ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เทคนิคที่ดีที่สุดสำหรับการจัดการรอยแดงบนใบหน้ามีหลากหลายแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสาเหตุของรอยแดงนั้นๆ รอยแดงทั่วๆ ไปมักจัดการได้ด้วยเครื่องสำอางหรือน้ำยาทำความสะอาดผิวหน้า แต่ถ้าเป็นรอยแดงจากสาเหตุอื่นที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคืองอาจต้องใช้วิธีการดูแลที่ต่างออกไป เราต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมกับรอยแดงแต่ละประเภท เพื่อให้เราสามารถจัดการกับปัญหารอยแดงบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลผิวหน้า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้บำรุงผิวหน้าในทุกๆ วันอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ สิว หรือการระคายเคืองได้ ลองหยุดใช้เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผมต่างๆ ของคุณดู แล้วค่อยๆ กลับมาใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นใหม่ตามปกติทีละชิ้น วิธีนี้จะทำให้เรารู้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
    • หากมีรอยแดงพร้อมกับใบหน้าบวม โดยเฉพาะบริเวณปากหรือลิ้น หรือหายใจผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน สามารถโทรหาหน่วยแพทย์ฉุกเฉินได้ที่เบอร์ 1669
    • สังเกตจากผลิตภัณฑ์ที่คุณเพิ่งเริ่มใช้อันล่าสุด เพราะมีความเป็นไปได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้ต่างๆ
    • คุณสามารถนัดพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อทำการทดสอบสารแพ้ โดยการทาสารเคมีชนิดต่างๆ ในปริมาณเล็กน้อยและติดตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผิวหนังของเราอย่างใกล้ชิด
    • ถ้าคุณมีผิวแพ้ง่าย คุณต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อผิวแพ้ง่าย เช่น ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ Aveeno รุ่นอัลตร้าคาล์มมิ่ง และ ยี่ห้อ Eucerin ประเภทลดรอยแดง
    • เมื่อคุณรู้สาเหตุของรอยแดงแล้ว ให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีนั้นๆ เป็นส่วนประกอบ [1]
  2. ใช้น้ำอุ่นเพราะน้ำร้อนหรือน้ำเย็นจะทำให้หน้าแห้งเกินไป ถ้าคุณล้างหน้าผิดวิธีจะทำให้ผิวหน้าระคายเคืองและแดงกว่าเดิม คุณควรใช้น้ำยาทำความสะอาดผิวหน้าชนิดที่เหมาะกับผิวแพ้ง่าย เช่น ไม่มีน้ำหอม และควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์หรือสารที่ทำให้ผิวหน้าแห้ง ลองใช้ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ Cetaphil หรือ Purpose ที่ออกแบบมาเพื่อผิวแพ้ง่าย
    • เมื่อล้างหน้าเสร็จให้ซับหน้าเบาๆ ด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ ห้ามถูหน้าแรงๆ เด็ดขาดเพราะจะทำให้ผิวหน้าระคายเคืองกว่าเดิม [2]
    • ลองใช้น้ำยาทำความสะอาดผิวหน้าที่มีส่วนประกอบของซัลเฟต ซึ่งเป็นสารที่ลดอาการอักเสบ เช่น ยี่ห้อ Rosanil [3]
    • หากรอยแดงเกิดจากสิวและคุณไม่ได้มีผิวแพ้ง่าย ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยสารเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ เช่น ยี่ห้อ Clearasil
  3. ใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นหรือมอยส์เจอไรซ์เซอร์. หลังล้างหน้าให้ทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
    • คุณสามารถเก็บโลชั่นไว้ในตู้เย็นได้และใช้ทาบำรุงหน้าขณะที่ผลิตภัณฑ์เย็น ผลิตภัณฑ์ที่มีความเย็นจะทำให้เส้นเลือดหดตัวและทำให้รอยแดงจางลง
    • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ สารสกัดจากต้นวิชฮาเซล สาระแหน่ น้ำหอม ยูคาลิปตัสหรือน้ำมันหอมระเหยจากกานพลู เพราะส่วนประกอบเหล่านี้เป็นสารระคายเคืองผิว ซึ่งจะทำให้ผิวระคายเคืองมากกว่าเดิม [4] [5]
  4. ครีมยอดนิยมคือยาทาจำพวกสเตียรอยด์ที่มาในรูปแบบครีมที่ช่วยลดรอยแดง บรรเทาอาการบวมของผิว หาครีมที่มีส่วนประกอบของไฮโดรคอร์ติโซนความเข้มข้น 0.5% หรือ 1% ใช้วันละ 1-2 ครั้งเฉพาะส่วนที่มีอาการระคายเคืองเท่านั้น
    • อย่าใช้ครีมเหล่านี้ในระยะยาวเพราะการใช้ครีมนี้ต่อเนื่องมากเกินไปสามารถก่อให้เกิดอาการระคายเคืองมากขึ้น
    • อาจหาครีมบรรเทาอาการระคายที่มีส่วนประกอบจากธรรมชาติมาใช้ก็ได้ เช่น สารสกัดจากรากชะเอมเทศ ต้นฟีเวอร์ฟิว ชา ขมิ้นชัน แมกนีเซียม แตงกวาหรือขิง [6]
  5. ว่านหางจระเข้มีสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบและบรรเทาแผลต่างๆ ได้ คุณอาจใช้เจลที่มาจากต้นของว่านหางจระเข้โดยตรงหรือซื้อตามร้านขายยาก็ได้ ทาเจลว่านหางจระเข้วันละ 2 ครั้งเพื่อลดรอยแดง
    • วิธีการนำเจลจากต้นว่านหางจระเข้มาใช้ ทำได้โดยตัดใบจากต้นว่านหางจระเข้มาทั้งใบ ผ่าตรงกึ่งกลางใบ คว้านเนื้อด้านในออกมา และนำมาทาทั่วหน้าวันละ 2 ครั้ง [7] [8]
    • เจลว่านหางจระเข้มีขายทั่วไปตามร้านขายยาและซุปเปอร์มาร์เก็ต
  6. น้ำมันมะพร้าวเป็นสารบำรุงผิวที่ได้จากธรรมชาติ มีสรรพคุณช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แต่ห้ามทาน้ำมันมะพร้าวบริเวณผิวที่เป็นสิวง่ายเพราะน้ำมันอาจทำให้สิวเห่อได้ น้ำมันมะพร้าวช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียความชุ่มชื้นและขาดน้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของรอยแดง อีกทั้งน้ำมันมะพร้าวมีส่วนประกอบของกรดลอริก ซึ่งมีสารต้านไวรัส ต้านเชื้อราและต้านจุลชีพ ช่วยทำให้ฟื้นฟูผิว ในทุกคืนให้ทาน้ำมันมะพร้าวทั่วหน้า นวดเบาๆ โดยเฉพาะบริเวณที่มีปัญหารอยแดงหรือรู้สึกแห้งตึงมากๆ [9]
    • คุณสามารถใช้น้ำมันมะกอกหรือสารสกัดจากผลโรสฮิปก็ได้ น้ำมันเหล่านี้มีส่วนประกอบคล้ายคลึงกับน้ำมันมะพร้าว ซึ่งช่วยให้ผิวชุ่มชื้น [10]
    • น้ำมันมะพร้าวช่วยลดรอยแดงที่เกิดจากผิวแห้ง
  7. ข้าวโอ๊ตเหมาะสำหรับบรรเทารอยแดงที่เกิดจากสาเหตุต่างๆ ตั้งแต่ผิวไหม้แดด ผิวหนังอักเสบและอาการระคายเคืองทั่วไป วิธีการทำมาส์กข้าวโอ๊ต เริ่มจากซื้อข้าวโอ๊ตดิบมาแช่น้ำ เมื่อข้าวโอ๊ตชุ่มน้ำแล้วก็นำมาโปะบนหน้าเป็นมาส์ก มาส์กวันละครั้ง โดยทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก [11]
    • อาจจะผสมข้าวโอ๊ตกับนมเพื่อผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่าเดิม ต้องใช้นมที่มีไขมัน เช่นนมสดที่มีไขมัน 2% หรือนมสดไขมันเต็มส่วนเลยก็ได้ โปรตีนไขมันจะช่วยฟื้นฟูผิวให้เต่งตึง [12]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คอนซีลเลอร์สีเนื้อปกติไม่สามารถปกปิดรอยแดงได้ดีนัก แต่คอร์เรคทีฟคอนซีลเลอร์นั้นต่างออกไปตรงที่ใช้หลักการผสมสีพื้นฐานเข้ามาช่วยให้สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอกลับมามีสีที่เนียนตามธรรมชาติ สำหรับรอยแดงบนใบหน้า ต้องใช้คอนซีลเลอร์สีเขียว ทาเป็นจุดๆ ตามรอยแดงบนหน้า แล้วใช้ปลายนิ้วหรือฟองน้ำสำหรับแต่งหน้าเกลี่ยเบาๆ
    • ถ้ารอยแดงนั้นใช้เวลานานกว่าจะหายไปหรือแดงเกินกว่าที่จะปกปิดด้วยคอนซีลเลอร์ได้ คุณอาจเป็นโรคโรซาเซีย หากคุณกำลังคิดว่าคุณเป็นโรคนี้ ให้ไปพบแพทย์ผิวหนัง [13]
    • หลีกเลี่ยงการโปะคอนซีลเลอร์หลายชั้น คอนซีลเลอร์อาจจะช่วยหรือไม่วยปกปิดรอยแดงของคุณเลยก็ได้ ยิ่งถ้าใช้คอนซีลเลอร์ในปริมาณน้อยถึงปานกลางแล้วยังไม่สามารถปกปิดรอยแดงได้ ก็ไม่ควรทาซ้ำจนหนาเกินไปเพราะคอนซีลเลอร์สีเขียวที่ทาลงไปอาจเด่นชัดขึ้นมาได้
  2. รอยแดงของผิวอาจเกิดจากการโดนแสงแดด ควรทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน ถึงแม้ว่าข้างนอกจะไม่มีแดดก็ตาม ครีมกันแดดสำหรับผิวหน้าที่แพ้ง่ายมีอยู่ทั่วไปตามร้านขายยา
    • ครีมกันแดดควรมี SPF30 เป็นอย่างน้อยถึงจะสามารถป้องกันแดดได้ [14]
    • ครีมกันแดดที่เขียนว่า “Non-comedogenic” คือครีมกันแดดที่ไม่อุดตันรูขุมขนและไม่ก่อให้เกิดสิว
    • คุณสามารถเลือกซื้อเครื่องสำอางหรือมอยส์เจอไรซ์เซอร์ที่มีส่วนประกอบของครีมกันแดดก็ได้
  3. ในสภาพอากาศที่แห้งและเย็น ลมอาจทำให้ผิวหน้าแห้งและทำร้ายผิวหน้าที่มีสุขภาพดีของคุณได้ [15] ถ้าคุณดูแลผิวหน้าดีๆ บริเวณแก้มและจมูกจะแดงน้อยลงเมื่อคุณกลับเข้าภายในห้อง
    • เมื่อผิวหน้าเจอกับอากาศเย็น หลอดเลือดจะหดตัวทำให้ผิวมีสีขาว เมื่อคุณเข้ามาอยู่ในที่ที่อากาศอบอุ่นขึ้น หลอดเลือดจะคลายตัวและทำให้เลือดไหลเวียนทั่วใบหน้าเหมือนเดิม ทำให้ผิวมีสีแดงสด
    • พันผ้าพันคอหรือใส่หน้ากากสำหรับเล่นสกีที่ไม่ระคายเคืองแก่ผิว
  4. สารอาหารที่เปลี่ยนไปอาจช่วยลดรอยแดงได้จากภายในร่างกาย อาหารที่มีฤทธิ์เย็นและประกอบไปด้วยน้ำมาก เช่น แครอท มันฝรั่งหวาน แอปเปิ้ล ขึ้นฉ่ายฝรั่ง มะพร้าว แตงกวา เมล่อน ลูกพีช มะละกอ ผักโขม บรอคโคลี่ อาหารเหล่านี้ประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวจากภายในสู่ภายนอก
    • หากคุณปัสสาวะมีสีเหลืองอ่อน แปลว่าคุณได้รับน้ำเพียงพอ แต่ถ้าปัสสาวะมีสีเหลืองเข้มไปจนถึงส้ม คุณต้องดื่มน้ำมากๆ
    • การกินอาหารเหล่านี้ จะช่วยปกป้องผิวของคุณไม่ให้แห้งในสภาพอากาศที่หนาวแห้งได้
    • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เครื่องดื่มร้อน มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ เพราะอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้จะไปกระตุ้นรอยแดงและทำให้สภาพผิวแย่ลงกว่าเดิม [16]
  5. แตงกวาประกอบด้วยน้ำ วิตามินและแร่ธาตุมากมายที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ปอกเปลือกแตงกวาและหั่นเป็นแว่นๆ นอนลงแล้วนำแตงกวามาวางบริเวณที่มีรอยแดงประมาณ 15-20 นาที
    • ระหว่างรอ 15-20 นาทีนี้ วิตามินซีจากแตงกวาจะช่วยลดรอยแดงเจ้าปัญหาให้กับเรา [17]
    • อย่าถูแตงกวากับผิวหน้าเพราะแรงเสียดสีจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้
  6. ขาเขียวมีสรรพคุณช่วยลดอาการอักเสบและช่วยให้หลอดเลือดหดตัว ซึ่งช่วยลดรอยแดงและการอักเสบตามผิวได้ ใส่ถุงชาเขียวหรือใบชา 2-3 ช้อนโต๊ะลงในหม้อน้ำร้อน ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วเทลงในชาม เมื่อน้ำชามีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิภายในห้อง ให้นำผ้าชุบน้ำชาซับให้ทั่วหน้า [18]
    • สามารถใช้ชาคาโมไมล์หรือชาเปปเปอร์มินต์ได้ ถ้าหากคุณมีผิวแพ้ง่าย ไม่ควรใช้ชาเปปเปอร์มินต์
    • ใช้ผ้าที่คุณยอมให้เปื้อนได้เพราะสีของชาเขียวจะตกใส่ผ้าของคุณ
    • อย่าใช้ผ้าถูหน้าแรงๆ เพราะจะทำให้ผิวระคายเคือง
  7. อย่าใช้เจลนี้กับบริเวณที่เป็นสิวง่ายเพราะจะทำให้สิวเห่อ เพื่อการปกป้องผิวที่เหนือกว่า คุณสามารถทาเจลปิโตรเลียมบางๆ ทั่วหน้าได้ เพราะเจลนี้ช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดหดตัวหรือขยายตัวรวดเร็วเกินไป ซึ่งช่วยลดรอยแดงบนใบหน้าส่วนมากได้ [19]
    • หากคุณไม่มั่นใจ ให้ลองทาบริเวณแก้มที่มีรอยแดงไม่มากก่อน ถ้าหากผิวแดงกว่าเดิมหรือระคายเคืองมากขึ้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ก็ไม่ควรใช้เจลปิโตรเลียมทั่วหน้า
  8. อุณหภูมิที่เย็นสามารถลดรอยแดงได้โดยการทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังหดตัว วิธีนี้ได้ผลดีกับรอยแดงที่เกิดจากผิวไหม้และบวม การใช้ที่ประคบเย็นนั้น ให้ใช้ผ้านุ่มสะอาดชุบน้ำเย็นแล้วห่อที่ประคบเย็น ประคบบริเวณที่ระคายเคือง [20]
    • สามารถใช้ผ้าขนหนูห่อเจลเก็บความเย็นได้ หากไม่อยากใช้ที่ประคบเย็น
    • คุณอาจนำผ้าเปียกแช่ตู้เย็นไม่กี่นาทีแล้วนำมาวางบนหน้าได้
    • ห้ามถูผ้าเย็นกับใบหน้า
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

วิธีรักษาโรคโรซาเซีย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. โรซาเซียเป็นอาการผิดปกติเรื้อรังทางผิวหนังที่เป็นๆ หายๆ อาจจะคาดเดาการเกิดได้ยาก แต่ทางที่ดีที่จะป้องกันการเกิดรอยแดงจากโรคโรซาเซียได้ก็คือหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นของโรคนี้
    • สิ่งกระตุ้นหลักๆ ได้แก่ แสงแดด ความร้อน แอลกอฮอล์ อาหารเผ็ดรสจัด ชีสแข็ง อารมณ์ที่รุนแรงและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น ความชื้นที่สูงขึ้นและลมแรง
    • สภาพอารมณ์ที่กระตุ้นให้เกิดโรคนี้ ได้แก่ ความเครียด ความกลัว ความกังวล และความอับอาย [21]
  2. ยาที่แพทย์สั่งจะช่วยลดอาการอักเสบของผิว หากวิธีรักษารอยแดงต่างๆ ไม่ได้ผลกับคุณ หากตั้งครรภ์ เป็นโรคอื่นๆ อยู่ด้วย หรือกินยาอย่างอื่นอยู่ต้องแจ้งแพทย์ล่วงหน้าก่อนการสั่งจ่ายยาใหม่
    • แพทย์อาจสั่งยาด็อกซีไซคลิน ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะช่วยลดอาการอักเสบ การกินยาด็อกซีไซคลินปริมาณน้อยๆ หรือที่เรียกว่า Oracea เป็นการให้ยาในปริมาณมากในช่วงแรกเพื่อกระตุ้นยาในระบบการทำงานของร่างกายแล้วค่อยๆ ลดปริมาณยาให้อยู่ในระดับคงที่
    • ยาด็อกซีไซคลินรักษาได้ทั้งรอยแดงและตุ่มนูนแดงที่เกิดจากโรคโรซาเซีย
    • อาจมีการสั่งจ่ายยานอกเหนือจากนี้ก็ได้ ลองปรึกษากับแพทย์จะดีที่สุด วิธีการสั่งจ่ายยาแบบนี้เหมาะกับสำหรับโรคโรซาเซียกรณีที่เป็นระดับปานกลาง [22]
  3. คนไข้บางคนชอบการใช้ยาทาภายนอกมากกว่ายากิน แพทย์อาจสั่งยาทาในรูปแบบครีมให้ เช่น ซัลฟาเซตาไมด์ Metrogel (เมโทรไนดาโซล) หรือ Finacea (กรดอะซีลาอิก) ซึ่งยาใช้ภายนอกเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคได้เทียบเท่ากับยากิน [23] สามารถรักษาได้ทั้งรอยแดงและตุ่มนูนแดงที่เกิดจากโรคโรซาเซีย [24]
  4. ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเกี่ยวกับการรักษาด้วยเลเซอร์. วิธีการรักษาด้วยเลเซอร์มักใช้เพื่อบรรเทารอยแดงได้ในระยะยาวนานกว่าวิธีการรักษาแบบอื่น การเลเซอร์สามารถช่วยทำให้เส้นเลือดที่เด่นชัดตามใบหน้า คอ และหน้าอกจางลง อีกทั้งยังทำให้สีผิวขาวขึ้นได้อีกด้วย
    • การรักษาด้วยเลเซอร์อาจทำให้ผิวระคายเคือง ยาทาภายนอกและเจลเก็บความเย็นสามารถช่วยลดอาการที่เกิดจากการเลเซอร์ได้
    • การรักษาด้วยเลเซอร์ไม่ใช่การรักษาครั้งเดียวจบ แต่ต้องรักษาทุกๆ 3-6 สัปดาห์ไปเรื่อยๆ อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี ส่วนมากแล้วประกันภัยจะไม่ครอบคลุมการรักษาด้วยเลเซอร์
    • คนไข้มักรักษาด้วยวิธีการเลเซอร์ เมื่อรอยแดงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่ตอบสนองต่อวิธีการรักษาแบบอื่น [25]
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

การจัดการกับสิวผู้ใหญ่

ดาวน์โหลดบทความ
  1. กรดซาลิซิลิกช่วยลดอาการบวมแดงได้ อีกทั้งยังช่วยลดอาการอุดตันตามรูขุมขน กรดซาลิซิลิกมีทั้งในรูปแบบเจล ผ้า ครีม น้ำยาทำความสะอาดผิวหน้า มอยส์เจอไรซ์เซอร์และสเปรย์ เลือกใช้กรดซาลิซิลิกในรูปแบบที่เหมาะกับการดำเนินชีวิตประจำวันของคุณ อาจเริ่มจากกรดซาลิซิลิกที่มีความเข้มข้น 2% เพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป [26]
  2. กรดซาลิซิลิกในยาแอสไพรินทำให้หลอดเลือดหดตัวและลดอาการอักเสบบริเวณใบหน้าได้ค่อนข้างดี วิธีการทำมาส์กแอสไพริน เริ่มจากแบ่งครึ่งยาแอสไพริน หยอดน้ำ 4-5 หยด ผสมกับยาจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน แต้มยาบริเวณที่เป็นสิว ปิดสิวด้วยพลาสเตอร์ยาและทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
    • ถ้ายาแอสไพรินเป็นเม็ด ให้บดละเอียดแล้วผสมน้ำจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
    • เมื่อครบ 30 นาทีแล้ว หลอดเลือดน่าจะหดตัว สิวและผิวบริเวณโดยรอบควรจะแดงน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด [27]
  3. หากคุณเป็นสิวเรื้อรัง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ดูแลผิวทั่วไปอาจไม่เพียงพอ ควรให้แพทย์ผิวหนังจ่ายยาทาภายนอกที่แรงกว่าปกติ เพื่อจัดการกับปัญหาสิวผู้ใหญ่ แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะ รักษาด้วยเลเซอร์ ใช้สารเคมีลอกหน้าหรือการกรอหน้า
    • แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะให้กินเพื่อจัดการกับแบคทีเรียที่เป็นต้นตอของสิวเห่อ หรืออาจจะสั่งยาควบคุมฮอร์โมน เช่น ยาคุม หรือยาสไปโรโนแลคโตน ซึ่งเดิมทีเป็นยารักษาโรคความดันก็ได้ [28]
    • โดยทั่วไป ครีม ขี้ผึ้งหรือยาทาใช้ภายนอกที่ใช้มักจะเป็นยาทาปฏิชีวนะ เรตินอยด์ ซัลเฟอร์ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ และกรดซาลิซิลิก ตัวใดตัวหนึ่ง
    • การจ่ายยาแบบผสมตัวยาข้างต้นหลายๆ อย่างเข้าด้วยกันนั้นไม่ปกติสำหรับการรักษา
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • หากคุณสูบบุหรี่ ลองปรึกษาแพทย์หรือแพทย์ผิวหนังถึงวิธีการเลิกบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหนึ่งของรอยแดงตามผิวหนัง
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิว เช่น ผู้ช่วยแพทย์ผิวหนังของคุณอาจให้คำแนะนำที่ดีในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ตามร้านขายยาทั่วไปที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณได้
  • ในประเทศสหรัฐอเมริกา คุณควรหารายชื่อผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผิวตามที่ประกันภัยจัดไว้ให้ก่อนที่จะไปหาด้วยตนเอง เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากประกัน เพราะบริษัทประกันภัยบางแห่งครอบคลุมเพียงแค่แพทย์ผิวหนัง ไม่รวมกับผู้เชี่ยวชาญด้านความสวยงาม
  • แต่ละคนมีสภาพผิวที่แตกต่างกันออกไป หากหน้าของคุณบวมแดง ให้อยู่ห่างจากความร้อนและทาอะไรเย็นๆ การผ่อนคลายก็ช่วยให้ร่างกายเย็นลงได้
โฆษณา

คำเตือน

  • หากมีรอยแดงพร้อมกับใบหน้าบวม โดยเฉพาะบริเวณปากหรือลิ้น หรือหายใจผิดปกติ ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 24,748 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา