ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ประจำเดือน ชื่อก็บอกอยู่ว่าเป็นเรื่องของผู้หญิงที่ต้องเวียนมาบรรจบทุกเดือน ปกติเมนส์จะมาทุก 28 วัน ถ้ามาตามปกติ เป็นสัญญาณบอกว่าร่างกายคุณแข็งแรง สุขภาพดี แต่รอบเดือนของผู้หญิงแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป กระทั่งตัวคุณเอง บางทีก็ไม่ได้มาวันเดียวกันเสมอไป บางทีก็มามาก มาน้อย ปวดท้องเมนส์ หรือเมนส์ไม่มา ผู้หญิงหลายคนเลยหันมากระตุ้นรอบเดือนของตัวเอง (ไม่ว่าจะเร็วขึ้น ช้าลง มาน้อย มามาก ก็ตาม) ข่าวดีคือคุณทำได้ด้วยวิธีธรรมชาติที่ปลอดภัยหายห่วง หนึ่งในวิธีการที่เห็นผลสุดๆ ก็คือการใช้วิตามินซี ว่าแล้วก็เลื่อนลงไปอ่านขั้นตอนแรกของบทความวิกิฮาวนี้กันเลย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

เปลี่ยนอาหารการกิน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผักชีฝรั่งสดมีวิตามินซีมากถึง 133 มก. แถมยังมีธาตุเหล็ก โพแทสเซียม และไฟเบอร์ด้วย ชาพาร์สลีย์ชงง่าย แถมดื่มได้ 2 - 3 ครั้งต่อวัน กระตุ้นประจำเดือนได้ดี วิธีชงก็แค่
    • เติมน้ำให้เต็มหม้อแบบมีด้ามจับ แล้วตั้งเตาจนเดือด
    • เตรียมถ้วยชาโดยใส่พาร์สลีย์เขียวสดลงไป ให้ได้ประมาณ 1/4 ถ้วย
    • พอน้ำเดือด ก็รินใส่ถ้วยให้ท่วมพาร์สลีย์ จนน้ำเต็มถ้วย
    • ทิ้งพาร์สลีย์แช่น้ำเดือดไว้แบบนั้นประมาณ 5 นาที
    • รินชาใส่อีกถ้วย โดยกรองพาร์สลีย์ออกด้วยช้อนกรอง หลอดกรองชา หรือกระชอน จากนั้นก็ดื่มตามสบาย!
      • ถ้าเป็นหญิงตั้งครรภ์ ไม่แนะนำให้ดื่มชาพาร์สลีย์ เพราะงั้นต้องแน่ใจก่อน (หรือตรวจร่างกาย) ว่าคุณไม่ได้ท้องหรือมีโรคประจำตัว เพราะการได้รับวิตามินมากเกินไป จะทำให้แท้งได้แบบไม่รู้ตัว
  2. เพราะเป็นแหล่งวิตามินซีชั้นดี น้ำแครนเบอร์รี่คั้นสดจะดีกว่าแบบสำเร็จตามซูเปอร์ เพราะที่เขาขายกันจะผสมน้ำตาลเทียม สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลฟรุกโตสกลบรสฝาด ต่อไปนี้คือวิธีคั้นน้ำแครนเบอร์รี่สด 100% ด้วยตัวเอง
    • ซื้อแครนเบอร์รี่สีแดงสด ลูกแข็งๆ มา (1,500 กรัมจะคั้นน้ำได้ 1 ลิตร) อย่าใช้ลูกสีคล้ำๆ ตุ่นๆ จับแล้วนิ่ม ลูกเหี่ยวๆ ก็ไม่ได้
    • ล้างให้สะอาด จะได้ปราศจากยาฆ่าแมลงและแบคทีเรีย
    • คั้นในเครื่องคั้นน้ำผลไม้
    • ถ้าอยากกำจัดรสฝาด ก็แค่เติมน้ำแอปเปิ้ลลงไป
      • ถ้าแช่ตู้เย็นไว้ น้ำแครนเบอร์รี่จะอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน ยิ่งถ้าซีลไว้ในถุงซิปล็อคแล้วแช่แข็ง จะอยู่ได้เป็นปีเลยทีเดียว
      • ห้ามดื่มน้ำแครนเบอร์รี่มากเกิน 1 ลิตรต่อวัน เพราะจะทำให้ท้องเสีย ปวดท้องได้ ยิ่งถ้าดื่มเยอะๆ ติดต่อกันนานๆ อาจถึงขั้นเป็นนิ่วในไตได้เลย
  3. เพราะเป็นอีกแหล่งอุดมวิตามินซี โดย 1 ลูกจะมีวิตามินซีประมาณ 228 มก. จะกินสด คั้นน้ำ หรือเอาใบไปต้มทำชาเหมือนพาร์สลีย์ก็ได้วิตามินซีเหมือนกัน เหมือนที่เขาพูดกันไง ว่า “กินฝรั่ง 1 ลูกให้ไว ห่างไกลหมอ" (นั่นมันแอปเปิ้ล! แต่ก็ได้ผลเหมือนกันเนอะ)
    • กินฝรั่งหั่นเป็นชิ้นๆ 1 ถ้วย จะได้วิตามินซี 377 มก. ให้หั่นลูกสดเอง จะดีกว่าซื้อแบบหั่นสำเร็จ เพราะมักได้คอร์นไซรัปฟรุกโตสสูงแถมมา
  4. นอกจากฝรั่งแล้ว ส้ม มะนาว เลมอน และเกรปฟรุตก็เป็นแหล่งวิตามินชั้นดีเช่นกัน ส้มกับเลมอนมีวิตามินซีประมาณ 53 มก. ถ้ารวมส้มเป็นซีกๆ ให้ได้ 1 ถ้วยตวง จะได้วิตามินซีสูงถึง 98 มก. เลย ส่วนเกรปฟรุตกว่าครึ่งลูกก็ประกอบไปด้วยวิตามินซี เพราะงั้นกินแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน
    • กินผลสดหรือดื่มน้ำส้ม/เลมอนแล้วมีประโยชน์แน่นอน เอาเป็นว่ายิ่งสดยิ่งดี น้ำเลมอนจะเย็นหรือร้อนก็ได้ ส่วนน้ำส้ม 1 แก้วให้วิตามินซีมากถึง 165% ของปริมาณที่ควรได้รับต่อวันเลยทีเดียว
    • ย้ำกันอีกทีว่าถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีมากเกินไปก็อันตราย ให้ได้สักส้ม 3 ลูกต่อวันกำลังดี หรือน้ำเกรปฟรุต 1 ถ้วยตวงก็เท่ากับปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับในแต่ละวันแล้ว
    • ถ้าอยากยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ให้บีบเลมอนใส่ชาพาร์สลีย์ก่อนดื่ม หรือฝานเลมอนใส่น้ำแล้วค่อยเอาไปต้มชงชา
  5. มะนาวกับมะม่วงก็เป็นแหล่งอุดมกรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) หรือวิตามินซี นอกจากนี้มะนาวยังมี limonoids ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญ ที่เขาวิจัยกันมาแล้วว่าต้านไวรัสหลายชนิดได้ดีมาก เช่น HIV ส่วนมะม่วงก็มีวิตามินเอสูง ช่วยเรื่องสายตาและผิวพรรณ สรุปแล้วนอกจากกระตุ้นประจำเดือน มะนาวกับมะม่วงยังดีต่อสุขภาพโดยรวมด้วย
    • ให้เริ่มวันใหม่อันสดใส โดยดื่มน้ำร้อน 200 มล. (ในถ้วยขนาด 270 มล.) ผสมน้ำมะนาว 50 มล. เป็นสูตรช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี หรือจะผสมน้ำมะนาว ผักชีสับ 1 - 2 ช้อนโต๊ะ และยี่หร่าแขก 1 ช้อนชาลงไปในข้าวก็ได้ แล้วเสิร์ฟพร้อมถั่วดำปรุงรส
