ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
เครื่องซักผ้าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่อำนวยความสะดวกและใช้งานได้ง่าย แต่ก็ต้องทำความรู้จักคุ้นเคยกับมันสักพัก ถ้าคุณเพิ่งได้ใช้มันครั้งแรก หรือต้องทำการซักผ้าด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ก็ไม่ต้องกลัวไป คุณสามารถเรียนรู้การใช้เครื่องซักผ้าอย่างง่าย รู้ว่าต้องใช้ผงซักฟอกกับน้ำยาปรับผ้านุ่มแบบไหนเหมาะกับผ้าชนิดใด และป้องกันไม่ให้สีเสื้อผ้าตกหรือทำให้ชุดสีขาวต้องเปื้อนสี
ขั้นตอน
-
ตรวจสอบป้ายกำกับสำหรับคำแนะนำเรื่องการซัก. เสื้อผ้าส่วนใหญ่สามารถนำมาซักด้วยเครื่องซักผ้าได้ แต่ตรวจดูป้ายคำแนะนำทุกตัวจะดีกว่า เสื้อผ้าบางตัวอาจหดถ้าเกิดคุณซักในน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน บางตัวอาจรับมือกับน้ำยาซักผ้าขาวได้แต่บางตัวก็ไม่ได้ บางตัวอาจซักกับเครื่องซักผ้าไม่ได้เลยก็มี เช่นผ้าไหมหรือผ้าบาง จึงควรตรวจสอบป้ายกำกับทุกครั้ง
- แยกเสื้อผ้าที่ป้ายกำกับว่า "ซักด้วยมือเท่านั้น" หรือ "ซักแห้งเท่านั้น"
- เชิ้ตส่วนใหญ่จะติดป้ายกำกับตรงข้างลำตัวด้านซ้ายหรือข้างในบริเวณต้นคอ
- กางเกงส่วนใหญ่จะติดป้ายข้างในของด้านหลังกางเกง
-
แยกผ้าที่ซักด้วย "สี". สีย้อมผ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในชุดที่เพิ่งซื้อมาใหม่นั้นจะตกออกระหว่างซัก สีที่ว่าสามารถไปติดเสื้อผ้าตัวอื่นและอาจสร้างความเสียหายแก่ผ้าทั้งหมด เวลาคุณทำการแยกผ้าด้วย "สี" ส่วนใหญ่จะหมายถึงแยกมันออกตามความเข้ม วิธีพื้นฐานที่สุดก็คือแยกเสื้อผ้าสีเข้มกับสีอ่อนแยกซักกัน หรือจะแยกละเอียดขึ้นโดยแยกตามสีเลยก็ได้
- สีเข้ม รวมสีอย่างสีดำ เทา กรมท่า แดงเข้ม ม่วงเข้ม
- สีอ่อน รวมสีในโทนพาสเทลทั้งหลายอย่างสีขาว ชมพู เหลือง ฟ้าอ่อน เขียวอ่อน และลาเวนเดอร์
- ยีนส์กับผ้าเดนิมสีเข้ม มักจะมีสีตก จึงควรแยกซักต่างหาก
-
แยกผ้าจากน้ำหนักของเนื้อผ้า. อีกทางเลือกหรือถ้าอยากจะละเอียดยิ่งขึ้น คุณสามารถปกป้องเสื้อผ้าไม่ให้โทรมหรือเสียหายในเครื่องซักผ้าได้โดยการแยกผ้าเนื้อหนาออกจากผ้าเนื้อบางเบา เครื่องซักผ้าส่วนใหญ่จะใช้การหมุนและปั่นผ้าไปมา และเนื้อผ้าหนาที่ใช้แรงปั่นมากขึ้นอาจทำให้ผ้าเนื้อบางเสียหาย อีกทั้งการจะซักผ้าเนื้อบางและทอละเอียดนั้น คุณต้องตั้งค่าวงจรการซักกับอุณหภูมิแตกต่างจากผ้าเนื้อหนาอยู่ดี
- ผ้าเนื้อบอบบางอย่างชุดชั้นใน ถุงน่อง และผ้าไหมที่ซักเครื่องได้นั้นควรจะแยกซักต่างหาก [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ผ้าเนื้อหนาก็อย่างเช่นกางเกงผ้าฝ้ายหนา ผ้าเช็ดตัว แจ็กเก็ต หรือสเว็ตเตอร์
- หากคุณเลือกจะแยกผ้าโดยดูจากเนื้อผ้าเป็นสำคัญ ไม่แน่ว่าอาจประหยัดพลังงานและเงินจากการต้องแยกซักหลายๆ สีก็ได้
-
ใส่ผ้าเนื้อบอบบางลงในถุงตาข่ายซักผ้า. แทนที่จะแยกซักต่างหาก คุณสามารถนำผ้าเนื้อบอบบางมาใส่ถุงตาข่ายซึ่งจะช่วยปกป้องมันจากการปั่นหนัก ถุงตาข่ายมีหลายขนาดแต่ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อปกป้องผ้าไม่กี่ชิ้น พวกมันสามารถนำลงซักพร้อมผ้าเนื้อหนาได้
- ถุงตาข่ายไม่ได้ป้องกันเสื้อผ้าจากการถูกสีตกใส่ ดังนั้นควรแน่ใจว่าจะซักมันพร้อมสีที่ใกล้เคียงกัน ในกรณีส่วนใหญ่นั้นผ้าบอบบางจะไม่มีสีตกและปลอดภัยถ้าซักรวมกับผ้าสีอ่อน
-
แยกผ้าที่มีคราบเลอะ. คราบเปื้อนบางอย่างต้องการการดูแลเป็นพิเศษก่อนจะนำไปซัก รอยคราบที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษโดยมากได้แก่ คราบมันหรือรอยน้ำมันบนผ้า
- หลีกเลี่ยงการซักหรือปั่นแห้งผ้าที่มีรอยคราบในเครื่องซักผ้า คราบบางอย่างจะยิ่งติดแน่นเมื่อเพิ่มความร้อน ทำให้ขจัดยากขึ้นกว่าเดิม
โฆษณา
-
เลือกวงจรการซักที่ถูกต้อง. วงจรการซักประกอบด้วยความเร็วสำคัญสองประเภท: ความเร็วที่เครื่องใช้ปั่นหรือหมุนผ้าในน้ำ กับความเร็วที่จะใช้รีดน้ำออกจากผ้า [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังซักอะไร วงจรการซักที่เลือกควรเหมาะสมกับชนิดของเนื้อผ้าเพื่อจะช่วยให้ซักได้สะอาดที่สุดโดยที่ยังปกป้องเสื้อผ้าไม่ให้เสียหาย
- วงจรการซักปกติ: วงจรนี้จะใช้ความเร็วสองส่วน ทั้งปั่นเร็วและรีดเร็ว มันช่วยในการทำความสะอาดเสื้อผ้าที่สกปรกมากหรืออับเหงื่อ ซึ่งนี่จะเป็นวงจรที่คุณจะใช้เป็นประจำ ผ้าที่หนาอยู่ทรงเช่นผ้าค็อตตอน ลินิน เดนิม ผ้าขนหนู และชุดเครื่องนอนล้วนแต่ใช้ซักในวงจรการซักปกติได้ดี
- วงจรการซักสำหรับผ้ารีดสำเร็จ (Permanent or Perm Press): วงจรนี้จะเป็นแบบเร็ว/ช้า เนื้อผ้าเหล่านี้ต้องการการปั่นเร็วเพื่อความสะอาดแต่หมุนรีดช้าๆ เพื่อป้องกันเนื้อผ้าหด ใช้วงจรนี้กับผ้าเนื้อใยสังเคราะห์อย่างเรยอง ไหมพรม โพลีเอสเตอร์ และอะซีเทต เนื้อผ้าใยสังเคราะห์นั้นมักจะขึ้นขน หรือเกิดใยผ้าเป็นลูกกลมๆ วงจรการรีดน้ำช้าๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้มันขึ้นขน
- วงจรการซักผ้าเนื้อบอบบาง (Delicate Cycle): วงจรนี้ใช้แบบช้า/ช้า จะลดการปั่นเพื่อป้องกันไม่ให้ผ้าดูโทรม อย่างไรก็ดี ระดับความสะอาดก็พลอยลดลงไปจากการปั่นช้าๆ นี้ วงจรนี้เหมาะจะใช้กับเนื้อผ้าจำเพาะบางอย่างเช่น ชุดชั้นใน ผ้าเลื่อม ผ้าลูกไม้ หรือผ้าทอห่างๆ หรือชิ้นที่ทำจากผ้าเนื้อบางละเอียด เช่น ถุงน่อง
- วงจรพิเศษ (Special cycles): เครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ๆ อาจมีวงจรพิเศษที่ทำการฆ่าเชื้อ อบไอน้ำ หรืออ้างว่าปกป้องผ้าขาวและขจัดคราบได้ ดูในคู่มือเครื่องซักผ้าของคุณสำหรับคำอธิบายเพิ่มเติมว่าแต่ละวงจรพิเศษทำอะไรได้บ้าง
-
ตั้งอุณหภูมิน้ำ. ในทางทฤษฎีนั้น น้ำยิ่งร้อน ผ้าก็ยิ่งสะอาด น้ำร้อนจะฆ่าเชื้อได้ดีกว่า ละลายผงซักฟอกได้ผลมากกว่า และขจัดคราบสกปรกที่ก่อตัวทำให้ผ้าดูสดใสและสะอาดกว่า กระนั้น ในบางกรณี น้ำร้อนก็ทำให้ผ้าหด สีซีด คราบฝังแน่นกว่าเดิม และอาจทำให้ค่าไฟพุ่งกระฉูด [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ดังนั้นเลือกอุณหภูมิของน้ำที่เนื้อผ้านั้นทนได้แต่คุณก็ประหยัดด้วยจะได้ผลที่ดีที่สุด
- ใช้ น้ำเย็น ในวงจรการซักผ้าเนื้อบอบบางสำหรับผ้าเนื้อละเอียด ผ้าที่อาจมีสีตก หรือผ้าที่ไม่ได้สกปรกมาก
- ใช้ น้ำอุ่น ในวงจรการซักผ้ารีดสำเร็จ ผ้าสีเข้ม และผ้าที่มีความสกปรกปานกลาง
- ใช้ น้ำร้อน สำหรับผ้าขนหนู เครื่องนอน ผ้าที่หนาอยู่ทรง หรือผ้าที่สกปรกมาก
- น้ำเย็นเป็นวิธีการซักผ้าที่ใช้พลังงานได้มีประสิทธิภาพที่สุด พลังงานที่ใช้ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ในวงจรการซักด้วยความร้อนนั้นจะหมดไปกับการทำให้น้ำร้อน [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง มันยังเป็นวิธีการซักผ้าที่อ่อนโยนและถนอมเนื้อผ้าที่สุด
- สำหรับเครื่องซักผ้าบางเครื่อง อุณหภูมิน้ำจะถูกตั้งค่าไว้แล้วตามวงจรการซักที่คุณเลือก เช่น วงจรปกติมักจะใช้น้ำที่ร้อนราว 30 °C หรือ 40 °C (85 °F ถึง 75 °F)
-
ใส่ผงซักฟอกและตัวเพิ่มพลังอื่นๆ อย่างน้ำยาปรับผ้านุ่ม. สำคัญมากที่คุณต้องอ่านคู่มือเครื่องซักผ้าว่าผงซักฟอกชนิดไหนที่เครื่องสามารถรับได้และต้องใส่ตรงไหน เดี๋ยวนี้เครื่องส่วนใหญ่จะรับทั้งผงซักฟอกแบบน้ำหรือสูตรพลังแรงได้ เช่นเดียวกับน้ำยาทำความสะอาดอื่นๆ เช่นน้ำยาฟอกสี
- เครื่องซักผ้าแบบใส่ผ้าด้านหน้ามักจะมีลิ้นชักไว้ใส่ผงซักฟอกและมีส่วนแยกสำหรับใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มหรือน้ำยาฟอกสีต่างหาก เครื่องซักผ้าจะปล่อยผงซักฟอกในเวลาที่เหมาะสมให้เอง
- เครื่องซักผ้าแบบใส่ผ้าด้านบนจะต้องให้คุณเทผงซักฟอกลงไปในถังซักก่อนจะเริ่มวงจรซัก ทางที่ดีควรเติมผงซักฟอกลงไป ก่อน จะใส่เสื้อผ้า เพื่อที่ความเข้มข้นของผงซักฟอกไม่ไปทำให้ผ้าเกิดคราบหรือเสียหาย ในบางกรณีทางที่ดีควรเปิดน้ำไปละลายผงซักฟอกก่อนจะนำเสื้อผ้าใส่ลงไปซัก
- ปริมาณผงซักฟอกที่ใช้จะแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อผงซักฟอกและประเภทของเครื่องซัก ดังนั้นตรวจดูด้านหลังกล่องผงซักฟอกและดูป้ายกำกับบนเครื่องซักผ้าเพื่อดูว่าต้องใช้มากแค่ไหน
-
ใส่เสื้อผ้าลงไปในเครื่อง. ตรงนี้ก็ง่ายๆ แค่โยนเสื้อผ้าลงในถังซัก แต่ระวังหน่อยอย่าใส่มากชิ้นจนเกินไป คุณต้องเหลือพื้นที่ให้ผ้าได้ปั่นและทำความสะอาด เครื่องบางรุ่นอาจมีตัวเลือกว่าจะซักผ้ากองเล็ก กองปานกลางหรือกองใหญ่ ทางเลือกนี้จะปรับระดับน้ำภายในวงจรการซักตามขนาดกองผ้า
- ผ้ากองเล็กจะใช้เนื้อที่ราว 1/3 ของถังซัก
- ผ้ากองปานกลางจะใช้เนื้อที่ครึ่งหนึ่ง (1/2) ของถังซัก
- ผ้ากองโตจะใช้เนื้อที่ราว ¾ ของถังซัก
-
เปิดการทำงานของเครื่องซักผ้า. อา...สำเร็จแล้ว ตอนนี้คุณก็แค่กดปุ่มเดินเครื่องเท่านั้นเอง! แต่จำไว้ด้วยว่าต้องปิดฝาครอบให้สนิทนะ!โฆษณา
เคล็ดลับ
- เครื่องซักผ้าบางเครื่องอาจต้องให้คุณตั้งเวลาวงจรการซัก ส่วนใหญ่จะทำเองโดยอัตโนมัติ แต่คุณอาจต้องตั้งค่าเองด้วยมือ ควรตั้งเวลาไว้ราวชั่วโมงหรือชั่วโมงครึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าผ้าสกปรกแค่ไหน
- คุณสามารถเลือกเติมน้ำยาปรับผ้านุ่มในระหว่างขั้นตอนล้างผงซักฟอก
โฆษณา
คำเตือน
- ตรวจดูกระเป๋ากางเกงก่อนนำลงใส่เครื่อง มันอาจจะมีไม้ขีดไฟ แบตเตอรี่ หรือสิ่งอื่นๆ ที่อาจติดไฟได้
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.mamaslaundrytalk.com/laundry-basics-how-to-sort-clothes/
- ↑ http://www.mamaslaundrytalk.com/laundry-basics-how-to-choose-the-washing-cycle/
- ↑ http://www.mamaslaundrytalk.com/laundry-basics-choosing-water-temperature/
- ↑ http://www.treehugger.com/culture/washing-laundry-in-cold-water-is-the-same-as.html
- วิดีโอจาก Clean My Space
โฆษณา