ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
การขับรถเป็นหนึ่งของทักษะที่มีประโยชน์มากที่สุดในโลก แต่ก่อนที่จะเริ่มขับได้ คุณควรระลึกไว้ว่า การขับรถบนท้องถนน ถือเป็นอภิสิทธิ์ร่วมกันทางกฎหมาย ไม่ใช่สิทธิส่วนบุคคล ดังนั้น คุณควรรู้จักมีความรับผิดชอบก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องออกไป กฎและระเบียบต่างๆ ของการขับรถนั้น อาจจะดูยุ่งเหยิง แต่หากคุณค่อยๆ เรียนรู้ไป ในเวลาไม่นานนัก คุณก็จะขับได้อย่างคล่องแคล่วบนท้องถนน มาเริ่มต้นขั้นตอนกันเลย
ขั้นตอน
-
ศึกษากฎระเบียบของพื้นที่ๆ คุณอยู่. ก่อนจะได้รับอนุญาตให้ขับรถ คุณจำเป็นต้องรู้กฎและพื้นฐานด้านความปลอดภัย ในฐานะผู้ขับขี่ที่มีวินัย เราขอแนะนำให้คุณศึกษากฎเหล่านั้น ก่อนที่จะขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย จะได้ไม่เกิดอุบัติเหตุและความผิดพลาดใดๆ ขณะขับขี่ :
- อ่านคู่มือการขับขี่ของกรมขนส่งฯ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอำนวยการในด้านการขับขี่และจราจร หากคุณไม่ศึกษาไว้ให้ดี ก็ไม่มีสิทธิได้รับใบขับขี่
- กฎบางอย่างที่คนทั่วไปรู้กันดีอยู่แล้ว ก็มีอย่างเช่น: หยุดหรือชะลอรถให้คนข้ามถนน ปฏิบัติตามสัญญาณจราจร ขับในความเร็วที่กำหนด และคาดเข็มขัดนิรภัย
-
ขอใบอนุญาต. ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ก่อนที่คุณจะหัดขับรถได้ คุณต้องไปขอใบอนุญาตก่อน (ยังไม่ใช่ ‘ใบขับขี่’ ) ซึ่งเป็นการให้สิทธิในการฝึกขับรถแก่คุณ โดยใช้กฎเกณฑ์การกำกับความคุมแบบเดียวกับผู้ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ส่วนในประเทศไทย คุณจะสามารถสอบใบขับขี่ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ได้ทันทีเมื่อมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ (ในขณะที่ตามกฎหมายไทย อายุครบ 20 ปีจึงจะถือว่าบรรลุนิติภาวะ) ซึ่งคุณควรศึกษาระเบียบขั้นตอนต่างๆ ในการไปสอบ ด้วยตนเองอีกครั้ง เผื่อมีการเปลี่ยนแปลง [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง โดยหลักๆ แล้ว การขอ ‘ใบอนุญาต’ ดังกล่าว มีระเบียบดังนี้:
- ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา หากยังเป็นผู้เยาว์อยู่ ต้องมีผู้ปกครองเซ็นยินยอมด้วย
- คุณต้องสอบข้อเขียนหรือทฤษฎี เกี่ยวกับกฎจราจรต่างๆ ให้ผ่านก่อน
- คุณต้องสอบภาคปฏิบัติหลังจากที่ผ่านข้อเขียนแล้ว นอกจากนี้ ในบางประเทศ คุณต้องไปเข้าอบรมขับให้ครบจำนวนชั่วโมงที่กำหนดก่อน จึงจะได้รับใบขับขี่
- ในชั้นเรียนมัธยมบางแห่ง จะมีวิชาที่สอนหรือให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่ด้วย
-
หัดขับ. เมื่อได้ใบอนุญาตหัดขับมาแล้ว คุณควรฝึกซ้อมให้คล่องต่ออีกสักหน่อย ก่อนที่จะไปโลดแล่นในถนนใหญ่ เพื่อให้อาการเกร็งหมดไป ค่อยๆ ฝึกทุกวันอย่างอดทน ไม่มีใครคล่องมาแต่กำเนิดหรอก แต่เรามีเคล็ดลับแนะนำดังนี้:
- คุณควรจะมีผู้ใหญ่ หรือคนที่ขับคล่องแล้วและบรรลุนิติภาวะ นั่งไปกับคุณด้วยในช่วงแรกๆ เพื่อคอยให้คำแนะนำต่างๆ แก่คุณได้ระหว่างทาง โดยไม่หงุดหงิด
- หาถนนในซอย หรือพื้นที่โล่งๆ เช่น ลานจอดรถใหญ่ๆ ในช่วงบ่ายวันธรรมดา พยายามเรียนรู้จังหวะเร่ง จังหวะเบรก และการควบคุมรถขั้นพื้นฐานให้แน่น รถแต่ละคันนั้นต่างกัน คุณจึงควรทำความคุ้นเคยกับรถของคุณเองด้วย
โฆษณา
-
จัดวางตำแหน่งต่างๆ ให้ดี. ก่อนออกรถ คุณควรขยับกระจกมองหลังและด้านข้าง รวมถึงปรับที่นั่งให้เหมาะกับตัวเองที่สุด การทำเช่นนี้ก่อนออกรถ ย่อมดีกว่าทำในขณะกำลังขับ เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง โดยตรวจสอบสิ่งต่างๆ ดังนี้:
- ลองมองกระจกด้านข้างและกระจกมองหลัง จากนั้นปรับให้อยู่ในมุมที่เห็นรถทั้งสองข้างและข้างหลังได้ชัดเจนที่สุด อย่าไปขยับกระจกเอาตอนกำลังขับ เพราะคุณจะเสียสมาธิได้ง่าย
-
ตรวจเช็ครถให้มั่นใจก่อนขับ. ก่อนที่จะขับรถไปไหน คุณควรสภาพร่างกายและรถให้พร้อมเสมอ โดยคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้:
- คาดเข็มขัดนิรภัย แม้ว่าในบางประเทศหรือบางพื้นที่ อาจไม่เข็มงวดเรื่องนี้มากนัก แต่คุณควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งให้เป็นนิสัย เพื่อจะได้ไม่ถูกจับปรับ และที่สำคัญ เพื่อความปลอดภัยของคุณเองในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถชน
- เช็คไฟบนหน้าปัด. ตรวจสอบให้ดีว่า รถของคุณพร้อมวิ่งและไม่มีสัญญาณไฟใดๆ บนหน้าปัดแจ้งเตือนให้ซ่อมหรือแก้ไขก่อน
- ปรับที่นั่งให้ถนัด นั่งให้สบาย และลองเหยียบเบรก/คันเร่ง ให้ถนัดมากที่สุด รวมถึงมุมมองต่างๆ ด้วย
-
ขจัดสิ่งรบกวน. เพื่อความปลอดภัย คุณควรขจัดสิ่งรบกวนขณะขับขี่ออกไปให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้มันมาขัดขวางสมาธิของคุณบนท้องถนน เช่น สิ่งต่อไปนี้:
- อย่าไปสนใจโทรศัพท์มือถือ ห้ามแชทหรือส่งข้อความใดๆ หาใครก็ตาม ในขณะกำลังขับขี่ พยายามจอดหรือคุยให้เสร็จก่อนที่จะขับออกไป หรือคุยทีหลังก็ได้ คุณอาจจะปิดโทรศัพท์ไปเลยก็ดีในขณะขับขี่
- เปิดเพลงหรือวิทยุเบาๆ หน่อย เพลงเบาๆ ฟังสบาย จะช่วยให้โฟกัสได้ดีกว่า
- อย่าแต่งหน้าหรือเซ็ทผมใดๆ ในขณะกำลังขับ ทำให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะสตาร์ทรถ
โฆษณา
-
สตาร์ทรถ. การสตาร์ทรถ คุณต้องทำให้ถูกตามลำดับขั้นตอน โดยมีวิธีดังนี้:
- ปลดเบรกมือ
- เหยียบเบรก
- เสียบกุญแจและบิดเพื่อสตาร์ท
-
การเข้าเกียร์. การขับรถเกียร์ออโต้ คุณจะเริ่มจากเกียร์ D หรือ R ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจอดรถไว้ในตำแหน่งใด
- หากจะออกตัวไปข้างหน้า ก็เข้าเกียร์ D
- หากจะเลื่อนถอยหลังก่อน เช่น กรณีที่รถจอดอยู่โดยหันท้ายออก ก็เข้าเกียร์ R
- เวลาถอยรถ มองกระจกหลังให้ดี จากนั้น เอื้อมแขนซ้ายไปวางบนพนักพิงไหล่ของเบาะข้างคนขับ เพื่อจะได้เอี้ยวซ้ายไปมองหลังได้ด้วย
-
ค่อยๆ ปล่อยเท้าออกจากเบรก เพื่อให้มันเคลื่อนช้าๆ ยินดีด้วย สำหรับก้าวแรกในการขับรถ!
- ค่อยๆ แตะคันเร่งเพื่อเร่งความเร็วทีละนิด
-
เร่งความเร็ว. คุณควรเร่งความเร็วให้สูงตามที่กำหนดในพื้นที่นั้นๆ หากอยู่บนถนนใหญ่ ก็อย่าขับช้าเกินไป แต่อย่าขับเร็วเกินที่กำหนด ดูตามสภาพจราจรเป็นหลัก
- หากรถที่อยู่รายล้อมคุณบนท้องถนนขับช้ากว่าที่กำหนด ก็พยายามขับด้วยความเร็วเดียวกันไปก่อน เพื่อป้องกันการชน
- หากรถเหล่านั้นขับเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนด คุณก็ไม่จำเป็นต้องขับตาม หรือฝ่าฝืนกฏ แต่อย่างน้อย ควรจะเร่งให้เร็วขึ้นสักนิด เพื่อป้องกันไม่ให้กีดขวางหรือส่งผลกระทบต่อคันอื่นๆ
- จำไว้ว่า การขับรถช้าเกินไป ก็อันตรายพอๆ กับขับเร็วเกินไปนั่นแหละ
- เร่งความเร็วอย่างมั่นคง อย่าเหยียบแรงเกิน ไม่งั้นรถจะพุ่งหรือกระชาก รถแต่ละคันมีระดับคันเร่งและอัตราเร่งต่างกัน
-
บังคับพวงมาลัยให้ดี. เทคนิคการหมุนพวงมาลัย ทั้งจังหวะเลี้ยวหรือขับทางตรง จะช่วยให้คุณขับรถได้นุ่มนวลและหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้มากกว่า โดยมีเคล็ดลับดังนี้:
- จับพวงมาลัยสองมือตลอดเวลา
- มือแต่ละข้าง อยู่ในตำแหน่ง 8 และ 4 นาฬิกา หรืออาจจะ 9 และ 3 นาฬิกา ขึ้นอยู่กับความถนัด ในท่าแบบนี้ คุณจะสามารถควบคุมพวงมาลัยได้ง่ายกว่า และเตรียมพร้อมสำหรับการเลี้ยวแบบกะทันหันได้ด้วย
- เวลาจะเลี้ยว ให้หมุนพวงมาลัยลงไปทางด้านที่คุณจะเลี้ยว โดยใช้มืออีกข้างหมุนขึ้นด้วย เทคนิคนี้เรียกว่าการบังคับแบบ ขึ้น-ลง
- เวลาที่จะเลี้ยวแบบหักศอกขณะกำลังวิ่งช้าๆ ให้ใช้เทคนิคการเลี้ยวแบบไขว้มือ คือ ยังคงหมุนไปในทางเดิม แต่ให้เอามือข้างหมุนลง เอื้อมไปจับพวงมาลัยด้านที่หมุนขึ้น เพื่อช่วยให้หมุนได้ถนัดขึ้นขณะเลี้ยว [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
รู้การทำงานของเบรก. คุณควรศึกษาว่า เบรกของคุณมีอัตราความเร็วก่อนรถจะหยุดนิ่ง ช้าหรือเร็วประมาณไหน เวลาที่ขับด้วยความเร็วต่างๆ กัน
- พยายามขับให้ห่างอย่างน้อย 1 ช่วงคัน ต่อจากคันหน้า เผื่อเวลาเบรกกะทันหัน จะได้ไม่ชนกัน
- เวลาขับเร็ว คุณควรเผื่อระยะให้มากกว่า 1 ช่วงคัน เพื่อการเบรกที่ปลอดภัย โดยอาจใช้เทคนิค 2 วินาที นั่นคือคุณควรอยู่ห่างจากคันหน้าประมาณ 2 วินาที จึงจะถือว่าเป็นระยะปลอดภัย แต่ต้องคำนึงถึงสภาพท้องถนนและดินฟ้าอากาศด้วย
- พยายามอย่าเบรกกะทันหัน นอกจากกรณีฉุกเฉิน การเบรกกะทันหันจะทำให้คันหลังพุ่งชนคุณได้
-
ให้สัญญาณตามความเหมาะสม. จำไว้ว่า รถที่ตามหลังคุณมา ไม่สามารถอ่านใจคุณได้หรอก พวกเขาไม่รู้หรอกว่าคุณจะเลี้ยวซ้ายหรือขวา คุณควรจะให้สัญญาณเลี้ยวในสถานการณ์ต่อไปนี้ [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
- ขณะที่กำลังอยู่ห่างจากจุดที่จะเลี้ยว (ทั้งซ้ายและขวา) ประมาณ 30.5 เมตร
- ให้สัญญาณก่อนที่จะเปลี่ยนเลน ประมาณ 5 วินาที
- ก่อนที่จะเลี้ยวตามจุดโค้งต่างๆ ในที่จอดรถ
- เมื่อต้องการเปลี่ยนทิศทาง
-
เปิดไฟหน้า. ไฟหน้าจะช่วยให้คุณมองถนนชัดเจนและป้องกันอุบัติเหตุ คุณควรเปิดทุกครั้งเมื่ออยู่ในที่มืด ฝนตก หรือมีหมอก
- กฎทั่วไป คือ หากคุณสงสัยว่าตอนนี้ควรจะเปิดไฟหน้าได้หรือยัง ให้ตอบว่าใช่ เอาไว้ก่อนเสมอ
- ลองมองดูรถคนอื่นๆ บนท้องถนน หากพวกเขาเริ่มเปิดไฟหน้ากันแล้ว คุณก็ควรเปิดได้แล้ว
- จำไว้ว่า รถรุ่นใหม่บางคัน มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติในแต่ละสถานการณ์ หากรถของคุณไม่มีระบบดังกล่าว ควรเช็คไฟหน้าว่าปิดทุกครั้งเวลาที่จอดรถ ไม่งั้นจะเปลืองแบตเตอรี่มาก
-
เปิดที่ปัดน้ำฝน. คุณควรเข้าใจการทำงานของที่ปัดน้ำฝน ก่อนที่จะขับในเวลาฝนตก ซึ่งคุณสามารถปรับความเร็วของมันได้ ขึ้นอยู่กับว่าฝนตักหนักขนาดไหน
- คุณยังสามารถพ่นน้ำเพื่อใช้ที่ปัดน้ำฝน ทำความกระจกหน้าได้ด้วย
- อย่า ขับ หากที่ปัดน้ำฝนเสีย การขับขณะฝนตกหนัก โดยไม่มีที่ปัดน้ำฝน เป็นอันตรายมาก
-
เปลี่ยนเลนขั้นเทพ. เวลาจะเปลี่ยนเลน พยายามทำให้ถูกวิธีและขั้นตอน ซึ่งคุณอาจใช้เทคนิค S.M.O.G เข้าช่วย [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- S: SIGNAL ให้สัญญาณไฟเลี้ยวบอกคันอื่น
- M: MIRROR มองกระจกข้างว่ามีคันอื่นประชิดขึ้นมาไหม
- O: OVER-THE-SHOULDER หันไปมองข้างหัวไหล่เพื่อความชัวร์อีกที
- G: ไปได้
-
จอดรถอย่างถูกวิธี. เมื่อถึงที่หมายแล้ว คุณจะต้องจอดรถและดับเครื่องอย่างถูกวิธี โดยมีขั้นตอนดังนี้ :
- หาที่จอดเหมาะๆ หยุดรถด้วยการแตะเบรก
- เข้าเกียร์ P
- ดับเครื่อง
- ดึงเบรกมือ
- อย่าลืมปิดไฟหน้า
- ล็อกรถให้เรียบร้อย ป้องกันโจร
- ลงจากรถ และดูให้มั่นใจอีกทีว่าจอดได้ตรง
โฆษณา
-
จำไว้ว่า กฎหลายๆ อย่างนั้น จะขับรถเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์ออโต้ ไม่แตกต่างกัน. แม้ว่าจะมีรายละเอียดบางเรื่องไม่เหมือนกัน แต่บางอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอนเดียวกัน เช่น:
- ขั้นตอนการตรวจเช็ครถก่อนขับ เช่น การปรับเบาะนั่งและกระจก รวมถึงขจัดสิ่งรบกวน
- การเปิดไฟเลี้ยวอย่างเหมาะสม
- วิธีการเปลี่ยนเลน
- สถานการณ์ที่ต้องใช้ที่ปัดน้ำฝนและไฟหน้า
- ตำแหน่งการวางมือบนพวงมาลัย
-
เรียนรู้วิธีควบคุมรถ. คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การขับรถเกียร์ธรรมดานั้นยากและซับซ้อนกว่าเกียร์ออโต้เยอะ เพราะมีขั้นตอนในการขับมากกว่า แต่พวกเขาก็ยังเห็นตรงกันด้วยว่า รถเกียร์ธรรมดาขับมันส์และคุ้มค่ากว่า เพราะจะเหมือนกับว่า คุณได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมัน หากคุณมีรถเกียร์ธรรมดา คุณควรคำนึงถึง 2 เรื่องนี้เพิ่มเติมด้วย:
- คลัทช์ : ส่วนประกอบนี้มีไว้ควบคุมการประสานงานระหว่างเครื่องยนต์กับกระปุกเกียร์ การเหยียบคลัทช์จะเป็นการถอนคลัทช์ออกมา เพื่อตัดขาดแรงฉุดของเครื่องยนต์ออกจากกระปุกเกียร์ ส่วนการปล่อยคลัทช์ จะเป็นการเชื่อมเครื่องยนต์กับกระปุกเกียร์อีกครั้ง ซึ่งในขณะที่เหยียบคลัทช์ รถของคุณจะอยู่ในสภาพเดียวกับเกียร์ว่าง ไม่ว่าขณะนั้นจะกำลังเข้าเกียร์ใดๆ อยู่หรือไม่ก็ตาม ส่วนเวลาปล่อยคลัทช์ก็จะทำให้รถอยู่ในเกียร์ปัจจุบันที่เข้าเอาไว้นั่นเอง
- คันเกียร์ : การเข้าเกียร์ ทำได้โดยเลื่อนแท่งคันโยก ซึ่งอาจจะเรียกว่าคันเกียร์ แท่งเกียร์ คานเกียร์ ตัวเลื่อนเกียร์ หรืออะไรก็ได้ แต่ความหมายเดียวกัน หมายเลขเกียร์และทิศทางการเข้าเกียร์ อาจแตกต่างกันไปในรถแต่ละรุ่น แต่โดยมาตรฐานแล้ว จะต้องมีเกียร์ N หรือเกียร์ว่างอยู่เป็นหลักเหมือนกันหมด และตามด้วยเกียร์ 1-5 หรือ 1-6 แล้วแต่รุ่น สุดท้ายก็คือเกียร์ถอยหรือ R นั่นเอง
-
สตาร์ทรถ. การสตาร์ทรถเกียร์ธรรมดา จะยากกว่าการสตาร์ทรถเกียร์ออโต้ และจำเป็นต้องฝึกมากกว่าด้วย ดังนั้น เวลาที่จะหัดขับ คุณควรอยู่ในบริเวณที่กว้างขวางและไร้สิ่งกีดขวาง ไม่เช่นนั้นอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนนี้:
- เริ่มด้วยการเหยียบคลัทช์ ปกติแล้วรถเกียร์ธรรมดาจะสตาร์ทไม่ติด หากไม่เหยียบคลัทช์ก่อน
- หลังจากที่สตาร์ทรถแล้ว ให้เหยียบเบรกไว้และปลดเบรกมือ
- ถ้าจะเดินหน้า ก็เลื่อนคันเกียร์ไปที่เกียร์ 1 หากจะถอยหลังก็ไปที่เกียร์ R
- ขณะที่ค่อยๆ ปล่อยคลัทช์ ก็ค่อยๆ เหยียบคันเร่งไปพร้อมๆ กันด้วย
- คุณจะได้ยินเสียงเครื่องยนต์เร่งขึ้น และอาจจะได้ยินหรือรู้สึกถึงคลัทช์ที่กำลังทำหน้าที่เชื่อมต่อ หากรถเคลื่อนไปได้โดยไม่หน่วง แสดงว่าคุณทำได้ดีแล้ว! คุณสตาร์ทเครื่องและสอบผ่านเกียร์หนึ่งแล้ว
-
เปลี่ยนเกียร์ตามความเร็วที่ต้องการ. คุณสามารถเลื่อนไปเกียร์อื่นๆ สูงขึ้นไปตามลำดับ แบบเดียวกับตอนที่คุณเลื่อนจากเกียร์ว่างไปเข้าเกียร์ 1 แต่ก่อนอื่น ขอให้ตระหนักว่า:
- คุณต้องเข้าเกียร์ตามขั้นตอนนี้ คือ เหยียบคลัทช์เพื่อคลายมันออกจากกระปุกเกียร์ โยกคันเกียร์เพื่อเลื่อนเกียร์ ค่อยๆ ปล่อยเท้าออกจากคลัทช์ช้าๆ เพื่อให้คลัทช์ทำงาน โดยรู้สึกถึงแรงดันที่น้อยลงเรื่อยๆ ในขณะที่เท้าอีกข้างเหยียบคันเร่ง
- พยายามนึกภาพหรือรู้สึกถึงแรงดันของเท้าที่ใช้เหยียบคลัทช์ กับเท้าที่ใช้เหยียบคันเร่ง ให้มีน้ำหนักสอดรับกัน คล้ายๆ การเล่นไม้กระดกกันระหว่างสองฝั่ง เมื่อฝั่งหนึ่งขึ้น อีกฝ่ายหนึ่งก็ลงด้วยน้ำหนักที่สมดุลกัน
- การค่อยๆ เหยียบคันเร่ง ระหว่างที่ผ่อนคลัทช์ จะช่วยให้การเลื่อนเกียร์นิ่มนวลขึ้น มันอาจต้องใช้เวลาฝึกหน่อย แต่พอคุณเข้าถึงความรู้สึกระหว่างคันเร่งและคลัทช์แล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ
-
เลื่อนเกียร์สูงขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเพิ่มความเร็ว. รถแต่ละคันจะมีช่วงความเร็วของแต่ละเกียร์อยู่ แต่บางคนอาจสอนว่า ให้เลื่อนเกียร์ตอนที่เครื่องยนต์ถึงรอบที่กำหนด
- คุณจะใช้การฟังเสียงเอาก็ได้ ในการตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนเกียร์เมื่อไร
-
เบรกอย่างถูกวิธี. เหยียบคลัทช์และเข้าเกียร์ว่างในขณะที่รถเบรก การเข้าเกียร์ว่างเอาไว้ จะเป็นการทำให้เครื่องยนต์ไม่ไปจับกับเกียร์ และช่วยลดแรงเคลื่อนของรถ ขณะที่กำลังเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็ว
- คุณสามารถประหยัดเชื้อเพลิงและถนอมอายุการใช้งานเบรกได้ ด้วยการใช้วิธีเลื่อนเกียร์ต่ำลงเพื่อช่วยชะลอความเร็ว ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญ แรกๆ ก็เหยียบเบรกอย่างเดียวไปก่อนแล้วกัน
-
จอดรถ. หลังจากที่หาจุดจอดรถเหมาะๆ ได้แล้ว คุณควรจะเรียนรู้วิธีจอดรถเกียร์ธรรมดาอย่างถูกขั้นตอน ตามลำดับต่อไปนี้:
- เข้าเกียร์อะไรไว้ก็ได้ ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้เกียร์ถอยหรือเกียร์หนึ่ง หากคุณเข้าเกียร์ว่างไว้ รถอาจจะเคลื่อนได้ (หรือคุณจะใช้วิธีดึงเบรกมือก็ได้)
- ดึงกุญแจออกจากช่องสตาร์ท
โฆษณา
-
ปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายเพื่อทำใบขับขี่. หลังจากที่ (ได้ใบอนุญาตมา) ฝึกขับรถจนชำนาญทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์ออโต้แล้ว รวมถึงฝึกขับบนถนนใหญ่มาพักหนึ่งแล้ว (บางประเทศกำหนดจำนวนชั่วโมงที่ต้องขับโดยมีคนอื่นอยู่ด้วย ก่อนจะได้ใบอนุญาตขับขี่อย่างเป็นทางการ) คุณก็จะได้ไปทำใบขับขี่เสียที ซึ่งจะทำให้คุณสามารถขับคนเดียว และเมื่อไรก็ได้ (รวมถึงมีผู้โดยสารในรถคุณกี่คนก็ได้) และต่อไปนี้ คือ ขั้นตอนคร่าวๆ ของการทำใบขับขี่ ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศด้วย:
- ผ่านการสอบข้อเขียน
- ผ่านการทดสอบขับจริงระยะสั้น คือ การขับแบบพื้นฐานทั่วไป รวมถึงการจอดขนานและการกลับรถสามจังหวะ (K Turn)
- ผ่านการทดสอบสายตา
- ตรวจสอบข้อมูลจากกรมขนส่งฯ ในประเทศหรือมลรัฐที่คุณอยู่อีกครั้ง ถึงระเบียบขั้นตอนในการทำใบขับขี่
-
จำไว้ว่า การขับขี่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ. หลังจากที่คุณทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ใบขับขี่มาแล้ว คุณควรทำตัวให้เป็นผู้ขับขี่ที่มีความรับผิดชอบ เน้นความปลอดภัย และใส่ใจระมัดระวัง หากคุณทำผิดกฎจราจร ใบขับขี่ของคุณอาจถูกยึดได้ รวมถึงถูกดำเนินคดีทางกฎหมายด้วย ต่อไปนี้คือข้อควรจำหลังจากได้ใบขับขี่มาแล้ว:
- ปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ สิ่งนี้ต้องมาก่อนความสนุกสนาน อย่าทำอะไรที่เสี่ยง เช่น การอัดผู้โดยสารกันแน่นเกินขนาดที่นั่งของ การไม่รัดเข็มขัด หรือขับด้วยความประมาท
- ทักษะการขับรถของคุณ สามารถพัฒนาได้ พยายามจดอาไว้ว่าคุณยังอ่อนเรื่องไหน ไม่ว่าจะเรื่องการเลี้ยวให้นุ่มนวล หรือการให้สัญญาณไฟในจังหวะที่เหมาะสม และพยายามแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง
- ดูแลความปลอดภัยของผู้โดยสาร ดูให้มั่นใจว่าพวกเขาวางตัวได้เหมาะสมก่อนออกรถ อย่าขับออกไปหากใครยังยื่นแขนออกนอกรถ ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย หรือมีกริยาไม่เหมาะสมใดๆ ก็ตาม
โฆษณา
เคล็ดลับ
- ดูวิธีการขับของผู้อื่น และหัดถามบ้าง ต่อให้ไม่มีอะไรดีเท่ากับการขับเอง แต่การถามจะช่วยให้คุณรู้เทคนิคและกฏบางข้อ
- หากเป็นไปได้ ควรปล่อยให้คันหลังที่ขับตามมาด้วยความเร็วสูงหรือขับอย่างคลุ้มคลั่ง แซงคุณไปก่อน
- พยายามสังเกตการณ์ล่วงหน้าให้รอบด้าน เช่น คนที่กำลังเปิดประตูลงจากรถ นักปั่นจักรยาน หรือเด็กๆ ที่กำลังเล่นอยู่ริมถนน และเตรียมพร้อมในการเบรกเสมอ
- เมื่อเห็นสัญญาณไฟเหลือง คุณควรหยุดรถหากทำได้อย่างปลอดภัย แต่หากมันกระชั้นชิดเกินไป การเร่งผ่านไปเลย จะปลอดภัยกว่าเบรกกะทันหัน
- เวลาถอยออกจากที่จอด ในลานจอดรถหรือริมถนน พยายามระวังเด็กเล็ก สัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยงที่อาจอยู่นอกทัศนะวิสัยของคุณ รวมถึงเด็กที่ขี่จักรยานหรือเล่นสเก็ตบอร์ด และก่อนจะเลี้ยวบริเวณแยก ก็ควรระวังคนข้ามถนนให้ดีด้วย
- เวลาที่ทัศนะวิสัยถูกบดบังโดยรถใหญ่ๆ บริเวณใกล้แยก หรือหัวมุมถนน คุณควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ก่อนที่จะเลี้ยว หรือข้ามแยก
- ระวังคนขี่จักรยานและมอเตอร์ไซค์ ที่ชอบขี่มาทางซ้ายของคุณ (ประเทศไทย) โดยเฉพาะเวลาจะเลี้ยวซ้าย หรือเข้าใกล้ทางโค้ง พยายามเว้นที่ให้พวกเขาสักนิด ในถนนที่แคบๆ
- เวลาที่ขับรถข้ามแยกใดๆ อย่าชะล่าใจหรือคิดว่าจะไม่มีรถคันใดวิ่งตัดขวางมา บางคนอาจเมา หรือไม่เห็นสัญญาณไฟ หรือเบรกแตก หรือสาเหตุใดก็ตาม คุณควรระวังและพร้อมเบรกไว้เสมอ
โฆษณา
คำเตือน
- หลีกเลี่ยงถนนใหญ่ หากคุณเป็นมือใหม่หัดขับ เพราะการจราจรมันคับคั่งและเป็นอันตรายแก่คนที่ไม่มีประสบการณ์ ในบางประเทศหรือมลรัฐ การหัดขับบนถนนใหญ่ถือว่าผิดกฎหมายและการออกใบขับขี่ของคุณอาจถูกระงับ หากถูกจับได้ ซึ่งในบางประเทศ หากคุณมีเพียงใบขับขี่แบบผู้เยาว์ ก็ไม่ควรขับบนถนนใหญ่ จนกว่าจะได้ใบขับขี่แบบปกติ
- ดื่มไม่ขับ หากดื่มแล้วขับ คุณอาจถูกตำรวจเรียกจับได้ เพราะนอกจากจะเป็นการเสี่ยงทำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิตแล้ว ยังเสี่ยงต่อชีวิตคุณด้วย
- อย่าขับยานพาหนะใดๆ ในระหว่างที่มีอาการจากสารเสพติดหรือแอลกอฮอล์
- อย่าขับยานพาหนะใดๆ เมื่อรู้สึกง่วงเพลีย จอดและหลับสักงีบก่อนดีกว่า
- รัดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งแม้ในเวลาที่ขับระยะสั้นๆ
- อย่าคุยโทรศัพท์ (ต่อให้ใช้สมอลทอล์ค หรืออุปกรณ์ช่วยใดๆ ก็ตาม) และส่งข้อความ หรือแชทขณะขับรถ เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- ตรวจสอบช่วงเวลาเคอร์ฟิวในพื้นที่ๆ ที่คุณอยู่ด้วยว่า ห้ามออกมาขับรถเวลาไหน
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา