ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

กลิ่นตัวแรงเป็นปัญหาที่สร้างความอับอาย และอาจนำไปสู่ปัญหาทุกอย่างไม่ว่าจะปัญหาด้านสังคม วัฒนธรรม และการงานอาชีพ ถึงแม้จะมีผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายขายตามท้องตลาดมากมาย แต่ก็มีผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จำนวนมากที่มีสารเคมีซึ่งเป็นอันตราย จึงไม่ควรใช้ในระยะยาว ฉะนั้นคนจำนวนมากจึงกำลังหาวิธีการกำจัดกลิ่นกายแบบไม่พึ่งสารเคมีแทน

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ปรับปรุงอนามัยส่วนตัว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพราะแบคทีเรียทำปฏิกิริยากับเหงื่อที่ผลิตจากต่อมอะโพไครน์ จึงทำให้เกิดกลิ่นกายขึ้น วิธีแก้ขั้นแรกคืออาบน้ำเป็นประจำ ใช้สบู่ที่ทำจากน้ำมันพืช และถูตัวจนเกิดฟอง ยิ่งฟองมากและยิ่งถูตัวนานจนเกิดฟอง ก็ยิ่งจะกำจัดแบคทีเรียออกจากผิวได้มาก
    • ไม่ใช่สบู่ทุกชนิดจะต้านแบคทีเรีย และไม่ใช่ว่าเราต้องใช้สบู่ต่อต้านแบคทีเรียด้วย ลองใช้สบู่เหลวคาสทีลกลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์ น้ำมันเปปเปอร์มิ้นท์นั้นฆ่าเชื้อโรคได้นิดหน่อยและช่วยป้องกันการเกิดกลิ่นกาย
  2. เช็ดตัวให้แห้งสนิทโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่มักจะเกิดกลิ่นกายได้แก่ ขาหนีบ รักแร้ และรอบหัวนม ต้องให้ผิวบริเวณเหล่านี้ (ใต้ราวนม ในขาหนีบ ที่หน้าท้อง) แห้งสนิท
    • หลีกเลี่ยงการใช้แป้งฝุ่นที่ทำจากแป้งข้างโพด แพทย์จำนวนมากเชื่อว่าแป้งข้าวโพดสามารถเป็น “อาหารรา”ได้ ให้ใช้แป้งทัลคัมแบบไม่มีกลิ่นแทน
  3. อย่างเช่น การโกนขนรักแร้อาจช่วยลดกลิ่นกายได้ ทำความสะอาดข้างในรองเท้าด้วย เพราะอาจเป็นแหล่งเพราะพันธุ์แบคทีเรียได้
  4. ใส่เสื้อที่ทอจากเส้นใยธรรมชาติอย่างผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือผ้าขนสัตว์ ถ้าออกกำลังกายแล้วเหงื่อออก การใส่ผ้าใยสังเคราะห์อาจมีประโยชน์เพราะไม่ "ซับ”เหงื่อ แต่เปลี่ยนกลับไปใส่ผ้าจากเส้นใยธรรมชาติหลังจากอาบน้ำล้างเหงื่อออกจากตัวแล้ว
    • ผ้าฝ้ายระบายอากาศได้ดี จึงลดเหงื่อ ฉะนั้นการใส่ผ้าฝ้ายจึงดีต่อสุขภาพผิว ทำให้ผิวแห้ง และไม่เกิดกลิ่น
  5. หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าแบบหุ้มทั้งเท้าพร้อมกับใส่ถุงเท้าเป็นเวลานาน. รองเท้าแบบหุ้มทั้งเท้าจะทำให้เกิดกลิ่นเท้าที่รุนแรง ถ้าหากเหงื่อออกมาก อีกทั้งอากาศก็ไม่ถ่ายเท ใส่รองเท้าแตะ รองเท้าแตะฟองน้ำ หรือรองเท้าที่ระบายอากาศได้ดี ถ้าเป็นไปได้
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การสูบบุหรี่และเคี้ยวยาสูบก่อให้เกิดการผลิตสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งทำร้ายร่างกาย บุหรี่และยาสูบยังทำให้เกิดแบคทีเรียที่ผิว และผิวก็ส่งกลิ่นกายออกมา
  2. น้ำเป็นตัวทำละลายที่ยอดเยี่ยมซึ่งชำระล้างสารพิษทั้งหมดออกจากร่างกาย น้ำเป็นสารที่เป็นกลางมากที่สุด และลดการเกิดแบคทีเรียในลำไส้ การดื่มน้ำประมาณ 8 ถึง 10 แก้วต่อวันจะช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี ชุ่มชื่น และไม่มีกลิ่น [1]
  3. โปรไบโอติกส์คือแบคทีเรียตามธรรมชาติที่ดีต่อลำไส้ ช่วยควบคุมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นพิษอื่นๆ ในลำไส้ [2] โปรไบโอติกส์ช่วยในการเจริญเติบโตของแบคทีเรียแลกโตบาซิลลัสไบฟิดัส ซึ่งช่วยเรื่องการย่อยอาหารและลดสารพิษในลำไส้ อาหารพวกโยเกิร์ตและบัตเตอร์มิลด์มีแบคทีเรียโปรไบโอติกส์
    • การกินอาหารที่มีแบคทีเรียโปรไบโอติกส์หนึ่งถ้วยทุกวันมีประโยชน์มาก และควรกินต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน จะช่วยทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น รวมทั้งเรื่องกลิ่นกาย เพราะสาเหตุของกลิ่นกายบ่อยครั้งมาจากระบบย่อยอาหารไม่ดีเท่านั้นเอง!
  4. มีอาหารมากมายที่เป็นสาเหตุให้เกิดกลิ่นกาย อาหารมีไขมัน (เนื้อที่มีไขมันสูง เป็ดไก่ติดหนัง พวกของทอด) และอาหารที่ใส่เครื่องเทศมาก (แกงกระหรี่ กระเทียม หัวหอม) สามารถก่อให้เกิดกลิ่นกาย ลองไม่กินอาหารพวกนี้สัก 2-4 สัปดาห์และจะเห็นว่าผลออกมาดีแค่ไหน
    • การดื่มกาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอาจก่อให้เกิดกลิ่นกายได้สำหรับบางคน [3]
    • การกินอาหารและดื่มเครื่องดื่มอื่นๆ ที่สามารถก่อให้เกิดกลิ่นได้คือ แอลกอฮอล์ หน่อไม้ฝรั่ง ยี่หร่า และเนื้อแดง [4]
  5. การกินผักใบเขียวไม่เพียงพออาจก่อให้เกิดกลิ่นกายได้ ผักใบเขียวมีคลอโรฟิลลินซึ่งเป็นสารตามธรรมชาติที่ดูดกลิ่น [5]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อจากธรรมชาติ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อจากธรรมชาติที่มีขายอยู่. ถ้าไม่สบายใจที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อที่เป็นสารเคมี ก็ลองหาผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธรรมชาติแทน มีผลิตภัณฑ์แบบนี้ให้เลือกใช้มากมาย เช่น โรลออนสารส้มยี่ห้อต่างๆ เป็นต้น
  2. อาจพบสูตรมากมายทางอินเตอร์เน็ต แต่ก็มีอีกสูตรหนึ่งที่ลองทำได้คือ ผสมแป้งเท้ายายม่อม 3/4 ถ้วยกับผงฟูแบบไม่มีอะลูมิเนียม 4 ช้อนชา ละลายผงโกโก้แบบออร์แกนิก หรือเนยมะม่วง 6 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมันมะพร้าวไม่ผ่านกรรมวิธี 2 ช้อนโต๊ะในหม้อตุ๋นสองชั้น แล้วคนส่วนผสมแรกและส่วนผสมที่สองเข้าด้วยกัน จากนั้นเติมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้ลงไป1/2 ช้อนชา [6]
    • เก็บไว้ในกระปุกแก้วมีฝาปิด ไม่ต้องแช่เย็น
  3. จัดการกลิ่นกายด้วยสารละลายไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ซึ่งเป็นสารต่อต้านแบคทีเรีย. นำไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ 3 % ผสมกับน้ำ 1 ถ้วย ใช้ผ้าล้างหน้าซึ่งทำจากผ้าฝ้าย จุ่มสารละลายไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ผสมน้ำ บิดน้ำออก และเช็ดใต้วงแขน ขาหนีบ และเท้า
  4. สามารถใช้แอปเปิลไซเดอร์วีนีการ์ช่วยขจัดกลิ่นที่มีสาเหตุจากแบคทีเรีย แช่เท้าทุกวันในแอปเปิลไซเดอร์วีนีการ์หนึ่งส่วนผสมน้ำสามส่วน รินสารละลายเดียวกันนี้ในขวดสเปรย์ แล้วฉีดใต้วงแขน [7]
    • แอปเปิลไซเดอร์วีนีการ์นั้นมีฤทธิ์รุนแรงมาก คนที่ผิวแพ้ง่ายอาจพบผลข้างเคียงต่างๆ เช่น แสบร้อน หรือคัน ฉะนั้นควรทดลองใช้ปริมาณน้อยๆ ก่อนใช้จริง และอย่าใช้ตอนที่เพิ่งถอนขนรักแร้มา
  5. ใส่น้ำมันทีทรี 8-10 หยดลงในสารสกัดจากต้นวิทซ์ฮาเซล 1 ถ้วย รินสารละลายนี้ลงในขวดสเปรย์ และใช้เป็นน้ำยาดับกลิ่นตัวจากธรรมชาติ โดยเฉพาะหลังออกกำลังกาย สารสกัดจากต้นวิทซ์ฮาเซลเป็นยาสมานแผลและลดเหงื่อ น้ำมันทีทรีเป็นสารต้านแบคทีเรีย [8]
    • น้ำมันทีทรีเป็นที่รู้จักว่ามีคุณสมบัติฆ่าเชื้อโรค ถึงแม้จะมีกลิ่นฉุนแต่ก็มีกลิ่นหอม
    • เมื่อใช้ภายนอก จะฆ่าแบคทีเรียที่อยู่บนผิว ฉะนั้นจึงลดการก่อเกิดพิษ
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ทำความเข้าใจเรื่องกลิ่นกาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. กลิ่นกาย หรือรู้จักในทางการแพทย์ว่า บรอมไฮโดรซิส (bromhidrosis) หรือออสมิโดรซิส (osmidrosis) หรือโอซอกครอตเชีย (ozochrotia) หรือเรียกสั้นๆ ว่า BO เกิดจากแบคทีเรียสลายโปรตีนที่ผิว กลิ่นเฉพาะตัวขึ้นอยู่กับชนิดของแบคทีเรียบนผิว โปรตีนที่แบคทีเรียนั้นสลาย กรดที่ผลิตขึ้น อาหารที่เรากิน ปริมาณเหงื่อที่ร่างกายผลิต และภาวะสุขภาพร่างกายโดยรวม [9]
    • คนที่เป็นโรคเบาหวาน คนที่มีภาวะหลั่งเหงื่อมาก คนที่กินยาเฉพาะ หรือคนอ้วน เสี่ยงที่จะมีกลิ่นกายมากกว่าคนทั่วไป
    • เมื่อเหงื่อออก แบคทีเรียที่ผิวจะสลายเหงื่อและโปรตีนผิวออกเป็นกรดหลัก ๆ สองชนิด และกรดหลักๆ สองชนิดนี้เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นกาย กรดสองชนิดนี้คือ กรดโพรพิโอนิก และกรดไอโซวาลิริก กรดโพรพิโอนิกผลิตจากแบคทีเรียโพรพิโอนิก กรดโพรพิโอนิกมักจะมีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชู ส่วนกรดไอโซวาลิริกผลิตจากสะเตรปฟิโลคอคคัสเอพิเดอร์มิส กรดไอโซวาลิริกมักจะมีกลิ่นคล้ายชีส อาจเพราะแบคทีเรียชนิดเดียวกันนี้ถูกใช้ทำชีสชนิดต่างๆ ก็เป็นได้
  2. รู้ว่ากลิ่นกายมักจะเกิดบริเวณไหนของร่างกาย. กลิ่นตัวมักจะเกิดบริเวณผิวที่เป็นรอยพับ บริเวณที่ถูกปกปิด หรือมีโอกาสเหงื่อออกมากอยู่แล้ว เช่น เท้า ขาหนีบ รักแร้ อวัยวะเพศ ขนหัวหน่าว และร่างกายบริเวณอื่นที่มีขน สะดือ ทวารหนัก หลังหู บริเวณอื่นก็เหงื่อออกและก่อให้เกิดกลิ่นกายได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในระดับที่น้อยกว่า
  3. เหงื่อผลิตจากต่อมเหงื่อสองต่อมคือต่อมเอ็คครินและต่อมอะโพไครน์ ต่อมเอ็คครินคือต่อมเหงื่อธรรมดาที่รางกายใช้ช่วยควบคุมอุณหภูมิ ต่อมอะโพไครน์เป็นต่อมกลิ่นที่ผลิตฟีโรโมน
    • สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรวมทั้งมนุษย์ใช้ฟีโรโมนเพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม และส่งสัญญาณทางอารมณ์ [10]
    • ต่อมอะโพไครน์พบในขาหนีบ รักแร้ และรอบหัวนม
  4. จงเข้าใจว่ากลิ่นเท้าไม่เหมือนกลิ่นกายประเภทอื่น. กลิ่นเท้าค่อนข้างต่างออกไป เพราะเท้ามีต่อมเอ็คคริน แต่คนส่วนใหญ่สวมถุงเท้าและรองเท้า (ซึ่งโดยส่วนมากทำจากวัสดุสังเคราะห์) เกือบตลอดเวลา เหงื่อจึงไม่ระเหยง่าย
    • วัสดุสังเคราะห์ (ซึ่งตรงข้ามกับผ้าฝ้ายหรือหนัง) จะเก็บเหงื่อและป้องกันการระเหย เว้นแต่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อให้ระเหยได้
    • เหงื่อที่ไม่ระเหยจะเป็นตัวสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีแก่พวกรา และราหลายชนิดจะก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วย
  5. ตัวอย่างเช่น อายุเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดกลิ่นกายแบบต่างๆ ได้ เด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์จะไม่มีกลิ่นกายมากที่สุด แอนโดรเจนซึ่งผลิตขึ้นช่วงวัยเจริญพันธุ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ [11]
  6. ประเมินว่าควรไปพบหมอเรื่องปัญหากลิ่นกายหรือไม่. ปัญหากลิ่นกายส่วนใหญ่สามารถจัดการรักษาได้เองที่บ้าน แต่ก็มีหลายครั้งที่การมีกลิ่นกายส่งสัญญาณเตือนให้มาพบแพทย์ บางกรณีคุณหมออาจแนะนำให้ไปหาหมอโรคผิวหนัง นัดพบคุณหมอถ้า
    • พยายามจัดการปัญหาแล้ว แต่วิธีรักษาทุกอย่างไม่ช่วยลดหรือขจัดกลิ่นกายภายใน 2-3 สัปดาห์
    • เริ่มเหงื่อออกมาหรือน้อยกว่าที่ปกติ
    • อาการเหงื่อออกทำให้ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้
    • เริ่มมีอาการเหงื่ออกตอนกลางคืน
    • กลิ่นกายเปลี่ยนไปมาก
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อาหารทะเลบางชนิดอย่างปลาทูน่าหรือปลากระโทงแทงมีปริมาณปรอทสูง ปรอทเป็นสารพิษที่ทำให้กลิ่นกายอันไม่พึงประสงค์


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 3,364 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา