพลางๆ รวมถึงตรวจดูด้วยว่า บรรดาช้อนส้อม ผ้าเช็ดปาก และอุปกรณ์ต่างๆ มีครบจำนวนหรือยัง
  2. รักษาความสุภาพ เป็นมิตร และคอยให้การช่วยเหลือ แม้แต่กับลูกค้าขี้โมโห. เวลาพูดกับลูกค้า คุณควรใช้คำที่ให้เกียรติเสมอ เช่น คุณผู้หญิงคะ/ คุณผู้ชายคะ/ หรือท่านคะ รวมถึงมีจิตไมตรีและมองในแง่ดีเสมอ ทำให้ลูกค้ารู้สึกผ่อนคลายให้มากที่สุด
    • ถามลูกค้าว่าเคยมาทานที่ร้านหรือไม่ ซึ่งหากพวกเขาไม่เคยมา หรือเป็นลูกค้าใหม่ คุณจะได้กล่าวต้อนรับอย่างเหมาะสมและแนะนำเมนูให้ละเอียดเป็นพิเศษ
    • มีท่าทีเป็นมิตรอยู่เสมอ แต่อย่าเข้าไปสอดแทรกระหว่างที่ลูกค้ากำลังสนทนากัน จนกว่าพวกเขาจะเรียก จงทำงานของคุณไป แต่ปล่อยให้ลูกค้าทานและพูดคุยกันอย่างมีความเป็นส่วนตัว
    • อย่าลืมยิ้มเสมอ แม้ว่าลูกค้าและเพื่อนร่วมงานอาจจะน่าหงุดหงิดแค่ไหน เชิดหน้าเข้าไว้และทำงานของคุณไป จะช่วยให้ไม่เกิดปัญหาภายหลัง!
    • อย่าคุยหรือนินทาลูกค้า ต่อให้พวกเขาไมมีทางได้ยินคุณพูดก็ตาม คุณควรให้ความเคารพเวลาพูดถึงพวกเขาเสมอ เผื่อว่าพวกเขาอาจจะมีหูมีตาอยู่แถวนั้น
  3. อย่านั่งบริเวณโต๊ะขณะที่รับออเดอร์ ห้ามจับมือหรือสวมกอด เว้นแต่พวกเขาจะเป็นเพื่อนคุณเอง หรือกรณีที่การจับมือเป็นนโยบายต้อนรับลูกค้าของทางร้านเอง ส่วนปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นๆ ก็ขึ้นอยู่กับบรรยากาศของทางร้าน และเพศของแต่ละคนด้วย
    • ผลการศึกษาเกี่ยวกับร้านอาหารในสหรัฐอเมริกาพบว่า พนักงานเสิร์ฟหญิงที่แตะไหล่ มือ หรือแขนของลูกค้าเบาๆ มีโอกาสได้ทิปสูงกว่าพนักงานทั่วไปโดยเฉลี่ย [4] อย่างไรก็ดี นั่นเป็นสิ่งที่คุณควรทำในกรณีที่ลูกค้ามีท่าทีผ่อนคลายหรือเป็นกันเองเท่านั้น และห้ามทำในกรณีที่ลูกค้ามากับแฟนหรือผู้หญิง คุณควรมีอัธยาศัยที่ดีมากกว่าที่จะไปหว่านเสน่ห์
  4. ให้คำแนะนำส่วนตัว เกี่ยวกับอาหารที่ลูกค้าสั่ง. หากลูกค้าคนใดถามความเห็นของคุณ คุณควรเตรียมตอบคำถามให้ดี รวมถึงควรมีเมนูโปรดไว้ในใจด้วย เผื่อจะแนะนำพวกเขาเวลาที่ถูกร้องขอ หากลูกค้าสั่งเมนูที่มักมีคนบ่นในทางลบ คุณควรแนะนำลูกค้าท่านนั้นให้สั่งอย่างอื่นแทน
    • ลูกค้าบางคนชอบที่จะได้ยิน “เรื่องวงใน” ของทางร้าน แต่คุณไม่ควรเลยเถิดถึงขนาดดูถูกอาหารในร้านตัวเอง นอกจากว่าคุณจะทำงานในร้านที่ไม่เป็นทางการแบบสุดๆ ดังนั้น คุณควรแนะนำเมนูอื่นๆ ให้พวกเขาแทน โดยอาจใช้คำว่า “อาหารแนะนำจากเชฟโดยตรง” หรือ “จานโปรดของหนูเอง”
  5. จัดอาหารให้ตามต้องการ หากลูกค้าสั่งด้วยความสมเหตุสมผล. ลูกค้าหลายคนมีเหตุผลจริงจังในการหลีกเลี่ยงเครื่องปรุง หรือส่วนผสมบางอย่าง รวมถึงส่วนประกอบที่ทำให้พวกเขามีอาการแพ้ด้วย หากคุณไม่แน่ใจว่าแต่ละเมนูมีส่วนผสมดังกล่าวหรือไม่ (ที่จริงคุณควรจะรู้) คุณอาจไปตรวจดูในครัวด้วยตนเองเพื่อมาแจ้งให้ลูกค้าทราบ
    • ห้ามโกหกหรือบอกลูกค้าว่าเอาส่วนผสมดังกล่าวออกแล้ว หากคุณไม่สามารถจัดอาหารให้ตามที่พวกเขาต้องการได้ คุณควรบอกตามตรง และเสนอเมนูใกล้เคียงที่ลูกค้าสามารถทานได้ให้แทน
    • อย่าตั้งแง่กับลูกค้า. จำไว้ว่า มีหลายเหตุผลที่ลูกค้าต้องการให้ปรุงแบบพิเศษ มากเกินกว่าที่คุณจะเข้าใจ เช่น อาจเป็นเรื่องข้อบังคับทางศาสนา หรือลัทธิบางอย่าง (เจและมังสวิรัติ) หรือเป็นข้อกำหนดด้านโภชนาการส่วนตัว หากปรุงตามที่ลูกค้าสั่งได้ ก็จงทำไปเถอะ อย่าตั้งแง่หรือถามเหตุผลลูกค้า!
  6. ผลการศึกษาเกี่ยวกับร้านอาหารในสหรัฐอเมริกา พบว่า พนักงานเสิร์ฟที่ทวนรายการอาหารจากลูกค้า มักจะได้รับทิปมากกว่า [5] ไม่ว่าการทำเช่นนั้นจะส่งผลมากน้อยเพียงใด แต่อย่างน้อย ก็ช่วยให้ลูกค้าได้ทบทวน และมีโอกาสในการเปลี่ยนใจ
  7. หากคุณเป็นพนักงานเสิร์ฟมือใหม่ คุณอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก กว่าที่จะรู้สึกได้เองว่า ควรจะไปวนดูที่โต๊ะลูกค้าแต่ละคนบ่อยแค่ไหน อย่างน้อยคุณอาจจะแวะเข้าไปตอนพวกเขาทานอาหารแต่ละอย่างเสร็จ และเวลาที่พวกเขาดูท่าทางเบื่อหรือหงุดหงิด เมื่อต้องรออาหารนานกว่าปกติ
    • หากเป็นไปได้ คุณควรจะระบุเวลาให้ชัดเจนไปเลย เวลาที่พวกเขาถามว่าต้องรออีกนานแค่ไหน
    • หยุดและเติมน้ำให้ลูกค้าเวลาที่น้ำในแก้วพร่องไปเยอะแล้ว หรือหากเป็นประเภทไม่รีฟิล คุณควรถามลูกค้าว่าต้องการสั่งเพิ่มไหม
  8. เก็บจานที่ลูกค้าทานเสร็จแล้วทันที แต่อย่าลืมถามลูกค้าทุกครั้ง. คุณควรถามลูกค้าว่าลูกค้าทานเสร็จเรียบร้อยหรือยัง หรือให้เก็บจานไปได้เลยไหม ก่อนที่จะลงมือเก็บ หากอาหารจานใดเหลือเยอะ คุณอาจจะสอบถามว่า อาหารจานดังกล่าวโอเคหรือไม่
    • ร้านอาหารหลายๆ ร้าน อนุญาตให้พนักงานเสิร์ฟสามารถมอบสิทธิพิเศษบางอย่างให้แก่ลูกค้าได้ ในกรณีที่พวกเขาไม่พอใจในบางเรื่อง ซึ่งจะช่วยรักษาทิปของคุณไว้ได้
  9. พยายามเป็นมิตรกับลูกค้าบางคนที่คุณอาจไม่เคยได้คุยมาก่อน หากพวกเขามานั่งในโซนที่คุณดูแลมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว คุณควรเริ่มเอ่ยปากคุย ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องสนิทกับพวกเขาเร็วนัก แต่คุณอาจรู้สึกชอบพวกเขาบางคนก็ได้
    • จำชื่อและเครื่องดื่มโปรดของพวกเขา รวมถึงที่ทำงานของแต่ละคนด้วย ทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนมาร้านอาหารของเพื่อน ซึ่งก็คือ คุณ!
    • พยายามจดหรือจำรูปร่างหน้าตา รวมถึงเมนูโปรดของพวกเขา หากลูกค้าคนไหนมามากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว ลูกค้าย่อมจะประทับใจ หากคุณบอกได้ทันทีว่าพวกเขาต้องการสเต๊กแบบไหน ในการมาร้านครั้งที่ 3 ของพวกเขา
  10. อย่าเหมาเอาเองว่าลูกค้าต้องการเช็คบิลตอนไหน แต่ก็ไม่ควรให้พวกเขาต้องรอเช่นกัน. คุณควรถามในเชิงว่าพวกเขาต้องการอะไรเพิ่มไหม ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาสั่งของหวาน สั่งอาหารกลับบ้าน รวมถึงเช็คบิลด้วย
    • หากพวกเขาบอกว่าไม่เอาอะไรแล้ว คุณก็สามารถถามได้ว่าต้องการให้เช็คบิลเลยไหม
    • หากพวกเขาต้องเรียกคุณมาเช็คบิล แสดงว่าพวกเขากำลังรีบไป หรือไม่ก็คุณปล่อยให้พวกเขารอนานเกินไป นับจากการเดินไปดูแลที่โต๊ะครั้งล่าสุด
    • ห้ามถามลูกค้าว่าต้องการเงินทอนไหม คุณควรพูดเพียงว่า “เดี๋ยวหนูเอาเงินทอนมาให้นะคะ รอสักครู่ค่ะ” และนำเงินทอนทั้งหมดกลับมาวางไว้ที่โต๊ะ
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

เรียนรู้ เมื่อเริ่มงานที่ใหม่

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ตอนที่สัมภาษณ์งาน คุณควรมีท่าทีกระตือรือร้น และขออนุญาตเอาเมนูกลับไปท่องจำ หาเวลาเรียนรู้ด้วยตนเองเพื่อให้คุ้นเคยกับรายการอาหารทั้งหมด ร้านอาหารแฟรนไชส์มักจะมีคอร์สอบรมให้พนักงานเรียนรู้เกี่ยวกับเมนูและอุปกรณ์ต่างๆ ในครัว แต่หากเป็นบาร์หรือร้านขนาดเล็กลงมา คุณมักจะต้องหาวิธีศึกษาด้วยตนเอง
  2. ความตรงต่อเวลาเป็นสิ่งสำคัญในงานทุกประเภท โดยเฉพาะในช่วงที่คุณเพิ่งเริ่มงานใหม่ๆ ทั้งนี้ ธุรกิจร้านอาหารมักมีความเร่งด่วนในช่วงพีคของร้าน ดังนั้น คุณควรไปก่อนเวลาเริ่มงาน เพื่อสร้างความประทับใจให้นายจ้าง [6]
  3. ต่อให้คุณเก๋ามาจากที่อื่น แต่เมื่อมาเริ่มงานเสิร์ฟที่ใหม่ คุณควรใส่ใจรายละเอียดต่างๆ ให้มากหน่อย เพราะแต่ละที่ก็ย่อมมีรายละเอียดต่างกันไปไม่มากก็น้อย การตั้งใจเรียนรู้ในช่วงทดลองงาน จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างราบรื่น [7] และมันก็จะดีกว่า หากคุณรู้จักนอบน้อมต่อหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน แทนที่จะพูดว่า “เรื่องนี้ชั้นรู้ดีอยู่แล้ว” เวลาที่พวกเขามาช่วยแนะนำคุณ
  4. หากคุณไม่เคยทำงานในร้านอาหารที่ลูกค้าเยอะมาก่อน คุณอาจจะแปลกใจที่เห็นว่างานยุ่งและเหนื่อยแค่ไหน พยายามปรับตัวให้เข้ากับความรวดเร็วในการทำงานของเพื่อนร่วมงาน เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก คุณจะเริ่มทำได้คล่องขึ้น แต่ในช่วงเริ่มก็ต้องกระตุ้นกันหน่อยเป็นธรรมดา [8]
  5. คุณอาจจะต้องเริ่มทำทุกอย่างจากล่างสุดขึ้นมา แต่การบ่นจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้น พยายามเช็ดโต๊ะและทำงานที่น่าส่ายหัวต่อไปโดยไม่ต้องบ่น เมื่อคุณมีความชำนาญมากขึ้นแล้ว ก็จะมีทางเลือกมากขึ้นเอง [9]
  6. การดูแลโต๊ะลูกค้าอาจเป็นงานที่โหดร้ายสักหน่อย เพราะคุณอาจถูกเพื่อนร่วมงานตำหนิได้ หากพวกเขารู้สึกว่าคุณทำให้ลูกค้าไม่พอใจ (และได้ทิปน้อย) [10] คุณควรเข้าใจว่า คำวิจารณ์จะลดลงไปเอง เมื่อคุณเริ่มชำนาญงานมากขึ้น พยายามยิ้มและอย่าไปหนักใจกับมันมากนัก
    • แน่นอนว่า เรื่องดังกล่าวอาจไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนกันในทุกร้าน อย่ากลัวที่จะไปสมัครงาน จนกว่าคุณจะได้รู้บรรยากาศการทำงานภายในนั้นเสียก่อน
  7. โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ เพื่อแสดงให้เพื่อนร่วมงานและนายจ้างเห็นว่าคุณพึ่งพาได้ หากคุณสามารถทำงานกะพิเศษไหว ลองเขยิบขึ้นมาอาสาทำในกะอื่นๆ ที่ว่างอยู่ด้วย เพื่อให้นายจ้างเห็นแววในตัวคุณ
  8. พยายามแสดงความใฝ่รู้ในการเรียนรู้ทักษะ หรือธรรมเนียมปฏิบัติบางอย่าง ถามทุกครั้งที่คุณไม่แน่ใจหรือกลัวผิดพลาด คนอื่นย่อมเข้าใจดีว่าคุณเป็นพนักงานใหม่ และมักจะมีใครบางคนที่ชื่นชมในความใฝ่รู้ของคุณ
    • แต่คุณไม่ควรไปถามเกี่ยวกับหน้าที่ตัวเอง เช่น “หนูกลับบ้านได้ตอนกี่โมง?” หรือ “อันนี้เป็นหน้าที่หนูด้วยเหรอคะ?” ล้วนเป็นคำถามที่ทำให้เพื่อนร่วมงานและหัวหน้าคุณหงุดหงิดได้
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • พยายามสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน พวกเขาจะช่วยเหลือคุณได้ หากสนิทกันมากขึ้น!
  • เอาเรื่องดราม่า อารมณ์เสีย และเรื่องส่วนตัว กองไว้หน้าร้าน
  • ผ่อนคลายเข้าไว้ คนไปร้านอาหารเพราะต้องการความสุข คุณก็ควรทำเช่นนั้นด้วย
  • ห้ามขอทิปเพิ่มจากลูกค้า
  • แสดงความเคารพลูกค้าเสมอ
  • พยายามสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานให้ดี เพื่อให้การทำงานราบรื่นและมีความสุขมากขึ้น
  • เอาอาหารเรียกน้ำย่อยไปเสิร์ฟก่อนเสมอ ในขณะที่มันยังร้อนๆ อยู่ จึงจะตามด้วยเครื่องดื่มและอาหารหลัก
  • อย่าคะยั้นคะยอให้ลูกค้าสั่ง หรือซื้ออะไรก็ตามที่พวกเขาไม่ต้องการ มันจะทำให้พวกเขารำคาญคุณ
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าโอ้อวดทิปที่ตัวเองได้ ให้เพื่อนร่วมงานฟัง
  • ห้ามนับทิปต่อหน้าลูกค้า
  • ห้ามยื่นจานให้ลูกค้าเพื่อส่งต่อให้อีกคน หากบรรยากาศเป็นกันเองมากหน่อย หรือคุณไม่มีทางเลือก ก็อาจจะพูดว่า “ขอประทานอภัยด้วยค่ะ”
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 47,243 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา