ในสายตาคนไทยเราอาจรู้สึกว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นและวัฒนธรรมจีนนั้นไม่แตกต่างกันมาก แถมผู้คนก็ยังหน้าตาคล้ายคลึงกันอีกด้วย แต่สำหรับคนจีนและคนญี่ปุ่นแล้ววัฒนธรรมของพวกเขาแตกต่างกันเหมือนวัฒนธรรมไทยกับวัฒนธรรมตะวันออกกลางเลยทีเดียว เมื่อคุณสามารถแยกความแตกต่างขั้นพื้นฐานได้แล้ว คุณก็จะแยกว่าสิ่งไหนเป็นวัฒนธรรมไหนได้ง่ายขึ้น การเข้าใจภาษาและการแสดงออกในเชิงบริบททางสังคมของแต่ละวัฒนธรรมเพียงเล็กน้อยก็ช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างอย่างสุดขั้วของสองวัฒนธรรมนี้ได้มากขึ้นแล้ว
ขั้นตอน
-
สังเกตค่านิยมเรื่องความสุภาพและความกลมกลืนทางสังคม. แม้ว่าทั้งสองวัฒนธรรมจะค่อนข้างสุภาพเหมือนวัฒนธรรมไทย แต่คนญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญกับมารยาทและชนชั้นทางสังคมมากกว่าคนจีน ในสังคมญี่ปุ่นคุณจะไม่ทำตัวสบายๆ หรือสนิทสนมกับคนที่อาวุโสกว่าคุณมากหรือมีสถานะทางสังคมที่สูงกว่า [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- แม้ว่าทั้งคนจีนและคนญี่ปุ่นจะนอบน้อมกับคนที่อายุมากกว่าทั้งคู่ แต่คนญี่ปุ่นจะนอบน้อมกับคนที่อายุมากกว่าแค่ 1-2 ปีด้วย เช่น ถ้าคุณเรียนอยู่ชั้นปีหนึ่งในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น คุณก็จะสุภาพและนอบน้อมกับเพื่อนนักศึกษาที่อยู่ชั้นปีสองด้วย
- คนญี่ปุ่นจะยึดมั่นเรื่องการควบคุมตนเองและมารยาทในที่สาธารณะเป็นอย่างมาก คุณจะไม่ค่อยเห็นคนญี่ปุ่นเถียงหรือแสดงความโกรธใส่กันในที่สาธารณะ แต่ถ้าเป็นคนจีนจะไม่ได้ยึดถือเรื่องนี้
-
รู้ว่าวัฒนธรรมสมัยนิยมของญี่ปุ่นนั้นแพร่หลายไปทั่วโลก. แม้ว่าคนจีนจะไม่ได้อยากใช้ประโยชน์จากวัฒนธรรมสมัยนิยมของตัวเองมากเป็นพิเศษ แต่วัฒนธรรมสมัยนิยมของญี่ปุ่นกลับกลายเป็นสินค้าที่แพร่หลายไปทั่วโลก หนังสือการ์ตูนมังงะ อนิเมะ และย่านแฟชั่นในถนนฮาราจูกุล้วนเป็นสิ่งที่ค่อนข้างคุ้นตาในวัฒนธรรมตะวันตก [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ความแตกต่างของวัฒนธรรมสมัยนิยมระหว่างสองประเทศส่วนใหญ่มีที่มาจากความแตกต่างในเรื่องของรูปแบบการปกครอง ประเทศจีนมีระบบการปกครองและเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ จึงเป็นสังคมที่ไม่ได้อิงผู้บริโภคมากนัก ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีระบบทุนนิยมที่เบ่งบานและตอบสนองความต้องการที่จะมั่งคั่งและความเพลิดเพลินของคนในประเทศ
- ภาพยนตร์และเพลงของประเทศจีนมักจะมีโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลและวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่เข้มข้น จึงไม่เป็นที่นิยมในต่างประเทศมากนัก
-
ประเมินบทบาทของศาสนาในชีวิตประจำวัน. เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ คนจีนส่วนใหญ่จึงไม่นับถือศาสนา ผู้ที่นับถือศาสนาในประเทศจีนมักจะถูกลงโทษ เพราะฉะนั้นพิธีกรรมและการรวมตัวทางศาสนาจึงมักจัดเป็นการส่วนตัว ในขณะที่คนญี่ปุ่นมักจะเคร่งศาสนามากกว่า โดยจะปฏิบัติตามระบบความเชื่อของศาสนาพุทธและชินโต [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- วัดและสวนศักดิ์สิทธิ์แบบญี่ปุ่นนั้นกระจายอยู่ทั่วประเทศ และพิธีกรรมที่เป็นทางการอันสลับซับซ้อนก็ถือเป็นการเฉลิมฉลองของคนในสังคม
- นอกจากนี้ยังมีคนญี่ปุ่นอีกเป็นจำนวนมากที่เข้าโบสถ์คริสต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยพบในประเทศจีน
-
เข้าใจความแตกต่างทางภูมิศาสตร์และประชากร. ประเทศจีนมีขนาดพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทย 19 เท่า ส่วนประเทศญี่ปุ่นนั้นเล็กกว่าประเทศไทยประมาณ 1.3 เท่า ความแตกต่างของพื้นที่บนบกทำให้ประเทศญี่ปุ่นมีความเป็นเมืองมากกว่าประเทศจีน คนจีนจะทำงานในภาคผลผลิตด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมเป็นหลัก ในขณะที่คนญี่ป่นส่วนใหญ่จะทำงานในภาคบริการ [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ขนาดของประเทศจีนทำให้เราไม่สามารถเหมารวมได้ว่าวัฒนธรรมจีนเป็นอย่างไร ภูมิภาคต่างๆ ในประเทศจีนมีขนบธรรมเนียม ประเพณี และความเชื่อเป็นของตัวเอง ประเทศจีนจะมีความหลากหลายมากกว่า ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีความเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า
- ด้วยภูมิประเทศที่เป็นเกาะ ประเทศญี่ปุ่นจึงไม่ค่อยได้รับอิทธิพลจากภายนอกมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล ทำให้วัฒนธรรมญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเมื่อเทียบกับวัฒนธรรมอื่นๆ ในขณะที่พ่อค้าชาวจีนนั้นสัมผัสกับวัฒนธรรมและเชื้อชาติต่างๆ มาเป็นเวลาช้านานและได้หลอมรวมรูปแบบ ความเชื่อ และหลักปฏิบัติต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
แยกความแตกต่างระหว่างอาหารจีนกับอาหารญี่ปุ่น. คนญี่ปุ่นนิยมรับประทานอาหารจากวัตถุดิบที่สดและดิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารทะเล ในขณะที่คนจีนจะนิยมนำวัตถุดิบไปทอด แม้ว่าข้าวและก๋วยเตี๋ยวจะเป็นวัตถุดิบที่โดดเด่นทั้งในอาหารจีนและอาหารญี่ปุ่น แต่ก็มีวิธีการปรุงและลักษณะรสชาติที่แตกต่างกันมาก [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ประเทศจีนนิยมนำข้าวมาผัดกับผัก ไข่ และซอส แต่ข้าวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะมีความเหนียวมากกว่า และแม้ว่าข้าวจะเป็นวัตถุดิบพื้นฐานในอาหารจีน แต่ในประเทศญี่ปุ่นข้าวจะถือเป็นเครื่องเคียงมากกว่า
- คนญี่ปุ่นนิยมนำผักสดไปนึ่งและเสิร์ฟแยกต่างหาก ในขณะที่คนจีนนิยมนำผักไปผัดกับเนื้อสัตว์และผสมเข้าด้วยกัน
เคล็ดลับ: แม้ว่าทั้งสองวัฒนธรรมจะใช้ตะเกียบ แต่รูปแบบของตะเกียบก็ไม่เหมือนกัน ตะเกียบแบบญี่ปุ่นจะปลายมนและมักจะสั้นกว่าตะเกียบแบบจีน
โฆษณา
-
สังเกตการโค้งคำนับเมื่อทักทาย. ทั้ง คนจีน และ คนญี่ปุ่น มักจะโค้งเวลาทักทายผู้อื่นเป็นครั้งแรก แต่คนญี่ปุ่นจะเคร่งครัดเรื่องการโค้งคำนับกว่าคนจีนมาก และระเบียบแบบแผนทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับระดับความอาวุโสและอายุของคนที่คุณทักทาย [7] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ในประเทศจีนการโค้งคำนับเริ่มถูกแทนที่ด้วยการจับมือทักทายแบบตะวันตก ยกเว้นว่าจะเป็นการทักทายผู้อาวุโส คนจีนอาจจะพยักหน้าขณะจับมือเพื่อแสดงความเคารพ แต่ในทางตรงกันข้ามการพยักหน้าเร็วๆ ในประเทศญี่ปุ่นนั้นถือว่าหยาบคาย ยกเว้นว่าจะเป็นการทักทายเพื่อนสนิทที่อายุเท่ากันหรือน้อยกว่า
-
ฟังระดับความดังของเสียงเวลาพูด. โดยทั่วไปคนญี่ปุ่นมักจะเงียบเวลาอยู่ในที่สาธารณะ ในขนส่งสาธารณะคนญี่ปุ่นมักจะปิดเสียงโทรศัพท์และไม่พูดคุยกัน หรือเวลาที่พูดคุยกันในที่สาธารณะก็คุยกันเสียงเบาๆ [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ในทางตรงกันข้ามคนจีนไม่มีข้อห้ามทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับการพูดเสียงดังหรือคุยโทรศัพท์ในที่สาธารณะ เพราะฉะนั้นถ้าคุณเห็นกลุ่มคนเอเชียที่หัวเราะและพูดคุยกันเสียงดัง พวกเขาน่าจะเป็นคนจีนมากกว่าคนญี่ปุ่น
เคล็ดลับ: ระดับเสียงอาจไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกถึงเชื้อชาติได้ดีที่สุดเสมอไปในประเทศตะวันตก เพราะเขาอาจจะรับธรรมเนียมท้องถิ่นเข้ามา แล้วแต่ว่าเขาอยู่ที่นั่นมานานแค่ไหนแล้ว
-
สังเกตกิริยาท่างและการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูด. ทั้งวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้นมีการสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูดอยู่เยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่นที่ยึดถือระบบชนชั้นในสังคมอย่างเคร่งครัด คุณสามารถแยกความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมญี่ปุ่นกับวัฒนธรรมจีนได้ด้วยการดูว่าเขายืนห่างกันแค่ไหนเวลาคุยกัน และภาษาท่าทางของเขาดูให้เกียรติและนอบน้อมมากแค่ไหน [9] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- เช่น ในประเทศจีน ความเงียบมักหมายถึงการตกลงทำอะไรสักอย่าง คนจีนเวลาที่ไม่เห็นด้วยมักจะพูดถึงข้อเสียและเน้นลักษณะร่วมก่อนจะบอกคุณว่าเขาอยากทำอะไรมากกว่า
- เนื่องจากว่าภาษาจีนเป็นภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ คนจีนจึงไม่สามารถใช้น้ำเสียงในการสื่อความหมายได้ ทำให้กิริยาและภาษาท่าทางของเขาสำคัญกว่าน้ำเสียง
- สำหรับคนญี่ปุ่น การสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูดนั้นมักเป็นสัญญาณของความเคารพและความสุภาพมากกว่า ระดับความสูงเวลาที่คุณโค้งคำนับและระยะห่างเวลายืนคุยกับอีกฝ่ายล้วนบ่งบอกถึงสถานะของเขาเมื่อเทียบกับคุณ
โฆษณา
-
สังเกตตัวอักษรญี่ปุ่นในงานเขียน. แม้ว่าภาษาเขียนทั้งในภาษาจีนและภาษาญี่ปุ่นจะใช้ตัวอักษรจีนทั้งคู่ (ภาษาจีนเรียกว่า ฮั่นจื้อ และภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า คันจิ ) แต่ภาษาญี่ปุ่นนั้นใช้สัทอักษรที่เรียกว่า ฮิรางานะ ด้วย ถ้าคุณเห็นตัวอักษรฮิรางานะในงานเขียน แสดงว่าเป็นภาษาญี่ปุ่น [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ตัวอักษรฮิรางานะจะมีลักษณะโค้งมนและลงเส้นเบา และตัวอักษรบางตัวก็ดูน่ารักอีกด้วย ซึ่งมักจะใช้แยกความต่างจากอักษรคันจิที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมและซับซ้อนได้ง่าย ตัวอักษรที่คุณควรสังเกตมากเป็นพิเศษคือ の เพราะพบค่อนข้างบ่อยและไม่เหมือนกับตัวอักษรจีนเลย ถ้าคุณเห็นอักษรตัวนี้ ก็มั่นใจได้เลยว่าเป็นภาษาญี่ปุ่น
- ภาษาญี่ปุ่นจะมีตัวอักษรที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมมุมมากกว่า เรียกว่า คาตะคะนะ ที่ใช้เขียนทับศัพท์คำที่มาจากภาษาอื่น เช่น ภาษาอังกฤษ
เคล็ดลับ: แม้ว่าภาษาญี่ปุ่นจะมีระบบอักษร 3 รูปแบบ แต่ภาษาญี่ปุ่นนั้นมีภาษาเดียว ในขณะที่ภาษาจีนนั้นมีระบบอักษรรูปแบบเดียว แต่มีหลายภาษาที่ใช้ตัวอักษรรูปแบบเดียวกัน (เหมือนที่หลายภาษาใช้ระบบอักษรละตินร่วมกัน)
-
สังเกตน้ำเสียงสูงต่ำเวลาพูดคุย. ภาษาจีนทั้งหมดเป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์ หมายความว่าน้ำเสียงขึ้นลงขณะพูดนั้นหมายถึงคนละคำกันเหมือนกับภาษาไทย ถ้าเป็นคนตะวันตกฟังก็จะรู้สึกเหมือนเป็นเสียงคนร้องเพลง [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ในทางตรงกันข้ามภาษาญี่ปุ่นจะไม่ค่อยมีเสียงสูงต่ำ คนญี่ปุ่นอาจจะปรับความสูงต่ำของน้ำเสียงเพื่อแสดงอารมณ์หรือเจตนา เหมือนภาษาอังกฤษที่จะขึ้นเสียงสูงท้ายประโยคเพื่อบอกว่าเป็นประโยคคำถาม
-
สังเกตเสียงสระ. ภาษาญี่ปุ่นมีเสียงสระแค่ 5 เสียง (น้อยกว่าภาษาไทย) และมีรูปแบบลำดับพยางค์ที่จำกัดอยู่ประมาณ 100 แบบ ถ้าคุณได้ยินเสียงสระหรือความแตกต่างระหว่างคำแค่ไม่กี่เสียง เสียงที่คุณได้ยินน่าจะเป็นภาษาญี่ปุ่น [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ในขณะที่ภาษาจีนจะมีเสียงสระมากมายขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเสียงสระที่อยู่ในคำนั้นๆ และน้ำเสียงที่ใช้ในการพูด ถ้าคุณได้ยินเสียงสระที่แตกต่างกันหลายเสียง เสียงที่คุณได้ยินน่าจะเป็นภาษาจีน
-
สังเกตการลงท้ายคำ. ภาษาจีนสามารถลงท้ายด้วยพยัญชนะอะไรก็ได้ และคำในภาษาจีนหลายคำก็ลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะ ในทางตรงกันข้ามคำในภาษาญี่ปุ่นจะลงท้ายด้วยเสียงสระหรือเสียง "อึน" เท่านั้น [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ถ้าคุณได้ยินเสียงคนพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างราบเรียบและทุกคำลงท้ายด้วยเสียงสระ คุณก็ค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่าเขาพูดภาษาญี่ปุ่น
-
รู้เชื้อชาติจากชื่อ. นามสกุลญี่ปุ่นจะหลากหลายกว่านามสกุลจีนมาก นามสกุลญี่ปุ่นอาจจะยาว 2 หรือ 3 พยางค์และมักจะลงท้ายด้วยเสียงสระเสมอ ในขณะที่นามสกุลจีนนั้นมักจะมีแค่พยางค์เดียวและลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะ [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- จำไว้ว่าถ้าเขาเกิดในประเทศตะวันตกหรือแม้แต่ในประเทศไทย ชื่อของเขาก็อาจจะเป็นชื่อที่นิยมในภาษานั้นๆ มากกว่าจะเป็นชื่อภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาจีน แต่คุณก็อาจจะยังรู้เชื้อชาติของเขาได้จากนามสกุล
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ https://web.uri.edu/iaics/files/03LinTao.pdf
- ↑ http://www.waseda.jp/gsaps/eaui/educational_program/images/winter_school/Lecture6_Kitti.pdf
- ↑ https://travelandculture.expertscolumn.com/comparing-japanese-chinese-cultures
- ↑ https://www.indexmundi.com/factbook/compare/china.japan
- ↑ https://travelandculture.expertscolumn.com/comparing-japanese-chinese-cultures
- ↑ https://www.mylearning.org/stories/asian-food-interactive/847
- ↑ https://blog.gaijinpot.com/japanese-korean-chinese/
- ↑ https://blog.gaijinpot.com/japanese-korean-chinese/
- ↑ https://online.pointpark.edu/business/cultural-differences-in-nonverbal-communication/
- ↑ https://www.lingualift.com/blog/tell-chinese-japanese-korean-apart/
- ↑ https://blog.gaijinpot.com/japanese-korean-chinese/
- ↑ https://blog.gaijinpot.com/japanese-korean-chinese/
- ↑ https://blog.gaijinpot.com/japanese-korean-chinese/
- ↑ https://www.japantimes.co.jp/life/2009/10/11/general/the-long-road-to-identity/