ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
ไม่มีอะไรจะน่าเซ็งไปกว่าเสื้อเชิ้ตขาวที่เพิ่งซักสะอาด โดนอะไรกระเด็นใส่จนติดเป็นคราบเด่นเป็นสง่า ปกติเสื้อผ้าเลอะก็ว่าแย่แล้ว แต่พอเลอะเสื้อผ้าสีขาวยิ่งทรมานใจ เสื้อขาวเลอะจะหาอะไรไปปิดบังหรือกลบเกลื่อนได้ยาก แต่ก็พอมีวิธีขจัดคราบให้คุณลองใช้ดู บทความวิกิฮาวนี้จะมาแนะนำสารพัดวิธีขจัดคราบบนเสื้อผ้าสีขาวให้คุณเอง โดยจะต่างกันไปตามสิ่งที่เลอะ ทั้งนี้ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเสื้อผ้าของคุณจะกลับมาขาวสะอาดปราศจากคราบ 100% แต่อย่างน้อยต้องมีสักวิธีที่ได้ผลแน่นอน
ขั้นตอน
-
เสื้อผ้าเลอะอะไร. ขั้นแรกก่อนเลือกวิธีขจัดคราบ คือต้องรู้ซะก่อนว่าอะไรเลอะเสื้อผ้าคุณ หลักๆ คือสังเกตว่าเป็นคราบมันหรือคราบแห้ง ซึ่งเป็นจุดสำคัญมาก เพราะจะเป็นตัวกำหนดขั้นตอนถัดไปที่คุณต้องเริ่มทำ
- น้ำยาขจัดคราบที่เป็นสารเคมีส่วนใหญ่ จะใช้ขจัดได้ทุกคราบ ส่วนที่ให้เช็คว่าเป็นคราบมันหรือไม่นั้น เพื่อให้ลงมือเร็วกว่าเดิม
- เราได้แนะนำวิธีเลือกและผสมน้ำยาให้ตรงกับชนิดของคราบเลอะ ไว้ในวิธีการที่ 3 ของบทความแล้ว
-
ถ้าเป็นคราบมัน อย่าล้างน้ำ. ถ้าเป็นคราบมัน พยายามอย่าเอาไปล้างน้ำเย็นทันทีทันใด เพราะน้ำมันไม่รวมกับน้ำ ยิ่งราดน้ำใส่คราบ น้ำมันอาจจะติดแน่นทนนานกว่าเดิม [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ให้ซับคราบมันด้วยทิชชู่ซับมันแห้งๆ แทน ปกติคราบมันที่เลอะก็มีหลายประเภท แต่ที่พบบ่อยคือ
- คราบไขมัน
- มาสคาร่า
- ลิปสติก
- อาหารที่มีน้ำมันหรือเนย
-
ถ้าเป็นคราบแห้ง ก็ล้างด้วยน้ำเย็นได้เลย. ถ้าเสื้อผ้าเลอะอะไรที่ไม่ได้ก่อคราบมัน ปกติขั้นแรกที่แนะนำคือซับคราบส่วนเกินออก แล้วล้างน้ำเย็น จะดีที่สุดถ้าเอาผ้าส่วนที่เป็นด้านหลังของคราบรองน้ำใต้ก๊อก จะช่วยชะคราบออกไปที่อีกด้านได้ [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ถ้าเอาด้านที่เป็นคราบรองให้น้ำไหลผ่าน คราบจะฝังแน่นในเส้นใยมากกว่าเดิม ปกติคราบแห้งเลอะผ้าขาวที่พบบ่อยจะเป็น
- คราบเหงื่อ
- เครื่องสำอางที่ไม่ผสมน้ำมัน
- อาหารที่ไม่มีน้ำมันผสม
- คราบเลือด
- คราบดิน สิ่งสกปรก
-
ลงน้ำยาที่คราบ. มีให้เลือกใช้ทั้งสเปรย์ น้ำยา และแบบผง จริงๆ ต้องบอกว่าเยอะจนเลือกไม่ถูก ให้เน้นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผ้าขาวได้ ขั้นต่อไปคือลงน้ำยาที่คราบ ตามวิธีใช้ที่ฉลาก
- บางผลิตภัณฑ์จะแนะนำให้ลงที่ขอบนอกของคราบ ไม่ใช่ตรงกลาง
- ส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องใส่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเยอะ เว้นแต่คราบเลอะเทอะเป็นพิเศษ
-
เอาผ้าซักเครื่อง. พอลงน้ำยาขจัดคราบแล้ว ก็เอาผ้าเข้าเครื่องได้เลย แล้วซักผ้าไปตามปกติ อย่าลืมอ่านคำแนะนำในการใช้งานให้ดีๆ รวมถึงเช็คว่าผลิตภัณฑ์นั้นใช้ได้กับอุณหภูมิเท่าไหร่โฆษณา
-
เตรียม hydrogen peroxide กับน้ำยาล้างจาน. จริงๆ แล้วคุณผสมน้ำยาขจัดคราบได้เองหลายแบบ แต่สูตรที่ผสมง่ายแต่ได้ผลเป็นพิเศษ คือใช้ hydrogen peroxide กับน้ำยาล้างจาน [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง สูตรนี้ง่ายมาก แค่ผสม hydrogen peroxide อย่างอ่อน (3/4%) 2 ส่วน กับน้ำยาล้างจาน 1 ส่วนในถัง [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง สัดส่วนนี้จะน้อยหน่อย ก็ต้องพิจารณาเอาจากขนาดของคราบ ว่าต้องใช้เท่าไหร่
- ลองใช้สูตรนี้ขจัดคราบมันหรือคราบน้ำมันได้ด้วย รวมถึงคราบสิ่งสกปรกและอาหาร
- น้ำยาผสมเองสูตรนี้ใช้ได้กับผ้าคอตตอน ผ้าใบ และเนื้อผ้าอื่นๆ
- ไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาสูตรนี้กับผ้าไหมหรือขนสัตว์
-
ผสมน้ำยาเข้าด้วยกัน แล้วเทใส่ขวดสเปรย์. พอผสม hydrogen peroxide กับน้ำยาล้างจานเข้าด้วยกันในถังแล้ว ให้หยิบขวดสเปรย์เปล่าๆ ที่ล้างแล้วมา จากนั้นค่อยๆ เทน้ำยาลงในขวด ถ้าใช้กรวยกรอกจะปลอดภัยสุด โดยเฉพาะถ้าเทจากถังขนาดใหญ่
-
ทดสอบน้ำยาที่จุดเล็กๆ ก่อน. ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาขจัดคราบชนิดไหน โดยเฉพาะน้ำยาผสมเองจากสารเคมี แนะนำให้ทดสอบใช้งานแค่จุดเล็กๆ ก่อนลงมือขจัดคราบจริงๆ โดยลงน้ำยาเพียงเล็กน้อยในจุดที่ไม่เป็นที่สังเกตของเนื้อผ้า
- ต้องเช็คว่าน้ำยาไม่ทำผ้าสีตกหรือเนื้อผ้าเสียหาย
- น้ำยาสูตรนี้ปลอดภัยใช้ได้กับผ้าทุกสี แต่ถ้าทดสอบก่อนใช้จริงจะดีที่สุด [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ฉีดสเปรย์ที่คราบโดยตรง. หมุนปิดฝาขวดสเปรย์ให้แน่น แล้วทดสอบฉีดใส่อ่างล้างจาน ถ้าได้ความแรงและปริมาณน้ำยาตามต้องการแล้ว ค่อยเอาไปฉีดพ่นที่คราบโดยตรง จากนั้นทิ้งไว้ให้ชุ่มสัก 2 - 3 นาทีขึ้นไป แล้วแต่ว่าอดใจรอไหวไหม
- ล้างออกด้วยน้ำเย็น
- ถ้าคราบติดแน่นทนนาน ให้ฉีดพ่นซ้ำตามขั้นตอน
-
ถ้าคราบกินวงกว้างหรือติดทนนาน ให้แช่ผ้าในน้ำยา. ถ้าคราบขยายใหญ่ ฉีดสเปรย์แล้วเสียเวลา ให้ปรับเปลี่ยนวิธีใช้น้ำยาตามสะดวก แนะนำให้เจือจางน้ำยาสูตรนี้ก่อนแช่ผ้า โดยผสม hydrogen peroxide กับน้ำยาล้างจานสัดส่วนเท่าเดิมในถังน้ำร้อน [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- แช่ผ้าในน้ำยา แล้วทิ้งไว้ให้ชุ่ม
- ล้างออกแล้วทำซ้ำตามขั้นตอนตามสมควร
- บางทีขยี้คราบเบาๆ อีกแรงตอนแช่ ก็ยิ่งทำให้คราบหายเร็วขึ้น
โฆษณา
-
ใช้เบคกิ้งโซดา. ข้อดีของน้ำยาขจัดคราบสำเร็จรูปที่ใช้สารเคมี คือเห็นผลดีเป็นพิเศษ แต่ข้อเสียคือระคายเคืองผิว หลายคนเลยมองหาน้ำยาสูตรธรรมชาติมาใช้กัน ซึ่งเบคกิ้งโซดาก็เป็นหนึ่งในส่วนผสมที่คนนิยมใช้ขจัดคราบกัน ถ้าใครมีติดบ้านก็หยิบมาใช้ได้เลย โดยผสมกับน้ำให้เป็น paste เหนียวข้น แล้วเอามาถูหรือขยี้เบาๆ ให้ซึมเข้าเนื้อผ้า [7] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- หรือใช้ร่วมกับน้ำส้มสายชูกลั่นขาวก็ได้ [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ใช้น้ำมะนาว. น้ำมะนาวก็เป็นหนึ่งในส่วนผสมที่ช่วยขจัดคราบเหงื่อไม่พึงประสงค์จากเสื้อเชิ้ตและเสื้อยืดขาวได้ดี โดยเฉพาะคราบใต้วงแขน ให้ผสมน้ำเปล่าและน้ำมะนาวในสัดส่วนที่เท่ากัน จากนั้นนำไปขัดถูบริเวณที่เป็นคราบ [9] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- น้ำมะนาวกับเกลือก็กำจัดเชื้อราและคราบสนิมบนผ้าขาวได้ดี [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ลองผสมน้ำมะนาวกับน้ำยาซักผ้าขาว ก็ช่วยให้ผ้ากลับมาหอมสะอาดได้ตามเดิม
-
ใช้ไวน์ขาว. หนึ่งในหายนะที่เกิดกับเสื้อขาว คือไวน์แดงหกใส่ แต่เชื่อหรือไม่ว่าคุณแก้ได้ง่ายๆ โดยเทไวน์ทับลงไป ย้ำว่าคราวนี้เปลี่ยนเป็นไวน์ขาว แล้วค่อยๆ เทใส่คราบ รับรองช่วยขจัดคราบไวน์แดงได้แน่นอน [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ให้ซับรอบๆ คราบด้วยผ้าเช็ดจาน เพื่อป้องกันไม่ให้คราบกินวงกว้าง [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- แค่ไวน์ขาวไม่ได้ช่วยขจัดคราบ แค่ทำให้ซักผ้าตามปกติแล้วสะอาดได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
-
ใช้ชอล์คขาวถ้าเป็นคราบมัน. คราบมันเป็นคราบปราบเซียน เพราะน้ำเปล่าอาจทำให้คราบเลอะหนักกว่าเดิม หนึ่งในวิธีธรรมชาติที่ใช้ขจัดคราบมันได้ คือใช้ชอล์คสีขาว โดยเอามาขัดเบาๆ ที่ผ้า เพื่อซับน้ำมันออกจากผ้า [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ปัดฝุ่นชอล์คส่วนเกิน แล้วค่อยเอาผ้าไปซักเครื่อง
- ซักน้ำเย็นเท่านั้น และห้ามเอาผ้าเข้าเครื่องอบ เพราะน้ำมันจะแห้งติด [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
น้ำยาฟอกขาวแบบ oxidizing กับ chlorine ต่างกันยังไง. น้ำยาฟอกขาวแบบ oxidizing จะไม่แรงเท่าสูตรคลอรีน เลยถนอมผ้ามากกว่า น้ำยาฟอกขาวแบบ oxidizing ที่พบบ่อยก็คือสูตร hydrogen peroxide คนนิยมใช้ขจัดคราบกัน ส่วนสูตรคลอรีนจะแรงกว่ามาก แถมเป็นพิษ ถ้าจะใช้ต้องระวังมากๆ [15] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- น้ำยาฟอกขาวสูตรคลอรีนใช้กัดสีผ้า แต่เราจะใช้กับผ้าขาว ก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
- ถ้าใช้น้ำยาฟอกขาวซักเครื่องบ่อยๆ อาจจะมีคราบเหลืองติดผ้าขาวได้ [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ลงน้ำยาฟอกขาวกำจัดคราบติดทนนาน. ถ้าคราบบนผ้าขาวของคุณนั้นติดแน่นทนนานเป็นพิเศษ แนะนำให้ใช้น้ำยาฟอกขาว แต่ใช้อย่างระวัง โดยทดสอบน้ำยาแค่จุดเล็กๆ ก่อน แล้วใช้คอตตอนบัดแต้มๆ ซับๆ น้ำยาที่ผ้าอีกฝั่ง ด้านหลังของคราบ [17] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง สุดท้ายคว่ำคราบลงบนผ้าเช็ดจาน [18] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง อย่าไปขยี้หรือบี้เนื้อผ้า
- พอใช้น้ำยาฟอกขาวแล้วก็เอาผ้าซักเครื่องได้ตามปกติ
- ต้องสวมถุงมือยางก่อนใช้น้ำยาฟอกขาวเสมอ
-
ผสมน้ำยาฟอกขาวตอนซักผ้า. อีกวิธีที่ปลอดภัยน้อยกว่าหน่อย คือผสมน้ำยาฟอกขาวในเครื่องซักผ้าเลย เพื่อให้สีผ้าจางลง ช่วยขจัดคราบ ย้ำว่าต้องอ่านคำแนะนำที่ฉลากให้ละเอียดก่อนเสมอ ว่าต้องใส่น้ำยามากแค่ไหน สรุปคือต้องอ่านทั้งฉลากน้ำยาฟอกขาว และป้ายที่เสื้อผ้า จนแน่ใจว่าผ้าชนิดนั้นซักโดยผสมน้ำยาฟอกขาวได้ ที่สำคัญคือห้ามใช้กับผ้าไหมหรือผ้าขนสัตว์ [19] X แหล่งข้อมูลอ้างอิงโฆษณา
-
ผสมแอมโมเนียตอนซักผ้า. แอมโมเนียเป็นด่าง เหมาะสำหรับขจัดคราบมันและสิ่งสกปรก ใช้ได้เหมือนน้ำยาฟอกขาวเลย โดยผสมกับน้ำยาซักผ้าเล็กน้อย ปกติเป็นสารเคมีค่อนข้างแรงที่มักผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอยู่แล้ว แต่จะซื้อแยกก็ได้ [20] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- "ห้าม" ผสมน้ำยาฟอกขาวกับแอมโมเนียเด็ดขาด เพราะจะเกิดปฏิกิริยา เป็นควันพิษอันตรายมาก [21] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ใช้แอมโมเนียในห้องที่อากาศถ่ายเท อย่าลืมสวมถุงมือยางก่อนใช้
-
ใช้น้ำมันสนผสมแอมโมเนีย. ถ้าจะลงแอมโมเนียที่คราบโดยตรง ให้ผสมกบน้ำมันสนในสัดส่วนที่เท่ากัน แล้วจะได้น้ำยาทำความสะอาดแบบเห็นผล พอผสมได้น้ำยาไม่ต้องมากแล้ว ก็เทใส่คราบแล้วทิ้งไว้สักพักได้เลย ทิ้งไว้ได้นานถึง 8 ชั่วโมงแล้วค่อยซัก [22] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- หลังใช้น้ำยาสูตรนี้แล้ว ตอนจะซักครั้งแรก ย้ำว่าต้องแยกจากผ้าชิ้นอื่น
- แอมโมเนียเข้มข้นทำผ้าด่างหรือเนื้อผ้าเสียหายได้เลย [23] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ใช้ฟองน้ำชุบแอมโมเนียซับขจัดคราบติดทนนาน. ถ้าคราบติดแน่นทนนานให้ใช้ฟองน้ำชุบแอมโมเนียซับ เป็นวิธีที่เหมาะมากโดยเฉพาะกับคราบสารคัดหลั่งจากร่างกายคน เช่น เลือด เหงื่อ และฉี่ [24] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง พอใช้ฟองน้ำที่มีแอมโมเนียซับทั่วคราบแล้ว ก็ซักได้ตามปกติโฆษณา
คำเตือน
- ก่อนใช้ทุกวิธีที่ว่ามา ต้องทดลองใช้น้ำยาที่ผ้าแค่เล็กน้อยก่อน
- ถ้าจะใช้สารเคมีแรงๆ ต้องทำในบริเวณที่อากาศถ่ายเทสะดวก
- สวมถุงมือยางเสมอเวลาใช้น้ำยาฟอกขาวหรือแอมโมเนีย
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.elle.com/fashion/news/a14926/stain-removing-hacks/
- ↑ http://www.elle.com/fashion/news/a14926/stain-removing-hacks/
- ↑ http://www.allthingsthrifty.com/2012/06/best-homemade-stain-remover-ever.html
- ↑ http://moderndaymoms.com/homemade-miracle-cleaner/#
- ↑ http://moderndaymoms.com/homemade-miracle-cleaner/#
- ↑ http://moderndaymoms.com/homemade-miracle-cleaner/#
- ↑ http://www.treehugger.com/green-home/how-remove-stains-clothes-and-carpet-naturally.html
- ↑ http://greenopedia.com/remove-stains-naturally/
- ↑ http://www.topcleaningsecrets.com/house/how-to-clean-stains-from-clothes.html
- ↑ http://www.treehugger.com/green-home/how-remove-stains-clothes-and-carpet-naturally.html
- ↑ http://www.elle.com/fashion/news/a14926/stain-removing-hacks/
- ↑ http://www.treehugger.com/green-home/how-remove-stains-clothes-and-carpet-naturally.html
- ↑ http://www.elle.com/fashion/news/a14926/stain-removing-hacks/
- ↑ http://www.treehugger.com/green-home/how-remove-stains-clothes-and-carpet-naturally.html
- ↑ http://www.artofmanliness.com/2013/03/28/how-to-remove-stains/
- ↑ http://www.thriftyfun.com/Cleaning-Yellow-Stains-on-White-T-Shirts.html
- ↑ http://www.topcleaningsecrets.com/house/how-to-clean-ink-stains.html
- ↑ http://www.artofmanliness.com/2013/03/28/how-to-remove-stains/
- ↑ http://www.cleaninginstitute.org/clean_living/cleaning_product_facts_bleach.aspx
- ↑ http://www.stain-removal-101.com/ammonia-uses.html
- ↑ http://www.cleaninginstitute.org/clean_living/cleaning_product_facts_bleach.aspx
- ↑ http://www.clean-organized-family-home.com/homemade-laundry-stain-removers.html
- ↑ http://cleaning.tips.net/T007145_Ammonia_Stains.html
- ↑ http://www.speedqueen.com/support/stain-removal-guide.aspx
โฆษณา