ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

สิวอาจเป็นสภาพของผิวที่ทำให้คุณเจ็บปวดและอับอายได้ นอกจากนี้แผลเป็นที่มันได้ทิ้งไว้ให้ ก็เป็นสิ่งย้ำเตือนความทรงจำสิวๆ ที่คุณไม่ได้ยินดีต้อนรับเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่รอยแผลเป็นจากสิวจะเลือนหายไปเองหลังเวลาผ่านไปได้หลายเดือนก็ตาม แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่คุณสามารถทำได้ เพื่อช่วยเร่งกระบวนการนั้น และเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดการสร้างเม็ดสีของแผลเป็นมากเกินไปกว่าที่เป็นอยู่ จริงอยู่ที่คุณไม่สามารถทำให้รอยสิวหายวับไปได้ภายในคืนเดียว แต่เคล็ดลับข้อแนะนำเกี่ยวกับการรักษา ผลิตภัณฑ์ ทรีทเมนต์ และสกินแคร์ต่างๆ ที่มีบอกไว้ด้านล่างนี้ จะทำให้เกิดความแตกต่างที่สังเกตเห็นได้เมื่อเวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่งแน่นอน สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ แค่มองหาวิธีการที่ใช่สำหรับประเภทผิวของคุณเองเท่านั้น

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

กำจัดรอยสิวหรือหลุมสิว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หากรอยสิวนั้นเป็นหลุม คุณอาจต้องให้แพทย์ผิวหนังช่วย รอยสิวต่างประเภทกันจะตอบสนองต่อการรักษาแตกต่างกัน [1]
    • หลุมสิวแบบ Rolling scars เป็นแบบเว้าตื้นๆ อาจทำให้ดูผิวเป็นลอน
    • หลุมสิวแบบ Boxcar scars จะกว้างกว่าและเห็นขอบและร่องชัดเจน
    • หลุมสิวแบบ Icepick scars นั้นเล็ก แคบ แต่ลึก
  2. หลุมสิวบางๆ สามารถรักษาได้โดยไม่ต้องพึ่งเลเซอร์ เลเซอร์จะระเหยหลุมสิวเพื่อที่ผิวหนังใหม่จะขึ้นทดแทน เลเซอร์แบบไม่ระเหยนั้นใช้เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมผิวรอบหลุมสิว [2]
    • วิธีรักษานี้ใช้ได้ผลดีกับหลุมสิวแบบ rolling และ boxcar scars แบบตื่้นๆ
    • นัดแพทย์ผิวหนังเพื่อปรึกษาและพูดคุยถึงความเสี่ยงและผลข้างเคียง
  3. ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเรื่องการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดเย็บปิดหลุมสิว. หากคุณมีหลุมสิวแบบ icepick หรือ boxcar แพทย์อาจกำจัดมันโดยการใช้วิธีผ่าตัด โดยจะผ่าบริเวณรอบหลุมสิวแล้วเย็บให้มันทุเลาหายเป็นผิวที่เรียบ [3]
  4. หลุมสิวอาจทิ้งรอยบนผิวที่ไม่อาจแก้ไขได้ การฉีดฟิลเลอร์สามารถเติมเต็มหลุมสิวเหล่านี้เพื่อช่วยให้ผิวเรียบเนียน แต่จำเป็นต้องฉีดซ้ำทุกสี่ถึงหกเดือน [4]
  5. แผ่นหรือเจลซิลิโคนช่วยลดแผลโป่งนูนได้ ให้ทาแผลด้วยซิลิโคนทุกคืน ล้างออกในตอนเช้าด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยน เมื่อใช้ไปหลายสัปดาห์ ผิวจะเรียบขึ้น [5]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ใช้ครีมและวิธีรักษาทางการแพทย์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ครีมคอร์ติโซนจะช่วยรักษาและลดการอักเสบของผิวหนังได้ [6] ให้คุณปรึกษาแพทย์เพื่อตัดสินว่าครีมคอร์ติโซนชนิดใดที่เหมาะสมกับคุณ
    • ครีมคอร์ติโซนมีทั้งแบบได้จากใบสั่งยาของแพทย์และแบบที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา เวลาใช้ให้ทาครีมนี้บริเวณรอยแผลเป็น และต้องแน่ใจว่าได้อ่านฉลากยาดูขั้นตอนคำแนะนำในการใช้ยาแล้วเรียบร้อย
  2. ลองใช้ครีมปรับผิวให้กระจ่างใสที่วางขายบนชั้นยาดูสิ. ครีมประเภทปรับสีผิวให้กระจ่างใสที่ประกอบไปด้วยกรดโคจิก (kojic acid) สารอาร์บูติน (arbutin) สารสกัดจากชะเอมเทศ (licorice extract) สารสกัดจากหม่อน (mulberry extract) และวิตามินซี จะช่วยปรับสีผิวให้สว่างขึ้นและทำให้การผลิตเม็ดสีของผิวที่มากเกินไปอันเกิดจากรอยสิวนั้นลดลงได้ โดยปราศจากการทำลายหรือทำให้ผิวระคายเคือง [7]
    • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรควิโนน (hydroquinone) เนื่องจากสารปรับสีผิวให้สว่างซึ่งเป็นที่นิยมตัวนี้สามารถก่อความระคายเคืองแก่ผิวของคุณได้ และยังถูกตีตราว่าเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในการก่อมะเร็งสูงอีกด้วย [8]
    • หากคุณมีผิวสีเข้ม (โดยเฉพาะคนผิวสีเชื้อชาติแอฟริกัน) ให้หลีกเลี่ยงครีมประเภทปรับสีผิวให้สว่าง เพราะครีมดังกล่าวอาจทำให้เม็ดสีเมลานินในผิวคุณหายไปอย่างถาวร ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอาการของสิวที่แย่มากกว่าเดิมได้
  3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดไกลโคลิก (glycolic acid) หรือกรดซาลิซิลิก (salicylic acid). กรดทั้งสองชนิดนี้จะพบได้ในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ เช่น พวกครีม สครับ และขี้ผึ้งต่างๆ เนื่องจากกรดทั้งสองมีฤทธิ์ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ดีซึ่งช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ชั้นผิวที่มีเม็ดสีมากเกินไปขึ้นมาอยู่ชั้นบน ก่อนที่จะช่วยผลัดให้ชั้นผิวดังกล่าวออกไปอย่างหมดจด [9]
    • คุณอาจนัดแพทย์ผิวหนังเพื่อขอรับยาขัดผิวที่มีกรดไกลโคลิกได้เช่นกัน ซึ่งยาตัวนี้จะทำงานในลักษณะเดียวกัน แต่ฤทธิ์ในการขัดผิวจะลงไปถึงชั้นผิวที่ลึกกว่า
  4. สารเรตินอยด์ก็คือสารที่ได้มาจากวิตามินเอซึ่งนำมาใช้ในสกินแคร์หลากหลายชนิด มีสรรพคุณลดรอยเหี่ยวย่น ตีนกา ความผิดปกติของสีผิว และปัญหาสิว สารเรตินอยด์ช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนและเร่งการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งทำให้เรตินอยด์เป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับการลดรอยสิว แม้ว่าครีมเรตินอยด์จะมีราคาค่อนข้างแพง แต่แพทย์ผิวหนังก็แนะนำเป็นพิเศษเพราะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
    • คุณสามารถซื้อครีมเรตินอยด์บางชนิดได้ตามเคาน์เตอร์ขายยา เช่น ครีมที่ผลิตโดยแบรนด์สกินแคร์หลักๆ ทั้งหลาย อย่างไรก็ตามหากเป็นครีมชนิดมีฤทธิ์แรงจะต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ผิวหนังเสียก่อนถึงจะซื้อได้
    • ส่วนประกอบในครีมเรตินอยด์มีความไวต่อรังสี UVA จากแสงแดด ดังนั้นควรทาครีมชนิดนี้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น เพื่อปกป้องผิวของคุณเอง [10]
  5. ลองคิดถึงการกรอผิวหน้าและการลอกผิวด้วยสารเคมีดูก็ได้. วิธีการรักษาเหล่านี้จะไม่ทำให้รอยสิวของคุณจางหายไปในชั่วข้ามคืนหรอกนะ เพราะมันอาจก่อความระคายเคืองได้ค่อนข้างมาก ผิวจึงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว อย่างไรก็ตามวิธีทั้งสองนี้ก็คุ้มค่าแก่การพิจารณาหากคุณพบว่าครีมและโลชั่นต่างๆ ใช้ไม่ได้ผล หรือกังวลเรื่องการทำให้สีผิวเสมอกัน
    • การลอกผิวด้วยสารเคมีคือการใช้ตัวยาที่มีความเป็นกรดเข้มข้นมาทาผิว เมื่อทาไปแล้วก็จะไปสลายชั้นผิวด้านบน แล้วเหลือชั้นผิวใหม่ที่อยู่ด้านล่างเอาไว้
    • การกรอผิวหน้าให้ผลลัพธ์แบบเดียวกัน เพียงแต่วิธีการที่ใช้จะเป็นการขัดผิวด้วยแปรงหมุนไฟฟ้า
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. น้ำมะนาวมีคุณสมบัติขัดฟอกผิวตามธรรมชาติ และสามารถช่วยให้สีของแผลเป็นจากสิวอ่อนลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้คุณผสมน้ำมะนาวกับน้ำในอัตราส่วนที่เท่ากัน แล้วนำมาทาบนรอยแผลเป็นทั้งหลาย และหลีกเลี่ยงบริเวณผิวหนังโดยรอบ จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป 15-20 นาที ให้ล้างออก หรือคุณอาจจะปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืนแบบมาส์กก็ได้
    • จำไว้ว่าให้เติมความชุ่มชื้นแก่ผิวทันทีหลังจากล้างน้ำมะนาวออกแล้ว เนื่องจากกรดซิตริกในมะนาวสามารถทำให้ผิวแห้งได้อย่างมาก
    • น้ำมะนาวพันธุ์ลูกสีเขียวที่มีขนาดเล็กกว่า (lime ซึ่งมีกรดซิตริกเช่นกัน) ในปริมาณเพียงเล็กน้อย สามารถนำมาใช้แทนน้ำมะนาวพันธุ์ลูกสีเหลืองที่มีขนาดใหญ่กว่า (lemon) ได้เลย
    • เนื่องจากน้ำมะนาวมีค่าความเป็นกรดด่าง (pH) คือ 2 แต่ของผิวหนังคือ 4.0-7.0 ดังนั้นหากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปหรือไม่ได้ทำให้เจือจางก่อน จะสามารถก่อให้เกิดภาวะผิวไหม้จากเคมีได้ น้ำผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆ ประกอบไปด้วยสารเคมีที่เรียกว่า เบอร์แกพเทน (Bergapten) ซึ่งจะไปผูกติดกับ DNA และทำให้ผิวหนังถูกทำลายโดยรังสี UV ได้ง่ายกว่าเดิม คุณจึงต้องระวังการโดนแดด ให้ล้างออกก่อนจะออกไปข้างนอกหรือไม่ก็ทาครีมกันแดด
  2. ผงฟูสามารถนำมาใช้ขัดผิวและลดขนาดรอยแผลเป็นจากสิวได้ ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือ ผสมผงฟู 1 ช้อนชาเข้ากับน้ำ 2 ช้อนชา นำมาทาทั่วทั้งใบหน้าแล้วนวดวนๆ ให้ผงฟูเข้ากับผิวหน้า โดยเน้นบริเวณที่มีรอยแผลเป็นสัก 2 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่นแล้วซับผิวให้แห้ง [11]
    • คุณอาจใช้ส่วนผสมของผงฟูกับน้ำ เพื่อรักษาแบบเฉพาะจุดได้เช่นกัน โดยทาบนบริเวณรอยแผลเป็นโดยตรง แล้วปล่อยทิ้งไว้ 10-15 นาทีก่อนจะล้างออก
    • ผู้เชี่ยวชาญทางผิวหนังบางคนไม่แนะนำวิธีนี้สำหรับรักษาหรือทำให้รอยสิวหรือสิวที่ยังอักเสบอยู่หายไป เนื่องจากค่า pH ของผงฟูคือ 7.0 ซึ่งนับว่าเป็นกลางกับค่า pH ของผิวหนังเกินไป ทั้งนี้ค่า pH ของผิวหนังที่ดีที่สุดอยู่ที่ระหว่าง 4.7-5.5 ซึ่งไม่เอื้อต่อการเกิดสิวประเภท p. acne (สิวส่วนใหญ่ที่มีแบคทีเรียเป็นต้นเหตุ) ฉะนั้นการเพิ่มค่า pH ให้เป็นกลางมากขึ้น สิวประเภทดังกล่าวก็จะสามารถอยู่รอดบนหน้าของคุณได้นานขึ้น รวมถึงเกิดการติดเชื้อและอักเสบได้มากขึ้นอีกด้วย ฉะนั้นลองวิธีนี้ด้วยความระมัดระวัง และหยุดใช้ถ้ามันไม่เกิดผลอะไรต่อคุณ
  3. น้ำผึ้งคือยารักษาจากธรรมชาติสำหรับขจัดสิวและลดรอยแดงที่สิวทิ้งไว้ ที่น้ำผึ้งทำเช่นนี้ได้ก็เพราะในน้ำผึ้งมีสารต้านแบคทีเรีย ซึ่งจะช่วยปลอบประโลมผิวและลดการอักเสบ น้ำผึ้งสดไม่ผ่านกระบวนการหรือน้ำผึ้งมานูกาเป็นน้ำผึ้งที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด สามารถนำมาแต้มได้โดยตรงที่บริเวณแผลเป็นโดยใช้คอตตอนบัด
    • น้ำผึ้งเป็นทางเลือกที่ดีมากสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย เนื่องจากน้ำผึ้งไม่มีสารก่อความระคายเคือง และยังต่างไปจากยารักษาอื่นๆ ที่จะทำให้ผิวแห้ง เพราะน้ำผึ้งจะมอบความชุ่มชื้นแก่ผิว
    • หากคุณหาซื้อผงไข่มุกได้ (ซึ่งสามารถพบได้ตามร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพหรือตามอินเทอร์เน็ต) ก็สามารถนำผงไข่มุกปริมาณเพียงเล็กน้อยมาผสมกับน้ำผึ้ง เพื่อให้ได้ทรีทเมนต์ที่มีฤทธิ์ในการรักษามากขึ้น เพราะผงไข่มุกน่าจะช่วยลดการอักเสบและทำให้รอยสิวจางลงได้
  4. วุ้นของว่านหางจระเข้คือสิ่งที่มีฤทธิ์ปลอบประโลมผิวตามธรรมชาติ ซึ่งสามารถนำมาใช้บรรเทารักษาได้หลายอย่าง ตั้งแต่แผลไฟไหม้ แผลสด ไปจนถึงแผลเป็นจากสิว ว่านหางจระเข้จะช่วยฟื้นฟู ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว และเร่งให้รอยสิวจางหายไป ผลิตภัณฑ์จากว่านหางจระเข้หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป แต่ถ้าให้ดีที่สุด ควรซื้อต้นว่านหางจระเข้แล้วใช้วุ้นจากใบที่หักแล้ว เจ้าวุ้นที่มีลักษณะเหมือนเจลนี้สามารถนำมาทาที่แผลเป็นได้โดยตรงและไม่จำเป็นต้องล้างออก
    • เพื่อให้ได้ฤทธิ์การรักษาที่เข้มข้นขึ้น คุณสามารถผสมน้ำมันทีทรี (ซึ่งช่วยให้ผิวกระจ่างใส) ลงไปในวุ้นว่านหางจระเข้ก่อนนำไปทาผิว
  5. การใช้น้ำแข็งเป็นวิธีรักษาที่ทำได้ที่บ้าน แถมยังง่ายสุดๆ ซึ่งสามารถช่วยให้รอยสิวจางลงด้วยการปลอบโยนผิวที่อักเสบและลดรอยแดง เวลาจะใช้ ให้คุณห่อน้ำแข้งก้อนด้วยผ้าสะอาดหรือทิชชูอย่างหนาแผ่นหนึ่ง แล้วประคบบริเวณที่มีแผลเป็นสัก 1 หรือ 2 นาที จนกว่าผิวบริเวณดังกล่าวจะรู้สึกชา
    • แทนที่จะทำน้ำแข็งจากน้ำธรรมดา คุณสามารถนำน้ำชาเขียวเข้มข้นมาใส่ถาดทำน้ำแข็งแล้วนำน้ำแข็งชาที่ได้มาประคบบริเวณรอยสิว ในชาเขียวมีสารต้านการอักเสบ ซึ่งไปเสริมฤทธิ์กับความเย็นของน้ำแข็ง
  6. เป็นที่รู้กันดีว่าไม้แก่นจันทน์มีสรรพคุณในการรักษาผิว อีกทั้งยังสามารถจัดเตรียมไว้ใช้ได้ง่ายๆ ที่บ้าน เพียงคุณผสมผงไม้แก่นจันทน์ 1 ช้อนโต๊ะเข้ากับน้ำดอกกุหลาบหรือนมสัก 2-3 หยดเพื่อทำเป็นยาพอก จากนั้นนำมาทาบริเวณแผลเป็นแล้วทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาทีก่อนล้างออก ทำเช่นนี้ซ้ำกันทุกวันจนกว่าแผลเป็นจะหายไป
    • อีกทางเลือกหนึ่ง คุณสามารถผสมผงไม้แก่นจันทน์กับน้ำผึ้งปริมาณเล็กน้อย แล้วใช้ยาพอกที่ได้ในการลดรอยแผลเป็นเฉพาะจุดก็ได้
  7. เมื่อใช้ไปได้สักระยะหนึ่ง น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิลจะช่วยจัดสมดุลค่า pH ของผิวคุณ ปรับปรุงสภาพผิว แล้วยังช่วยลดรอยแดงและรอยแผลเป็นต่างๆ อีกด้วย เวลาจะใช้ให้คุณเจือจางน้ำส้มสายชูนี้ด้วยน้ำ โดยให้น้ำมีปริมาณมากกว่าน้ำส้มสายชูสองเท่า แล้วนำมาทาบริเวณแผลเป็นโดยใช้สำลีก้อนทุกวัน จนกว่าแผลเป็นจะเริ่มหายไป
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ดูแลผิวพรรณของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. รังสีอัลตร้าไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์จะไปกระตุ้นเซลล์ผลิตเม็ดสีของผิวหนัง [12] ซึ่งสามารถทำให้ลักษณะของรอยสิวแย่ลงได้ ถ้าคุณต้องใช้เวลาอยู่ท่ามกลางแสงแดด ให้ปกป้องผิวของคุณด้วยการทาครีมกันแดด (ที่มีค่า SPF 30 หรือสูงกว่า) สวมหมวกปีกกว้าง และพยายามอยู่ในที่ร่มให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
  2. บ่อยครั้งที่คนเราต่างต้องการที่จะกำจัดเจ้ารอยแผลเป็นจากสิวทั้งหลายและสีผิวที่ผิดปกติออกไปมากเสียจนไปใช้ผลิตภัณฑ์และวิธีการสำหรับขัดผิวทุกรูปแบบ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดความระคายเคืองผิวและทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิมได้ พยายามฟังเสียงจากผิวคุณดูสิ ถ้ามันมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีต่อผลิตภัณฑ์ตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะล่ะก็ คุณควรที่จะหยุดใช้สิ่งนั้นทันที ให้คุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนทั้งคลีนเซอร์ เมคอัพรีมูฟเวอร์ มอยซ์เจอไรเซอร์ และสครับ ซึ่งจะช่วยปลอบประโลมผิวของคุณมากกว่าที่จะไปทำให้ผิวอักเสบ
    • เวลาที่คุณทำความสะอาดหน้า ให้เลี่ยงการใช้น้ำร้อนจัด เพราะน้ำร้อนอาจทำให้ผิวแห้งได้ ดังนั้นให้ลดอุณหภูมิน้ำลงมาสัก 2-3 องศา
    • นอกจากนี้คุณยังควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าสำหรับเช็ดหน้า ฟองน้ำ และใยบวบที่มีความหยาบกระด้างกับใบหน้าของคุณ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีความอ่อนโยนและทำให้ผิวระคายเคืองได้
  3. การขัดหน้าจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป และเผยผิวใหม่นุ่มละมุนที่อยู่ด้านล่างให้ปรากฏ เนื่องจากรอยสิวมักมีผลกระทบแค่กับผิวชั้นบน ฉะนั้นการขัดหน้าจะสามารถเร่งกระบวนการผลัดผิวชั้นที่มีรอยสิวออกไปได้ คุณสามารถขัดผิวหน้าได้โดยการใช้สครับสำหรับขัดผิวหน้าโดยเฉพาะ แค่ต้องแน่ใจว่าเป็นสูตรที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อผิวบอบบางแพ้ง่าย
    • อีกทางเลือกก็คือ คุณสามารถขัดผิวหน้าด้วยผ้าขนหนูที่มีความอ่อนนุ่มกับน้ำอุ่น โดยใช้ผ้าดังกล่าวมาหมุนวนเป็นวงเล็กๆ ให้ทั่วทั้งใบหน้า
    • คุณควรขัดหน้าอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และอย่างมากวันละ 1 ครั้ง หากคุณเป็นคนผิวแห้งมาก คุณอาจต้องการขัดเพียง 3-4 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์
  4. แม้ว่ามันจะยั่วยวนใจให้ทำก็เถอะ การทำเช่นนั้นกับรอยสิวจะไปรบกวนกระบวนการที่ผิวรักษาตัวเองตามธรรมชาติ แถมยังไปทำให้ลักษณะรอยสิวนั้นดูแย่ลงไปอีก ในขณะที่การบีบกดเม็ดสิวก็สามารถทำให้ผิวคุณเกิดแผลเป็นได้ตั้งแต่แรก เพราะแบคทีเรียจากมืออาจถูกส่งผ่านไปยังใบหน้าของคุณได้ ซึ่งเป็นเหตุให้สิวอักเสบและติดเชื้อ ดังนั้นไม่ว่ากรณีใดก็ควรหลีกเลี่ยงการบีบกดสิวและรอยสิว
  5. ถึงแม้ว่าการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพและการคงร่างกายไม่ให้ขาดน้ำจะไม่ได้เสกให้รอยสิวหายวับเหมือนมีเวทมนตร์ แต่ก็เป็นการทำให้ร่างกายคุณได้ทำงานได้ดีที่สุด และช่วยให้ผิวรักษาตัวมันเอง น้ำจะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและคงความอิ่มน้ำเต่งตึงของผิวเอาไว้ ฉะนั้นคุณควรตั้งเป้าดื่มน้ำให้ได้วันละ 5-8 แก้ว วิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเอ ซี และอีก็จะช่วยบำรุงและหล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื้นเช่นกัน
    • วิตามินเอพบได้ในผักต่างๆ เช่น บร็อกโคลี่ ผักโขม และแครอท ส่วนวิตามินซีและอีพบได้ในส้ม มะเขือเทศ มันเทศ และอโวคาโด
    • คุณควรพยายามเลี่ยงอาหารที่มีแป้งและไขมันสูงให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะอาหารเหล่านี้ไม่ได้ให้ประโยชน์อันใดแก่คุณเลย
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ต้องแน่ใจว่าร่างกายคุณนั้นไม่ขาดน้ำ การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยให้ผิวของคุณชุ่มชื้นและมีสุขภาพดีในระยะยาว และช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปได้เร็วขึ้นอีกด้วย
  • ยิ่งคุณจัดการรักษารอยแผลเป็นเร็วเท่าไร การรักษาก็จะยิ่งได้ผลมากขึ้นเท่านั้น
  • การมีความอดทนเป็นวิธีการรักษารอยสิวที่ได้ผลดีที่สุด รอยแผลเป็นจะค่อยๆ จางหายไปจนหมดเมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน เพราะได้คอลลาเจนใหม่มาเติมเต็มผิวบริเวณที่เป็นรอยสิว [13]
  • ลองมาส์กหน้าด้วยมาส์กสูตรข้าวโอ๊ตสิ ตักข้าวโอ๊ตมา 1 ช้อนและรดน้ำให้เปียก บีบแล้วนำน้ำนมที่ได้มาทาให้ทั่วทั้งหน้า จากนั้นนำเนื้อข้าวโอ๊ตทั้งหมดมาโปะหน้า และปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที อย่าทามาส์กข้าวโอ๊ตตรงบริเวณตาและปาก หลังจากนั้นให้คุณล้างมาส์กออก การมาส์กหน้านี้ไม่ได้ให้ผลลัพธ์แบบทันทีทันใด แต่มันก็ใช้ได้ผลสำหรับบางคน
  • คุณสามารถนำผงขมิ้นมาทาบริเวณที่เป็นรอยสิวได้ เพราะขมิ้นมีสารฆ่าเชื้อและต้านการอักเสบตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยในการรักษาสิวและรอยแผลเป็นบนใบหน้า สำหรับการผสมนั้น คุณสามารถทำได้โดยนำผงขมิ้นมาผสมกับน้ำหรือน้ำมะนาว เมื่อทาและปล่อยไว้ครบ 15 นาทีแล้ว ให้ล้างออกด้วยน้ำเย็น อีกวิธีหนึ่งคือ คุณอาจนำน้ำมะเขือเทศมาทาหน้าก็ได้ เพราะน้ำมะเขือเทศจะช่วยทำให้ผิวคุณกระจ่างใสขึ้นและช่วยลดรอยแผลเป็นได้อีกด้วย
  • ทาบริเวณที่มีรอยสิวด้วยส่วนผสมของน้ำมะนาว แป้ง และนม
  • ทาน้ำมันมะพร้าวบนรอยแผลเป็น และค่อยๆ ทาน้ำมันมะกอกบริเวณที่ยังเป็นสิวอยู่
  • คุณสามารถใช้แตงกวากับน้ำผึ้งก็ได้
  • เม็ดสิวที่กำลังปะทุจะแพร่กระจายความสกปรกผ่านทางรูขุมขนของคุณ และทำให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้น
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 745,956 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา