เมื่อเข้าสู่ยุคอินเตอร์เน็ต ยุคของภาษาอินเตอร์เน็ตและยุคของการส่งข้อความ SMS เราอาจเริ่มลืมวิธีการใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษที่มีความสำคัญ คุณอยากเขียนเรียงความที่ดีสำหรับวิชาที่คุณเรียนหรือเขียนข้อเสนอที่ถูกขัดเกลาเป็นอย่างดีให้หัวหน้าของคุณหรือไม่? ถ้าใช่ การใช้เครื่องหมายวรรคตอนอย่างถูกต้องนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นเป็นอย่างยิ่ง บทความนี้จะเป็นการเรียนรู้วิธีใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษแบบเร่งรัด คุณสามารถเริ่มได้ทันทีโดยเริ่มจากขั้นตอนที่หนึ่ง!
ขั้นตอน
-
ขึ้นต้นประโยคด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เสมอ. เว้นแต่ว่าคุณเป็นกวีล้ำยุค ถ้าไม่เช่นนั้นคุณต้องใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่กับตัวอักษรแรกของประโยคไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม โดยปกติตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เป็นตัวอักษรที่ใหญ่กว่าของตัวอักษรหนึ่งๆ เท่านั้น แต่ก็มีข้อแม้อยู่บ้าง (เช่น ตัวอักษร “q” และ “Q” เมื่อเขียนแบบตัวเขียน)
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เมื่อขึ้นต้นประโยคอย่างถูกต้อง:
S he invited her friend over after school.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่เมื่อขึ้นต้นประโยคอย่างถูกต้อง:
-
ใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ขึ้นต้นชื่อเฉพาะและชื่อเรื่อง. นอกจากตัวอักษรพิมพ์ใหญ่จะใช้เมื่อขึ้นต้นประโยคแล้ว ยังใช้ขึ้นต้นชื่อเฉพาะและชื่อเรื่องชื่อเฉพาะเป็นชื่อเรียกคน สถานที่และสิ่งอย่างเฉพาะเจาะจง ชื่อเรื่องเป็นส่วนหนึ่งของคำเฉพาะใช้เรียกชื่อผลงาน เช่น หนังสือ ภาพยนตร์ ละคร ฯลฯ และใช้เรียกชื่อสถาบัน พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ และอื่นๆ อีกมาก ชื่อเรียกยังหมายถึงคำนำหน้าชื่ออีกด้วย (Her Majesty, Mr. President, ฯลฯ)
- ถ้าชื่อเรื่องหรือชื่อเฉพาะประกอบด้วยคำมากกว่าหนึ่งคำ ต้องขึ้นต้นแต่ละคำด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ ยกเว้นคำที่ใช้ตัวพิมพ์เล็กและคำนำหน้านาม เช่น “the,” “an,” “and,” ฯลฯ แต่คำแรกของชื่อเรียกจะต้องเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นคำประเภทใดก็ตาม
- ต่อนี้เป็นตัวอย่างการใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่กับชื่อเฉพาะและชื่อเรื่อง:
G enghis K han quickly became the most powerful man in A sia, if not the world.
In her opinion, Q ueen R oberta's favorite museum in the world is the S mithsonian, which she visited during her trip to W ashington, D . C ., last year.
-
ใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่กับคำย่อ. คำย่อประกอบด้วยตัวอักษรแรกของแต่ละคำในชื่อเฉพาะหรือชื่อเรื่อง คำย่อมักใช้เพื่อกระชับชื่อเฉพาะที่ยาวให้สั้นขึ้น ชื่อที่ยาวสร้างความลำบากเมื่อต้องเขียนชื่อเต็มทุกครั้งที่ถูกกล่าวถึง บางครั้งคำย่อถูกคั่นด้วยเครื่องหมายมหัพภาค (จุด)
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคำย่อที่ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่:
The CIA and the NSA are just two of the USA' s many intelligence agencies.
โฆษณา - ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคำย่อที่ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่:
-
ใช้เครื่องหมายฟูลสต็อปเพื่อจบประโยคบอกเล่า.ทุกประโยคจะต้องเครื่องหมายวรรคตอนอย่างน้อยหนึ่งเครื่องหมายคือเครื่องหมายวรรคตอนท้ายประโยค เครื่องหมายวรรคตอนท้ายประโยคที่ใช้บ่อยมากที่สุดคือเครื่องหมายฟูลสต็อป (“.” ) จุดเล็กๆ นี้ใช้สำหรับจบ “ประโยคบอกเล่า” โดยส่วนใหญ่ประโยคที่พบมักเป็นประโยคประเภทดังกล่าวซึ่งก็คือประโยคใดๆ ที่บอกเล่าหรือกล่าวถึงข้อเท็จจริง อธิบายหรือบรรยายแนวคิด
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายฟูลสต็อปท้ายประโยคอย่างถูกต้อง:
The accessibility of the computer has increased tremendously over the past several years.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายฟูลสต็อปท้ายประโยคอย่างถูกต้อง:
-
ใช้เครื่องหมายปรัศนีในการจบประโยคคำถาม. เครื่องหมายปรัศนีหรือเครื่องหมายคำถาม ("?") ซึ่งใช้จบประโยคมีหน้าที่แสดงว่าประโยคนั้นเป็นประโยคคำถาม ให้ใช้เครื่องหมายปรัศนีจบประโยคคำถาม ข้อสงสัยและการสอบถาม
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายปรัศนีท้ายประโยคอย่างถูกต้อง:
What has humanity done about the growing concern of global warming?
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายปรัศนีท้ายประโยคอย่างถูกต้อง:
-
ใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์จบประโยคอุทาน. เครื่องหมายอัศเจรีย์ (“!” หรือ “เครื่องหมายตกใจ”) แสดงถึงความตื่นเต้นหรือการเน้นประโยคที่อยู่ก่อนหน้า เครื่องหมายอัศเจรีย์ใช้จบประโยคอุทานหรือคำสั้นๆ ที่แสดงอารมณ์แรงกล้า
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ท้ายประโยคอย่างถูกต้อง:
I can't believe how difficult the exam was!
Eek! You scared me!
โฆษณา - ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ท้ายประโยคอย่างถูกต้อง:
-
ใช้เครื่องหมายคอมม่าเพื่อแสดงการแทรกประโยค. เครื่องหมายคอมม่า (",") เป็นเครื่องหมายสารพัดประโยชน์ มีประโยคตัวอย่างมากมายที่ต้องใช้เครื่องหมายคอมม่า เครื่องหมายคอมม่าใช้บ่อยสุดน่าจะเป็นการใช้เพื่อแสดงถึงการแทรกอนุประโยคในประโยคหลักเพื่อเพิ่มสารหรือข้อมูล
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายคอมม่าเพื่อแทรกประโยค:
Bill Gates, CEO of Microsoft, is the developer of the operating system known as Windows.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายคอมม่าเพื่อแทรกประโยค:
-
ใช้เครื่องหมายคอมม่าเมื่อกล่าวถึงรายการ. การใช้เครื่องหมายคอมม่าที่ใช้บ่อยอีกประการหนึ่งคือใช้แยกรายการที่เรียงเป็นลำดับ โดยปกติเครื่องหมายคอมม่าจะใช้คั่นระหว่างรายการแต่ละรายการและระหว่างรายการที่สองจากท้ายกับคำสันธาน (คำเชื่อม)
- อย่างไรก็ตาม นักเขียนหลายคนไม่เติมเครื่องหมายคอมม่าหน้าคำสันธาน (เรียกว่า “Serial comma” หรือ “Oxford comma”) เพราะคำสันธาน เช่น “and” ช่วยแยกรายการได้อย่างชัดเจนโดยที่มีหรือไม่มีเครื่องหมายคอมม่า
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายคอมม่ากับรายการ โดยหนึ่งในตัวอย่างเป็น “Oxford comma” และอีกตัวอย่างไม่มีเครื่องหมายคอมม่า:
The fruit basket contained apples, bananas, and oranges.
The computer store was filled with video games, computer hardware and other electronic paraphernalia.
-
ใช้เครื่องหมายคอมม่าเพื่อแยกคำวิเศษตั้งแต่สองคำขึ้นไปที่ขยายคำนาม.บางครั้งคำวิเศษถูกนำมาใช้ต่อกันหลายคำเพื่ออธิบายลักษณะต่างๆ ของสิ่งๆ หนึ่ง การใช้เครื่องหมายแบบนี้คล้ายกับการใช้เครื่องหมายคอมม่าเพื่อแยกรายการ แต่มีข้อแตกต่างอย่างหนึ่งคือการเติมเครื่องหมายคอมม่าหลังคำวิเศษคำสุดท้ายนั้น “ผิด”
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายคอมม่าเพื่อแยกคำวิเศษอย่างถูกวิธีและผิดวิธี:
ถูก - The powerful, resonating sound caught our attention.
ผิด - The powerful, resonating, sound caught our attention.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายคอมม่าเพื่อแยกคำวิเศษอย่างถูกวิธีและผิดวิธี:
-
ใช้เครื่องหมายคอมม่าเพื่อแยกตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์. สถานที่หรือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์จะเขียนรายละเอียดที่อยู่โดยเริ่มจากหน่วยที่เจาะจงที่สุดไปหน่วยที่กว้างกว่า เช่น คุณอาจกล่าวถึงเมืองๆ หนึ่งโดยการเขียนชื่อเมืองนั้นๆ แล้วตามด้วยจังหวัดและประเทศ โดยชื่อที่อยู่แต่ละชื่อจะตามด้วยเครื่องหมายคอมม่า และอย่าลืมว่าต้องใส่เครื่องหมายคอมม่าหลังที่อยู่หากมีประโยคต่อท้าย
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายคอมม่าอย่างถูกต้องเมื่อกล่าวถึงที่อยู่ทางภูมิศาสตร์:
I am originally from Hola, Tana River County, Kenya.
Los Angeles, CA, is one of the largest cities in the United States.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายคอมม่าอย่างถูกต้องเมื่อกล่าวถึงที่อยู่ทางภูมิศาสตร์:
-
ใช้เครื่องหมายคอมม่าเพื่อแยกวลีเกริ่นนำจากทั้งประโยค. วลีเกริ่นนำ (ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบุพบทวลีหนึ่งวลีหรือมากกว่า) จะเกริ่นนำเข้าประโยคและบอกบริบท แต่ไม่ได้เป็นประธานหรือภาคแสดงของประโยค ดังนั้นวลีเกริ่นนำจึงควรถูกแยกจากประโยคหลักด้วยคอมม่า
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้คอมม่าแยกวลีเกริ่นนำจากประโยคหลัก:
After the show, John and I went out to dinner.
On the back of my couch, my cat's claws have slowly been carving a large hole.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้คอมม่าแยกวลีเกริ่นนำจากประโยคหลัก:
-
ใช้เครื่องหมายคอมม่าแยกประโยคหลักสองประโยค. การมีประโยคหลักสองประโยครวมกันเป็นหนึ่งประโยคหมายความว่าประโยคดังกล่าวสามารถแยกออกมาเป็นสองประโยคได้โดยใจความไม่เปลี่ยน ถ้าประโยคหนึ่งๆ มีประโยคหลักสองประโยคที่ถูกแยกด้วยคำสันธาน (เช่น and , as , but , for , nor , so , หรือ yet ) ให้วางคอมม่าหน้าคำวิเศษ
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างประโยคที่มีประโยคหลักสองประโยค:
Ryan went to the beach yesterday, but he forgot his sunscreen.
Water bills usually rise during the summer, as people are thirstier during hot and humid days.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างประโยคที่มีประโยคหลักสองประโยค:
-
ใช้เครื่องหมายคอมม่าเมื่อเรียกขานชื่อโดยตรง. เมื่อเรียกชื่อบุคคลเพื่อเรียกร้องความสนใจที่ต้นประโยค ให้แยกชื่อบุคคลออกจากประโยคด้วยคอมม่า แต่การใช้คอมม่าในกรณีนี้พบได้น้อยมากในการเขียนเพราะมักจะใช้เฉพาะกับการพูดเท่านั้น ในการเขียนผู้เขียนมักใช้วิธีอื่นเพื่อบอกว่าใครกับพูดกับใครมากกว่า
- ต่อไปนี้เป็นประโยคการเรียกขานชื่อโดยตรง:
Amber, could you come here for a moment?
- ต่อไปนี้เป็นประโยคการเรียกขานชื่อโดยตรง:
-
ใช้เครื่องหมายคอมม่าเพื่อแยกประโยคอ้างอิงโดยตรงจากประโยคหลัก. คอมม่าควรอยู่หลังคำสุดท้ายของประโยคอ้างอิงแต่อยู่หน้าเครื่องหมายอัญประกาศซึ่งคั่นระหว่างประโยคอ้างอิงและประโยคหลักที่ช่วยขยายและอธิบายประโยคอ้างอิง ในทางกลับกัน การใช้เครื่องหมายคอมม่ากับประโยคอ้างอิงโดยอ้อมนั้น “ไม่” จำเป็น กล่าวคือคุณใช้วิธีถอดความแทนการยกประโยคที่อ้างอิงมาทั้งประโยค นอกจากนี้ คุณไม่จำเป็นต้องเติมคอมม่าถ้าคุณอ้างอิงเพียงไม่กี่คำและไม่ได้ยกประโยคมาทั้งประโยค
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างประโยคอ้างอิงโดยตรงที่ต้องใช้คอมม่า:
While I was at his house, John asked, "Do you want anything to eat?"
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างประโยคอ้างอิงโดยอ้อมที่ไม่ต้องใช้คอมม่า:
While I was at his house, John asked me if I wanted anything to eat.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างประโยคอ้างอิงโดยตรงแค่ “บางส่วน” เพราะความสั้นของคำที่นำมาอ้างอิงและการนำมาใช้ในประโยคซึ่งไม่ต้องใช้คอมม่า:
According to the client, the lawyer was "lazy and incompetent."
โฆษณา - ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างประโยคอ้างอิงโดยตรงที่ต้องใช้คอมม่า:
-
ใช้เซมิโคลอนเพื่อแยกอนุประโยคสองประโยคที่เกี่ยวเนื่องกัน.การใช้เซมิดคอนที่ถูกต้องนั้นคล้ายกับการใช้เครื่องหมายฟูลสต็อปแต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เซมิโคลอนบ่งบอกถึงการจบอนุประโยคหนึ่งและต่อด้วยอีกอนุประโยคหนึ่งที่อยู่ในประโยคเดียวกัน แต่ถ้าอนุประโยคทั้งสองประโยคนั้นซับซ้อนและยาวควรใช้เครื่องหมายฟูลสต็อปแทน
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เซมิโคลอนอย่างถูกต้อง:
People continue to worry about the future; our failure to conserve resources has put the world at risk.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เซมิโคลอนอย่างถูกต้อง:
-
ใช้เซมิโคล่อนเพื่อแยกรายการที่ซับซ้อน.โดยปกติ การเขียนรายการจะถูกแยกด้วยคอมม่าแต่รายการที่ต้องการการอธิบายหรือขยายความจะใช้เซมิโคลอนประกอบคอมม่าเพื่อช่วยไม่ให้ผู้อ่านเกิดความสับสน ให้ใช้เซมิดคลอนเพื่อแยกรายการหนึ่งๆ พร้อมความขยายออกจากรายการอื่น และใช้คอมม่าเพื่อแยกรายการและความขยายออกจากกัน
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายเซมิโคลอนกับรายการที่อาจสร้างความคลุมเครือ:
I went to the show with Jake, my close friend; his friend, Jane; and her best friend, Jenna.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายเซมิโคลอนกับรายการที่อาจสร้างความคลุมเครือ:
-
ใช้เครื่องหมายโคลอนเพื่อเริ่มการนำเสนอรายการ.อย่างไรก็ตาม ต้องระวังอย่าใช้โคลอนเมื่อประโยคนั้นมีใจความที่ต้องกล่าวถึงรายการ ประโยคที่มีรายการทั้งแบบที่ใช้และไม่ใช่โคลอนนั้นคล้ายกันแต่แตกต่างกัน โดยปกติ คำว่า “following” หรือ “below” จะช่วยบ่งบอกถึงการใช้โคลอน เติมโคลอนที่ท้ายประโยคที่สมบูรณ์ซึ่งจบด้วยคำนามเท่านั้น
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายโคลอนที่ถูกต้องในกรณีนี้:
The professor has given me three options: to retake the exam, to accept the extra credit assignment, or to fail the class.
- ในทางกลับกัน ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายโคลอนที่ผิด::
The Easter basket contained: Easter eggs, chocolate rabbits, and other candy.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายโคลอนที่ถูกต้องในกรณีนี้:
-
ใช้โคลอนเพื่อเสนอความคิดหรือตัวอย่างใหม่.สามารถใช้เครื่องหมายโคลอนหลังวลีขยายหรือคำอธิบายเพื่อบ่งบอกว่าสิ่งที่อยู่ถัดจากนี้เป็นสิ่งที่ถูกอธิบายหรือขยายความ ให้ลองคิดว่าเป็นการ “นำเสนอรายการที่มีเพียงหนึ่งรายการ”
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายโคลอนที่ถูกต้องในกรณีนี้:
There's only one person old enough to remember that wedding: grandma .
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายโคลอนที่ถูกต้องในกรณีนี้:
-
ใช้โคลอนเพื่อแยกชื่อเรื่อง. ผลงานบางชิ้น โดยเฉพาะหนังสือและภาพยนตร์ อาจมีชื่อเรื่องที่ยาวหรือมีชื่อย่อย ในกรณีเช่นนี้ ชื่อที่ตามมาจากชื่อแรกจะเรียกว่า “ชื่อย่อย” ให้ใช้โคลอนเพื่อแบ่งชื่อหลักและชื่อย่อยออกจากกัน
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายโคลอนเพื่อแบ่งชื่อหลักและชื่อย่อยที่ยาว:
Fred's favorite movie was The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring , though Stacy preferred its sequel, The Lord of the Rings: The Two Towers .
โฆษณา - ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายโคลอนเพื่อแบ่งชื่อหลักและชื่อย่อยที่ยาว:
-
ใช้ไฮเฟ่นเมื่อเติมคำนำหน้า (prefix).จุดประสงค์ของการเติมไฮเฟ่นคือเพื่อให้อ่านง่าย เช่น ถ้าคุณไม่เติมไฮเฟ่นหน้าคำว่า “re-examine” ก็จะกลายเป็น “reexamine” ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านสับสน อย่างไรก็ตาม คำบางคำไม่จำเป็นต้องใช้ไฮเฟ่นเพื่อแยกคำนำหน้า เช่น restate, pretest, และ undo ให้ดูพจนานุกรมเป็นแบบว่าเมื่อใดควรใช้ไฮเฟ่นหลังคำนำหน้า
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้ไฮเฟ่นที่ถูกต้อง:
Cara is his ex-girlfriend.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้ไฮเฟ่นที่ถูกต้อง:
-
ใช้ไฮเฟ่นเมื่อสร้างคำผสมจากคำเล็กๆ หลายคำ. ถ้าคุณเคยเขียนอะไรที่ “gold-plated,” “radar-equipped,” หรือ “one-size-fits-all” แสดงว่าคุณเคยใช้ไฮเฟ่นในกรณีนี้แล้วเมื่อสร้างคำพรรณนายาวๆ ที่ประกอบด้วยคำสองคำขึ้นไปให้ใช้ไฮเฟ่นแยกคำออกจากกัน
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายไฮเฟ่นเพื่อสร้างคำผสม:
The up-to-date newspaper reporters were quick to jump on the latest scandal.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายไฮเฟ่นเพื่อสร้างคำผสม:
-
ใช้ไฮเฟ่นเมื่อเขียนตัวเลขเป็นตัวอักษร.แยกเลขที่มีสองคำที่มีจำนวนน้อยกว่าหนึ่งร้อยออกจากกันด้วยไฮเฟ่น ให้ระวังตอนเขียนเลขที่มากกว่าหนึ่งร้อยเพราะถ้าเลขทำหน้าที่เป็นคำวิเศษจะต้องเติมไฮเฟ่น เพราะคำวิเศษผสมจะต้องเติมไฮเฟ่นเสมอ ( This is the one-hundredth episode. ) หรือไม่เช่นนั้น เลขที่น้อยกว่าหนึ่งร้อยแต่ต้องเติมไฮเฟ่นจะต้องเป็นเลขที่อยู่ในเลขจำนวนใหญกว่า เช่น He lived to be one hundred twenty-one.
- ไม่ควรใช้ “and” เวลาเขียนตัวเลข ดังกรณีนี้ "The amount is one hundred and eighty" ซึ่งสำหรับคนสหรัฐอเมริกาและแคนาดาถือว่าเป็นการใช้อย่างผิดวิธีเพราะในกรณีดังกล่าว “and” มักจะถูกละไว้ อย่างไรก็ตามประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษประเทศอื่นๆ “and” สามารถใช้ในกรณีนี้ได้
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้ไฮเฟ่นกับเลขที่น้อยกว่าและมากกว่าหนึ่งร้อยตามลำดับ:
There are fifty-two playing cards in a deck.
The packaging advertised one thousand two hundred twenty-four firecrackers, but it only contained one thousand.
-
ใช้เครื่องหมายแดชเพื่อแสดงการถูกขัดจังหวะในประโยค. เครื่องหมายแดช ("--" or "—") จะค่อนข้างยาวกว่าไฮเฟ่นและใช้เพื่อแสดงการเปลี่ยนทิศทางหัวข้อสนทนา, การเสริมความเห็น, หรือการเขียนแสดงข้อแม้ที่หนักแน่นภายในประโยค แดชยังสามารถใช้เพื่อแทรกประโยคเสริม เช่น เพื่ออธิบายเพิ่มในภายหลัง แต่ประโยคที่แทรกเข้ามาควรมีความเกี่ยวข้องกับประโยคหลักเพราะไม่เช่นนั้นควรวงเล็บแทน พึงนึกไว้เสมอว่าประโยคทั้งประโยคควรมีความลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ
- วิธีการดูว่าคุณใช้เครื่องหมายแดชถูกต้องหรือไม่ ให้ลองลบประโยคที่อยู่ในแดชออกจากประโยคหลัก ถ้าอ่านประโยคหลักแล้วความไม่ครบหรือไม่เข้าใจแสดงว่าคุณควรเรียบเรียงประโยคใหม่มากกว่าใส่แดช
- ในภาษาอังกฤษแบบบริติชควรเว้นวรรคหน้าและหลังเครื่องหมายแดช
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายแดชที่ถูกต้อง:
An introductory clause is a brief phrase that comes — yes, you guessed it — at the beginning of a sentence.
This is the end of our sentence — or so we thought.
-
ใช้ไฮเฟ่นเพื่อแยกคำระหว่างบรรทัด. แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ค่อยใช้ไฮเฟ่นในกรณีนี้แล้วก็ตาม แต่ไฮเฟ่นเคยถูกใช้เป็นประจำเมื่อพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด ไฮเฟ่นจะใช้แบ่งคำที่ยาวที่ทำให้ต้องแยกบรรทัด การใช้แบบนี้ยังสามารถเห็นได้บ้างในหนังสือบางเล่ม แต่โปรแกรมพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ทำให้การไฮเฟ่นในกรณีนี้แทบจะหายไป
- ต่อไปนี้เป็นตัวการใช้ไฮเฟ่นเพื่อแยกคำออกเพราะอยู่คนละบรรทัด:
No matter what he tried, he just couldn't get the novel's elec-
trifying surprise ending out of his head .
โฆษณา - ต่อไปนี้เป็นตัวการใช้ไฮเฟ่นเพื่อแยกคำออกเพราะอยู่คนละบรรทัด:
-
ใช้อะพอสทรอฟีร่วมกับตัว “s” เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ. อะพอสทรอฟี (" ' ") มีวิธีใช้หลายวิธีเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ พึงระวังการใช้อะพอสทรอฟีกับนามเอกพจน์และพนูพจน์ที่แตกต่างกัน นามเอกพจน์จะใส่อะพอสทรอฟีก่อน ตัว“s” ( 's ) ขณะนี้นามพหูพจน์จะใส่อะพอสทรอฟีหลังตัว “s” ( s' ) การใช้แบบนี้มีกฎตามมาอยู่สองสามกฎดังนี้
- ระวังคำนามที่ถูกมองว่าเป็นพหูพจน์ เช่น “children” และ “people” ในกรณีนี้ควรใช้ 's แม้ว่านามนั้นจะเป็นพหูพจน์
- ระวังสรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของอยู่แล้วจึงไม่ต้องใช้อะพอสทรอฟี เช่น “her” และ “its” (“it’s” ใช้สำหรับรวบคำ “it is” และ “it has”) “their” เป็นคำแสดงความเป็นเจ้าของที่ไม่ใช้ทั้งอะพอสทรอฟีและ “s” เว้นแต่จะเป็นคำวิเศษที่ขยายประธานซึ่งจะกลายเป็น “theirs”
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้อะพอสทรอฟีใช้กับนามเอกพจน์เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ:
The hamster ' s water tube needs to be refilled.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้อะพอสทรอฟีที่ใช้กับนามพหูพจน์เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ:
In the pet store, the hamsters ' bedding needed to be changed.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้อะพอสทรอฟีที่ใช้นามพหูพจน์ที่ไม่ลงท้ายด้วย “s” เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ:
These children ' s test scores are the highest in the nation.
-
ใช้อะพอสทรอฟีเพื่อรวบคำสองคำเข้าด้วยกัน. การรวบคำเป็นการรวบคำสองคำเข้าด้วยกันให้สั้นขึ้น เช่น จาก cannot เป็น can't , "it is" เป็น "it's", you are เป็น you're , และ “they have” เป็น they've ในการรวบคำ อะพอสทรอฟีจะแทนที่ตัวอักษรที่หายไปจากคำทั้งสองคำหรือจากคำใดคำหนึ่ง
- อย่าลืมใช้สรรพนาม “your” และคำรวบ “you’re” ให้ถูกต้องตามหน้าที่ของมัน การใช้คำสองคำนี้สลับกันเป็นข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยมากที่สุด!
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้อะพอสทรอฟีในกรณีรวบคำ it is
และกรณีนามเอกพจน์ที่แสดงความเป็นเจ้าของซึ่งในขณะเดียวกันก็ถูกแทนที่ด้วยสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ ( hers
, theirs
, its
):
Friends of hers explained that it's her idea, not theirs, to refill the hamster ' s water tube and change its bedding.
-
ใช้อัญประกาศเดี่ยวในประโยคคำพูดเพื่อสื่อว่าประโยคนั้นเป็นคำพูดซ้อนคำพูด. อัญประกาศเดี่ยวที่ดูเหมือนอะพอสทรอฟีนั้นใช้สำหรับแยกประโยคคำพูดประโยคหนึ่งที่อยู่ในอีกประโยคคำพูดหนึ่ง ควรใช้อัญประกาศเดี่ยวอย่างระมัดระวัง คอยตรวจสอบว่าคุณได้เขียนอัญประกาศเดี่ยวที่ทั้งเปิดและปิดประโยคอย่างสมบูรณ์
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้คำพูดซ้อนคำพูด:
Ali said, "Anna told me, ' I wasn't sure if you wanted to come! ' "
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้คำพูดซ้อนคำพูด:
-
ห้ามใช้ “s” ของอะพอสทรอฟีเพื่อทำนามเอกพจน์เป็นพหูพจน์. การใช้ที่ผิดในกรณีนี้มักเกิดขึ้นอยู่ทั่วไปดังนั้นจึงควรเลี่ยง พึงระลึกว่าอะพอสทรอฟีนั้นมีไว้สำหรับแสดงความเป็นเจ้าของไม่ใช่แสดงการมีจำนวนมากกว่าหนึ่ง
- ต่อไปเป็นการใช้อะพอสทรอฟีที่ถูกและผิด:
ถูก - apple → apples
ผิด - apple → apple's
โฆษณา - ต่อไปเป็นการใช้อะพอสทรอฟีที่ถูกและผิด:
-
ใช้เครื่องหมายทับเพื่อแยก and และ or ตามความเหมาะสม. เครื่องหมายทับ ( " / " ) ที่ใช้กับ and/or สื่อถึงว่าตัวเลือกที่ยกมานั้นไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในขอบเขตที่ยกมาเสมอไป
- ต่อเป็นนี้เป็นการใช้ and/or ที่เหมาะสม:
To register, you will need your driver's license and/or your birth certificate.
- ต่อเป็นนี้เป็นการใช้ and/or ที่เหมาะสม:
-
ใช้เครื่องหมายทับเมื่อยกเนื้อเพลงหรือบทกลอนเพื่อแสดงถึงการแบ่งวรรค. เครื่องหมายทับเป็นตัวช่วยที่ดีเมื่อไม่สามารถเขียนรูปแบบกลอนหรือเพลงตามต้นฉบับได้ เมื่อใช้เครื่องหมายทับในกรณีนี้ให้เว้นวรรคก่อนและหลังเครื่องหมายทับ
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายทับเพื่อแบ่งวรรคในเพลง:
Row, row, row your boat / Gently down the stream. / Merrily, merrily, merrily, merrily, / Life is but a dream.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายทับเพื่อแบ่งวรรคในเพลง:
-
ใช้เครื่องหมายทับแทน and เพื่อเชื่อมคำนามสองคำ. การแทน and ด้วยเครื่องหมายทับเป็นการสื่อว่าสิ่งสองสิ่งที่กล่าวถึงนั้นมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ควรใช้เครื่องหมายทับเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อเพิ่มความเน้นย้ำที่ and ไม่สามารถสื่อได้และเพื่อลดความสับสน คุณสามารถเครื่องหมายทับในกรณีนี้กับ or ได้เช่นกัน เช่น his/her อย่างไรก็ตามคุณ “ไม่ควร” ใช้เครื่องหมายทับเพื่อแยกประโยคสมบูรณ์
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีใช้และไม่ควรใช้เครื่องหมายทับ:
ถูก
"The student and part-time employee has very little free time." →
"The student / part-time employee has very little free time."ผิด
"Do you want to go to the grocery store, or would you prefer to go to the mall?" →
"Do you want to go to the grocery store / would you prefer to go to the mall?"
โฆษณา - ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างวิธีใช้และไม่ควรใช้เครื่องหมายทับ:
-
ใช้เครื่องหมายอัญประกาศ ( " ) เพื่อปิดท้ายข้อความที่ยกมาโดยตรงไม่ว่าข้อความนั้นจะถูกกล่าวโดยบุคคลหรือถูกยกมาจากงานเขียน. โดยปกติอัญประกาศมักถูกใช้เพื่อสื่อว่าสารที่ยกมานั้นคือข้อความที่ยกมา กล่าวคือ ไม่ว่าคุณจะนำคำพูดของบุคคลใดหรือยกข้อความที่อยู่ในงานเขียนใดมาเขียน คุณต้องใช้เครื่องหมายอัญประกาศ
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายอัญประกาศ:
" I can't wait to see him perform! " John exclaimed.
According to the article, the value of the dollar in developing nations is " strongly influenced by its aesthetic value, rather than its face value. "
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้เครื่องหมายอัญประกาศ:
-
ใช้วงเล็บเพื่อให้เกิดความกระจ่าง. วงเล็บมักถูกใช้เพื่ออธิบายสิ่งที่ไม่สามารถอนุมานได้จากข้อความ เมื่อใช้วงเล็บ( " ( ) " ) ต้องไม่ลืมใส่ฟูลสต็อป “หลัง” วงเล็บปิด เว้นแต่ว่าประโยคทั้งประโยคอยู่ในวงเล็บ นอกจากนี้ในบางโอกาสวงเล็บและคอมม่าสามารถใช้แทนกันได้
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง Here is an example of parentheses used for clarification:
Steve Case (AOL's former CEO) resigned from the Time-Warner board of directors in 2005.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง Here is an example of parentheses used for clarification:
-
ใช้วงเล็บเพื่อแสดงถึงการแสดงความคิดที่เกิดขึ้นในภายหลัง. วงเล็บสามารถใช้กับสารที่ช่วยเสริมประโยคหลัก ในกรณีนี้ การเลือกระหว่างใช้วงเล็บกับขึ้นประโยคใหม่นั้นค่อนข้างตัดสินได้ยาก กฎอย่างง่ายๆ คือใช้วงเล็บกับการเสริมความสั้นๆ หรือคำเย้าแหย่ แต่ห้ามใช้เพื่อเขียนแสดงสารที่ซับซ้อน
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้วงเล็บในการแสดงความคิดที่เกิดขึ้นภายหลัง. พึงระลึกว่าฟูลสต็อปจะตามหลังวงเล็บปิดไม่ใช่วงเล็บเปิด และพึงระลึกอีกว่าการแทนที่วงเล็บด้วยคอมม่าอาจจะไม่เหมาะเท่าไรนักในขณะที่ฟูลสต็อปหรือเซมิโคลอนอาจเหมาะสมกว่า:
You will need a flashlight for the camping trip (don't forget the batteries! ) .
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้วงเล็บในการแสดงความคิดที่เกิดขึ้นภายหลัง. พึงระลึกว่าฟูลสต็อปจะตามหลังวงเล็บปิดไม่ใช่วงเล็บเปิด และพึงระลึกอีกว่าการแทนที่วงเล็บด้วยคอมม่าอาจจะไม่เหมาะเท่าไรนักในขณะที่ฟูลสต็อปหรือเซมิโคลอนอาจเหมาะสมกว่า:
-
ใช้วงเล็บในการแทรกความเห็นส่วนตัว. การใช้วงเล็บอีกแบบหนึ่งคือการใช้วงเล็บเพื่อแทรกข้อความจากผู้เขียนถึงผู้อ่านโดยตรง โดยปกติความเห็นที่อยู่ในวงเล็บมักจะกล่าวถึงประโยคที่อยู่ก่อนหน้า ดังที่ได้กล่าวไปด้านบน ประโยคในวงเล็บยิ่งสั้นและง่ายนั้นยิ่งดี ถ้าคุณจำเป็นต้องเขียนอธิบายอย่างละเอียดและยาวหรืออ้างอิงงานเขียนอื่นๆ ของคุณหลายชิ้น การขึ้นประโยคใหม่จะดีที่สุด
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้วงเล็บในการความเห็นส่วนตัว:
Most grammarians believe that parentheses and commas are always interchangeable (I disagree).
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้วงเล็บในการความเห็นส่วนตัว:
-
ใช้วงเล็บเหลี่ยมเพื่อแสดงถึงข้อความของผู้เรียบเรียงงานเขียน. คุณสามารถใช้วงเล็บเหลี่ยม ( " [ ] " ) เพื่อสร้างความกระจ่างหรือเรียบเรียงข้อความที่ยกมาโดยตรงใหม่เพื่อช่วยส่งเสริมงานเขียนของคุณ วงเล็บเหลี่ยมมักใช้คร่อมคำ “sic” (เป็นภาษาละตินของคำว่า “thus”) ซึ่งสื่อว่าคำหรือวลีก่อนหน้านั้นถูกยกมาโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผู้อ่านเห็นข้อผิดพลาดที่มีมาแต่เดิมอยู่ก่อนแล้วในงานเขียนที่ยกมา
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้วงเหลี่ยมเพื่อความกระจ่างกับข้อความที่ยกมาโดยตรง ขอให้เข้าใจว่าประโยค "It was absolutely devastating!"
เป็นข้อความที่ยกมาโดยตรง:
"[The blast] was absolutely devastating," said Susan Smith, a local bystander at the scene of the incident.
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้วงเหลี่ยมเพื่อความกระจ่างกับข้อความที่ยกมาโดยตรง ขอให้เข้าใจว่าประโยค "It was absolutely devastating!"
เป็นข้อความที่ยกมาโดยตรง:
-
ใช้วงเล็บปีกกาเพื่อแสดงถึงชุดตัวเลขทางคณิตศาสตร์. แม้ว่าการใช้วงเล็บปีกกา ( " { } " ) จะไม่แพร่หลายนักแต่สามารถใช้ในงานเขียนทั่วๆ ไปเพื่อแสดงชุดตัวเลือก
- ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้วงเล็บปีกกา แต่พึงเข้าใจว่าตัวอย่างที่สองนั้นพบได้น้อยมาก:
The set of numbers in this problem are: { 1, 2, 5, 10, 20 }
Choose your favorite utensil { fork, knife, spoon } and bring it to me.
โฆษณา - ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการใช้วงเล็บปีกกา แต่พึงเข้าใจว่าตัวอย่างที่สองนั้นพบได้น้อยมาก:
เคล็ดลับ
- การใส่เครื่องหมายวรรคตอนก่อนหรือหลังเครื่องหมายอัญประกาศขึ้นอยู่กับแต่ละโอกาส
- ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันมักใส่เครื่องหมายฟูลสต็อปและคอมม่าในเครื่องหมายอัญประกาศ“เช่นนี้.” เป็นต้น ส่วนภาษาอังกฤษแบบบริติชมักใส่เครื่องหมายฟูลสต็อปและคอมม่าหลังเครื่องหมายอัญประกาศ “เช่นนี้”. เป็นต้น
- เซมิโคลอนและโคลอนจะอยู่นอกเครื่องหมายอัญประกาศเสมอ “เช่นนี้”;
- สำหรับเครื่องหมายปรัศนีและอัศเจรีย์จะขึ้นอยู่กับบริบท เช่น ถ้าประโยคทั้งประโยคเป็นประโยคคำถามและมีคำหรือข้อความที่มีอัญประกาศคร่อมอยู่ที่ท้ายประโยค ปรัศนีจะอยู่ด้านนอกอัญประกาศ ถ้าประโยคทั้งประโยคเป็นประโยคบอกเล่าและข้อความในอัญประกาศเป็นคำถาม ปรัศนีจะอยู่ด้านในอัญประกาศ
- Do you like to watch "The Office"? (คุณชอบดูซีรีย์เรื่อง "ดิ ออฟฟิศ" ไหม?)
- He shouted, "Where do you think you're going?" (เขาตะโกนว่า "คุณกำลังจะไปไหน?")
- นักไวยากรณ์หลายท่านเชื่อว่าวงเล็บและคอมม่าสามารถใช้แทนกันได้เมื่อต้องการเสริมข้อมูล แต่ถึงแม้ว่าความเชื่อนี้จะถูกต้อง บางครั้งการใช้วงเล็บอาจเหมาะสมกว่า เช่น การบ่งบอกว่าประโยคนั้นๆ เป็นการแสดงความคิดส่วนบุคคล
- กฎการใช้ไฮเฟ่นและแดชนั้นมีข้อยกเว้น ในการสร้างคำผสม เมื่อหนึ่งในคำผสมประกอบด้วยคำสองคำควรใช้ “เอ็น แดช” ( – ) มากกว่าไฮเฟ่น ในกรณีดังเช่น "He took the Paris–New York route." เอ็น แดชยังใช้ขั้นตัวเลขหรือปีเพื่อบอกช่วงระยะ (เช่น "A discussion on personal finance is found in pages 45–62.")
- ในการเขียนในรูปแบบทางการ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ปรัศนีและอัศเจรีย์บ่อยเกินไป เพราะควรเขียนเป็นประโยคบอกเล่าเป็นส่วนใหญ่
- สิ่งหนึ่งที่คุณสามารถทำได้ง่ายๆ คือคิดเหมือนว่าคุณกำลังพูดอยู่จริงๆ เช่น มีคนกล่าวว่า "I want to do something let's go right now" คุณควรจะใส่อัศเจรีย์ที่ท้ายประโยคเพราะคุณรู้สึกตื่นเต้นสนใจและใส่คอมม่าระหว่าง "something" และ "Let's go" ซึ่งจะได้ประโยคที่ถูกต้องคือ "I want to do something, let's go!" เห็นไหม? มันไม่ยากเลย!
- ถ้าคุณเลือกที่จะไม่ใช้คอมม่าขั้นรายการ ต้องทำให้แน่ใจว่าความหมายของประโยคยังคงเดิมแม้ไม่ใช้คอมม่า ให้ลองนึกถึงประโยคคลาสสิกที่จำเป็นต้องใช้คอมม่าขั้นรายการ "My heroes are my parents, Mother Teresa and the Pope." (เพราะไม่เช่นนั้นประโยคนี้จะแปลว่า "บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจของฉันคือพ่อแม่ซึ่งก็คือแม่ชีเทเรซาและพระสันตะปาปา" แทนที่จะแปลว่า "บุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจของฉัน ได้แก่ พ่อแม่, แม่ชีเทเรซา, และพระสันตะปาปา")
- แม้ว่าเครื่องหมายแดชและวงเล็บจะมีการใช้คล้ายกัน แต่อย่าลืมว่าวงเล็บจะสื่อถึง “ความคิดเสริม” มากกว่าแดช
- เครื่องหมายแดชมันจะถูกนับว่าไม่มีความเป็นทางการ ดังนั้นอาจจะต้องใช้วงเล็บหรือคอมม่าแทนแดช ในทำนองเดียวกัน ให้ใช้แดชให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะแดชควรมีไว้สำหรับเน้นประเด็นที่สำคัญบางประเด็น
- ไม่ต้องกลัวที่จะแบ่งประโยคยาวๆ ที่มีหลายประเด็นออกเป็นประโยคสั้นๆ หลายประโยค ผู้อ่านจะชอบงานเขียนที่กระชับและชัดเจนและสั้นมากกว่างานเขียนที่ย่อหน้าหนึ่งยาวหนึ่งหน้ากระดาษและแต่ละประโยคยาวไม่น้อยกว่ายี่สิบคำ
- ถ้าคุณเขียนเพื่อการทำงานให้ทำตามแนวทางหรือรูปแบบที่กำหนดโดยนายจ้าง บางครั้งกฎของนายจ้างอาจขัดแย้งกับสิ่งที่คุณอ่านจากบทความนี้หรือจากแหล่งอื่น แต่กฎของนายจ้างต้องมาก่อนเสมอ เช่น บางบริษัทใส่คอมม่าหน้าคำสันธานเมื่อเขียนรายการ (a, b, and c) ขณะที่บางแห่งไม่ใส่ (a, b and c)
- ถ้ารู้สึกว่าประโยคยาวเกินไปพยายามหาทางใส่คอมม่าเพื่อให้อ่านง่ายขึ้น ถ้าประโยคเริ่มยาวอาจแยกเป็นสองประโยคหรือหลายประโยค
ข้อควรระวัง
- แม้ว่าการใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องจะช่วยให้การเขียนลื่นไหลมากขึ้นและทำให้การเขียนดูมาจาก “ผู้มีความรู้” คุณไม่ควรใช้เครื่องหมายวรรคตอนมากเกินไป เพราะการละเครื่องหมายวรรคตอนในบางครั้งอาจจะผิดแต่ก็ดีกว่ามีเครื่องหมายวรรคตอนล้นจนเกินไป
- ควรแยกแยะกฎการใช้เครื่องหมายวรรคในแต่ละภาษาเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด และพึงนึกเสมอว่าการใช้เครื่องหมายวรรคตอนจะขึ้นอยู่กับความหมายของประโยค
- ”ไม่ควร” ใช้เครื่องหมายวรรคตอนเพียงเพราะทำให้คุณดู “ฉลาด”