    • อยากกินอะไรหวานๆ แซ่บๆ ให้กินมะม่วงจิ้มพริกกะเกลือซะเลย หรือกินมะม่วงสุกคู่กับเมนูเนื้อก็ได้ อย่างฝรั่งเองก็ชอบใส่มะม่วงในสลัดผลไม้หรือค็อกเทลก็ยังได้
  6. กีวี่มีวิตามินซีสูงมาก บอกเลยว่ากีวี่ฝานแล้ว 1 ถ้วยตวง จะให้วิตามินซีสูงถึง 167 มก. เลยทีเดียว มากพอๆ กับส้ม 1 ¾ ถ้วยตวง ถ้าซูเปอร์แถวบ้านขายไม่แพงเท่าไหร่ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าลอง
    • มะละกอไม่ได้มีวิตามินซีสูงเท่ากีวี่ แต่ก็ถือว่าดีต่อร่างกาย มะละกอดิบจะมีวิตามินซีประมาณ 60 มก. ถ้าสับแล้ว 1 ถ้วยตวง จะได้ประมาณ 88 มก. เยอะพอๆ กับส้มในปริมาณเท่ากันเลย
  7. สตรอว์เบอร์รี่มีวิตามินซีประมาณ 60 มก. จะกินสดหรือคั้นน้ำดื่มก็ได้ จะปั่นกับนมหรืออื่นๆ เป็นสมูธตี้ก็อร่อยแถมดีต่อสุขภาพ แต่พยายามอย่ากินพวกสตรอว์เบอร์รี่ปั่นหรือเชคตามร้าน เพราะใส่น้ำตาลเยอะ
    • สับปะรดก็เป็นผลไม้อีกชนิดที่อุดมวิตามินซี คือมีประมาณ 48 มก. จะกินสดหรือคั้นน้ำก็ได้ ทั้งสตรอว์เบอร์รี่และสับปะรดเป็นผลไม้ที่กินกับของหวานได้หลายอย่าง เช่น เค้ก เป็นต้น
  8. บร็อคโคลีมีวิตามินซีประมาณ 90 มก. จะกินสดหรือลวกก็ได้ จะได้ไม่ผ่านความร้อนมาก บร็อคโคลีเป็นหนึ่งในบรรดาผักต่างๆ ที่ทำอาหารได้หลายแบบ ทั้งกินสด ลวก หรือกินร่วมกับผักอื่นๆ กระทั่งกินกับข้าวและปลา
    • มะเขือเทศเป็นอะไรที่หาง่ายมาก กินได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกรูปแบบ ทำอาหารได้สารพัดเมนู! จะกินในสลัด บดให้ข้น ทำซุป หรือคั้นน้ำก็ยังได้ รวมถึงกินกับผักผลไม้อื่นๆ ที่มีวิตามินซีเยอะไม่แพ้กัน รับรองไม่ขาดวิตามินซีแน่นอน
    • ปวยเล้งก็เป็นแหล่งวิตามินซีชั้นดี เพราะมีมากถึง 30 มก. ต่อปวยเล้ง 100 กรัม ให้ใช้ใบปวยเล้งสดทำสลัดแทนการต้ม จะได้ไม่เสียวิตามินซีไปในน้ำ จากนั้นเพิ่มมะเขือเทศเพื่อให้ยิ่งได้วิตามินซี หรือใส่ปวยเล้งโรยหน้าพิซซ่า ทำไส้เบเกอรี่ก็ยังได้
  9. ถึงจะไม่เยอะ แต่ก็ดีกว่าไม่มี เช่น ตับลูกวัว 100 กรัม จะมีวิตามินซีประมาณ 36 มก. ส่วนตับตุ๋นประมาณ 3.5 ออนซ์ จะมีวิตามินซีประมาณ 1.1 มก. ซึ่งถือว่าน้อยมาก เพราะงั้นง่ายที่สุดคือเพิ่มวิตามินซีโดยกินผักทุกมื้อแทน ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่ง มะเขือเทศ ปวยเล้ง เลมอน หรือพาร์สลีย์
    • ลองหั่นตับกินกับสลัดก็ช่วยเพิ่มวิตามินซีได้ดี
    • เนื้อสัตว์อื่นๆ ที่มีวิตามินซีก็เช่น ตับไก่งวง มีวิตามินซี 12 มก., ตับไก่ มี 13 มก., ตับแกะ มี 12 มก. และตับหมู มีมากที่สุดคือ 23 มก.
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ร่างกายต้องได้รับวิตามินซีอย่างถูกวิธี

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าร่างกายได้รับวิตามินซีในปริมาณมาก จะทำให้ร่างกายหลั่งเอสโตรเจนเข้มข้น กระตุ้นให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวเพิ่มขึ้น รับรองเมนส์มาใน 1 - 3 วัน
    • นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยลดโปรเจสเตอโรน ทำให้เยื่อบุผนังมดลูกหลุดลอก เมนส์มา
    • ย้ำว่าต้องแน่ใจหรือตรวจร่างกายก่อน ว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ ไม่งั้นวิธีนี้จะทำให้แท้งได้เลย
  2. วิตามินซีเป็นสารอาหารที่สำคัญกับทุกเพศทุกวัย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสารพัดประโยชน์ ช่วยต้านหลายโรค คุณหาซื้อวิตามินซีแบบอาหารเสริมได้ตามร้านขายยาทั่วไป ทั้งแบบเม็ดอมและเม็ดฟู่
    • ถ้ากินวิตามินซี 3,000 มก. ติดต่อกัน 3 วัน จะช่วยกระตุ้นให้เมนส์มาได้แน่นอน หรือจะใช้วิธีธรรมชาติ โดยปรุงอาหารหรือชงชาจากผักผลไม้ตามที่แนะนำไปด้านบนก็ได้
  3. เวลาทำอาหารที่มีวิตามินซี ต้องระวังอย่าเผลอไปลดคุณค่าทางอาหารจนได้ประโยชน์ไม่เต็มที่ เพราะวิตามินซีจะประโยชน์น้อยลงเยอะ หลังผ่านความร้อนสูงกว่า 60°C (140°F) ขึ้นไป
    • จะสูญเสียวิตามินซีไปกับน้ำง่ายมาก ถ้าเอาผักไปต้มหรือทำอาหารด้วยความร้อนสูง โดยในบรรดาผักทั้งหลาย บร็อคโคลีจะกักเก็บวิตามินซีได้ดีที่สุด
  4. อย่างที่บอกว่ายิ่งใช้ความร้อน ก็ยิ่งสูญเสียวิตามินซี เพราะงั้นถ้าจะชงชาพาร์สลีย์หรือฝรั่ง ก็อย่าเอาใบลงไปต้มในน้ำ จะเสียวิตามินซีไป ให้เทน้ำร้อนใส่ใบแทน ให้ได้ชาสมุนไพรไว้ดื่ม
  5. ถึงหั่นผลไม้วิตามินซีสูงแล้วแช่ไว้ในตู้เย็นหลายวัน ก็ไม่ส่งผลต่อสภาพของผลไม้และวิตามินซีเท่าไหร่ เพราะงั้นถ้างานยุ่งจนไม่มีเวลา ก็เตรียมผักสลัดหรือผลไม้ไว้ล่วงหน้าได้เลย ไม่ต้องกังวล
    • แต่ยังไงผักผลไม้สดๆ ก็ดีที่สุด ถ้าทำแล้วกินเลย ไม่ต้องแช่แข็ง ก็จะดีมาก แช่ตู้เย็นไว้ไม่กี่วันถือว่ายังโอเค แต่ถ้าแช่ทีเป็นเดือนๆ ก็แน่นอนว่าจะเริ่มสูญเสียคุณค่าทางอาหารไป แต่ยังไงถ้าเป็นผักผลไม้สดแล้วแช่ตู้เย็นไว้ ก็ยังดีกว่าแบบกระป๋องสำเร็จรูปแล้วกัน
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

เข้าใจรอบเดือนของตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การที่ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือขาดหายไป เป็นสัญญาณบอกว่าร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ถ้าอยากกลับมาแข็งแรงสุขภาพดี ทุกอวัยวะทำหน้าที่ปกติตามเดิม ก็ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ครบหมู่ ถ้าหันมาสนใจอาหารการกินของตัวเอง สุขภาพโดยรวมจะดีขึ้น ประจำเดือนมาปกติแน่นอน
    • บางแร่ธาตุก็สำคัญและเกี่ยวข้องกับรอบเดือน เช่น ธาตุเหล็ก ถ้าร่างกายได้รับธาตุเหล็กเพียงพอ จะเกิดการตกไข่ ให้กินอาหารที่อุดมธาตุเหล็ก เช่น ไข่ เนื้อวัว แซลมอน เมล็ดทานตะวัน ฟักทอง ผักใบเขียวเข้ม เช่น ปวยเล้ง และถั่วต่างๆ
    • วิตามินบีก็สำคัญต่อการปรับระดับฮอร์โมนให้สมดุล วิตามินบีพบมากในผักสีเขียว สาหร่าย โหระพา และพาร์สลีย์
    • กรดไขมันที่จำเป็น (essential fatty acids) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของฮอร์โมน โดยกรดไขมันโอเมก้า-3 นั้นพบมากในเมล็ดแฟลกซ์ วอลนัท ถั่วดิบ แซลมอน ซาร์ดีน และน้ำมันตับปลา
    • สาวๆ ที่กินแต่อาหารไขมันต่ำ จะมีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำไปด้วย ส่งผลต่อการสร้างฮอร์โมน แหล่งอาหารที่อุเมคอเลสเตอรอลดีก็เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าว และโยเกิร์ตแบบไม่พร่องมันเนย
  2. หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมนส์มามาก-น้อย มานาน-สั้น ก็คือความเครียด ถ้าเครียดจัด ร่างกายจะหลั่งอะดรีนาลีนและคอร์ติซอลเยอะ ทำให้ฮอร์โมนที่ทำให้ตกไข่ไม่หลั่งตามปกติ เมนส์เลยไม่มาหรือผิดปกติตามไปด้วย
    • พยายามแก้เครียดโดยรู้จักจัดการอารมณ์ของตัวเอง เล่นกีฬา นั่งสมาธิ และเล่นโยคะ จะได้ผ่อนคลายสบายใจ แถมมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำ
  3. ไม่ว่าจะอ้วนไปหรือผอมไป ก็ส่งผลต่อรอบเดือนทั้งนั้น เช่น
    • น้ำหนักเกินเกณฑ์ ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในกระแสเลือดเข้มข้นผิดปกติ (มากเกินไป) เพราะเกิดจากเซลล์ไขมันที่มีมากเกินไป ยิ่งมีเซลล์ไขมันเยอะ ก็ยิ่งมีฮอร์โมนเอสโตรเจนเยอะตามไปด้วย จนสมดุลเสียไปหมด มีงานวิจัยหนึ่งชี้ว่า 30 - 47% ของผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วน มักมีเมนส์ผิดปกติ
    • น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ทำให้เอสโตรเจนเจือจาง ซึ่งก็เกิดจากเซลล์ไขมันเช่นกัน ในกรณีนี้คือเซลล์ไขมันน้อยเกินไป
      • ถ้าเอสโตรเจนเข้มข้นมากหรือน้อยเกินไป ทำให้แกน hypothalamus pituitary ovarian ทำงานผิดปกติ รอบเดือนก็ผิดปกติตามไปด้วย
  4. สรุปแล้วมีหลายปัจจัยเลย ที่ทำให้ประจำเดือนผิดปกติไป ถ้าข้อใดต่อไปนี้ตรงกับชีวิตประจำวันของคุณ ต้องพยายามปรับเปลี่ยนโดยด่วน
    • สวมเสื้อผ้าคับแน่น ตัวการสำคัญก็เช่น กางเกงในโพลีเอสเตอร์ เพราะทำให้อุณหภูมิของรังไข่สูงขึ้น
    • สูบบุหรี่ มีหลายงานวิจัยเลย ที่ชี้ชัดว่าสิงห์อมควันสาวทั้งหลายจะไข่ตกน้อยลงกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับผู้หญิงทั่วไป เพราะเลือดไหลเวียนไปตามหลอดเลือดฝอยได้ไม่ดี
    • ดื่มเหล้าเล่นยา หลายงานวิจัยพบว่าติดเหล้าแล้วทำให้ไข่ไม่ค่อยตก
    • ยาฆ่าแมลง มลภาวะ โลหะหนัก และปิโตรเคมี ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อการตกไข่ทั้งนั้น (และสุขภาพร่างกายโดยรวม)
    • การคุมกำเนิด โดยเฉพาะห่วงคุมกำเนิด (IUD) ที่มักก่อให้เกิดอาการติดเชื้อในมดลูก บางทีก็ทำให้ท่อรังไข่อุดตัน จนไข่ไม่ตก รอบเดือนผิดปกติ
    • โรคภัยต่างๆ เช่น เบาหวาน โรคไต และการติดเชื้อภายใน เช่น ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ, หนองใน และซิฟิลิส ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อรอบเดือนทั้งนั้น
  5. ด้วยเหตุผลทางสรีระ แน่นอนว่าท้องแล้วเมนส์จะไม่มา เมื่อไข่ที่ตกมาฝังตัวในมดลูกได้สำเร็จ ก็จะมีการเตรียมการให้ไข่ได้เจริญเติบโตไปเป็นทารกต่อไป ระหว่างนั้นเยื่อบุผนังมดลูกจะไม่รั่วหรือฉีกขาด เป็นสาเหตุว่าทำไมไม่มีเมนส์
    • คนที่มีเพศสัมพันธ์ตามปกติ ถ้าเมนส์ไม่มาแล้วไม่แน่ใจ ให้ทดสอบการตั้งครรภ์ ชุดทดสอบหาซื้อได้ตามร้านขายยา ซูเปอร์ และห้างสรรพสินค้าทั่วไป
  6. นอกจากตอนท้องแล้ว ช่วงให้นมลูกก็ทำให้เมนส์ไม่มาเช่นกัน อย่างน้อยๆ ก็ 6 เดือน อย่างมากก็นานถึง 2 ปี เรียกว่า “Lactational Amenorrhea”
    • ช่วงที่ให้นมลูกเป็นประจำ จะไปยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนที่เตรียมมดลูกให้พร้อมตั้งครรภ์รอบใหม่ เลยทำให้ไม่มีเมนส์ แต่ระยะนี้ก็จะแตกต่างกันไปตามคุณแม่แต่ละคน
  7. PCOS มีผลต่อผู้หญิงอายุ 12 ปีขึ้นไป 5 - 10% (วัยเจริญพันธุ์) เป็นโรคระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine disorder) ที่ส่งผลต่อต่อมใต้สมอง (pituitary gland) ทำให้รอบเดือนผิดปกติ ขาดประจำเดือน (amenorrhea) และเกิดภาวะดื้ออินซูลิน (insulin resistance) ถ้าเมนส์ไม่มาพักใหญ่แล้ว นี่อาจเป็นสาเหตุได้
    • รวมถึงทำให้สิวบุกและเกิดภาวะขนดก (hirsutism) โดยเฉพาะที่ใบหน้าและแผ่นหลัง เพราะฮอร์โมนไม่สมดุล เทสโทสเตอโรนเยอะผิดปกติ แบบนี้ควรปรึกษาคุณหมอและตรวจร่างกายให้แน่ชัด
  8. ฮอร์โมนไธรอยด์ผิดปกติก็กระทบต่อรอบเดือนเช่นกัน ทั้ง hyperthyroidism (ฮอร์โมนเยอะไป) และ hypothyroidism (ฮอร์โมนไม่พอ) 2 อย่างนี้ส่งผลต่อการตกไข่และเจริญพันธุ์
  9. คือ ใกล้จะ เข้าวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน (menopause) มักเกิดช่วง ก่อนหน้า และ หลัง เข้าวัยทอง ระดับเอสโตรเจนจะแปรปรวน เลยทำให้ประจำเดือนผิดปกติตามไปด้วย
    • ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น ร้อนวูบวาบ อยู่ๆ ก็เหงื่อแตก ช่องคลอดแห้ง นอนไม่หลับ และแน่นอนว่ารอบเดือนผิดปกติ
      • ถ้ามีอาการตามที่ว่า บวกกับรอบเดือนผิดปกติ โดยเฉพาะถ้าอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้ปรึกษาคุณหมอและตรวจร่างกายให้แน่ชัดไปเลย บางทีคุณหมออาจจะพบว่าเป็นเพราะสาเหตุหรือปัจจัยอื่นก็ได้
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ค็อกเทลน้ำแครนเบอร์รี่จะมีน้ำแครนเบอร์รี่สดแค่ 26% - 33% เท่านั้น เพราะต้องผสมน้ำผลไม้อื่นๆ ตัดเปรี้ยว
  • แครนเบอร์รี่แบบเม็ดก็มี ใช้แทนได้เหมือนกัน
  • ใครเป็นสิงห์อมควัน ยิ่งต้องได้รับวิตามินซีเพิ่มอีก 30 มก./วัน
โฆษณา

คำเตือน

  • ย้ำว่าต้องแน่ใจก่อนว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ ถึงจะกระตุ้นรอบเดือนตามวิธีต่างๆ ในบทความนี้ เพราะอันตรายต่อเด็กในครรภ์มาก


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 27,917 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา