ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การเอาชนะใจมิตรและจูงใจผู้อื่น เป็นมากกว่าหัวข้อของหนังสือพัฒนาตนเองที่ขายดีเล่มนั้น มันเป็นเป้าหมายที่เราต่างไขว่คว้า และเป็นคุณสมบัติที่ต้องอาศัยความอดทน ฝึกฝน และบุคลิกภาพที่เข้มแข็งในการจะได้มา ลองอ่านขั้นตอนต่างๆ ข้างล่างนี้ดู แล้วคุณจะรู้มากขึ้นว่า จะมีคุณสมบัติดังกล่าวได้อย่างไร

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 2:

การดูแลรูปลักษณ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    แต่งกายให้เนี้ยบ. ใส่ใจกับเรื่องเสื้อผ้าให้มากๆ คนเราสวมชุดเพื่อสื่อตัวตนให้ผู้คนเข้าใจเราได้ทันที จะแต่งเป็นซอมบี้ นักดับเพลิง หรือเจ้าสาวก็ตามที ข้อเท็จจริง คือ ทุกชุดที่คุณสวมใส่ แม้แต่ชุดที่ใส่อยู่ทุกวัน ก็นับเป็นการแต่งกายทั้งสิ้น มันบ่งบอกความเป็นตัวคุณให้แก่ผู้พบเห็นได้รับทราบ ดังนั้น จงใช้เสื้อผ้าของคุณในการสื่อคุณสมบัติที่พวกเขามองหาในความเป็นมิตร: ความมั่นใจ ความสุข และความมั่นคง
    • โดยทั่วไปแล้ว ชุดที่เหมาะแก่การนี้ ต้องสะอาด สดใส เข้ากับร่างกาย เพื่อให้สีสันและรูปทรงเหมาะสม ส่งเสริมลงตัวอย่างเหมาะเจาะ เป็นการสื่อให้ผู้อื่นรู้ว่า คุณรักตัวเองมากพอที่จะใส่ใจรูปลักษณ์ รับผิดชอบที่จะดูแลมัน และมั่นใจมากเกินกว่าที่จะเก็บซ่อนไว้
  2. 2
    ดูแลสุขอนามัย. ในระยะประชิดเมื่อมีการจับมือกัน ความแตกต่างระหว่างสุขอนามัยที่ดีกับสุขอนามัยที่แย่นั้น จะถูกสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน หากคุณต้องการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน คุณจำเป็นที่จะต้องเข้าใกล้พวกเขาในระยะดังกล่าวเสมอ ดังนั้น การดูแลสุขอนามัยที่ดีก็สำคัญพอๆ กับเสื้อผ้าที่ดีนั่นเอง จงอาบน้ำทุกวัน สระผมไม่น้อยกว่า 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ แปรงฟันอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน ใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง ล้างหน้าและหวีผมอยู่เสมอ รวมถึงใช้ยาระงับกลิ่นกายทุกเช้าด้วย อย่าลืมเรื่องที่นานๆ จะทำสักครั้ง อย่างเช่น การตัดเล็บ หรือการโกนหรือเล็มหนวด (สำหรับผู้ชาย) ให้เรียบร้อยด้วย
    • ผู้หญิงอาจจะต้องโกนขนรักแร้หรือขนหน้าแข้ง ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน แต่จงตระหนักว่า หลายๆ คนยังมองว่า การไม่โกนขนในบริเวณเหล่านั้นให้เรียบร้อย มันสื่อถึงภาพลักษณ์ที่แย่และไม่มีระเบียบวินัยในตัวเอง หากคุณต้องการเข้าถึงผู้คนในวงกว้าง ก็ควรจะดูแลโกนขนส่วนต่างๆ ให้เรียบเนียนไว้ดีที่สุด
  3. 3
    ดูแลเส้นผม. ไม่ว่าผมคุณจะยาวหรือสั้น คุณควรจะดูแลด้วยการตัด ซอย หรือเล็ม ในร้านตัดผมท่านชายหรือซาลอนของผู้หญิง ที่คุณวางใจใช้บริการอยู่เสมอ คุณควรมั่นใจว่า เรียบร้อยและเนี้ยบทุกเมื่อ แม้ว่าคุณจะไม่ได้จัดทรงแบบนั้นเวลาอยู่บ้านก็ตาม
  4. 4
    ดูแลทรัพย์สินตัวเอง. พูดให้ชัดๆ ก็คือ บ้านและพาหนะส่วนตัว (ถ้ามี) ของคุณนั่นเอง มันเป็น 2 สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาไว้ คุณไม่รู้หรอกว่า จะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญโผล่มาเมื่อไร หรือจะมีใครคอยติดตามคุณอยู่เวลาที่ขึ้นลงจากรถ นอกจากนี้ การดูแลสภาพแวดล้อมส่วนตัวให้เรียบร้อย จะทำให้คุณรู้สึกดีกับชีวิตมากขึ้น
    • ควรล้างรถทุกเดือนหรือประมาณนั้น ปัดกวาดเบาะที่นั่งและพื้นรองข้างใต้ ให้ปลอดจากเศษดินหินทรายอยู่เสมอ เอารถเข้าศูนย์ตามกำหนดเวลา เช่น เอาไปเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือตั้งศูนย์ถ่วงล้อ จักรยานก็ควรล้างด้วยมือทุกเดือนเช่นกัน (หากชอบปั่นไปในที่เปื้อนดินโคลน ก็อาจล้างบ่อยกว่านั้น) และนำไปปรับแต่งที่ร้านปีละสองครั้ง
    • ที่พักของคุณควรจะเป็นระเบียบเรียบร้อยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ล้างจานและดูแลความสะอาดในครัว หลังอาคารค่ำทุกวันเพื่อไม่ให้เกิดจานชามกองใหญ่หมักหมม ซักผ้าให้บ่อยเท่าที่จะทำได้ เมื่อตากเสร็จแล้วก็นำมาพับเก็บให้เรียบร้อยเสมอ หากคุณมีสวนหย่อมในบริเวณบ้าน ก็พยายามเก็บกวาดให้ปราศจากเศษขยะเป็นประจำ รักษาทางเดินและทางรถให้สะอาดและเรียบร้อยด้วย
  5. 5
    ควบคุมภาษากายให้ดี. มันถูกพูดถึงบ่อยเหลือเกิน แต่มันก็เป็นความจริง: ภาษากายเป็นการสื่อสารที่ทรงพลังระหว่างบุคคล เพราะมันเป็นสิ่งที่เสแสร้งได้ยาก และสื่อถึงอารมณ์ของคุณได้ตลอดเวลา ในหลายๆ แง่มุม การสังเกตท่าทางภาษากายของอีกฝ่าย จะบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเขาหรือเธอให้คุณรู้ได้ มากกว่าการฟังที่พวกเขาพูดเสียอีก นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่คุณควรสื่อด้วยภาษากายให้ผู้อื่นรับรู้สิ่งที่พวกเขาอยากได้ยินเกี่ยวกับคุณ
    • ภาษากายมักซับซ้อนและอ่อนไหวต่อบริบทต่างๆ มาก กริยาท่าทางเดียวกัน สามารถสื่อความหมายแตกต่างกันได้ ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนทำ และที่ไหน อย่างไรด้วย แทนที่จะมัวไปสังเกตภาษากายของคนอื่น พยายามทำให้คนอื่นอ่านภาษากายของคุณง่ายขึ้นดีกว่า พยายามควบคุมในสิ่งที่คุณทำได้ ส่วนเรื่องอื่นปล่อยวางมันไป
    • เคลื่อนไหวอย่างอาจหาญ ปราศจากความลังเล. ไม่ได้หมายความว่า คุณต้องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหรือแข็งกร้าว แต่มันหมายความว่า ท่าทางของคุณต้องสื่อให้เห็นว่า มีความมั่นใจ เวลาที่คุณจับมือกับใคร ก็ต้องจับให้มั่นและหนักแน่น แล้วคุณจะแปลกใจว่า มีคนสังเกตเห็นความมั่นใจของคุณมากเพียงใด เดินอย่างราบเรียบไปตามจังหวะก้าวของตนเอง โดยไม่ต้องย่องหรือห่อตัวและหัวไหล่ เดินแกว่งไปด้วยตามธรรมชาติ
    • ใส่ใจท่าทางการแสดงออก มันมักถูกพูดถึงโดยครูประถมฯ ทั่วโลกอีกเช่นกัน กับเรื่องความสำคัญของกริยาอาการที่แสดงออก หัวไหล่ของคุณควรจะผึ่งไปข้างหลังเล็กน้อย เพื่อไม่ให้หลังงองุ้มมาด้านหน้า ลำคอของคุณควรตั้งชันเป็นแนวเดียวกับกระดูกสันหลัง และอย่าปล่อยให้คางยื่นออกมากเกินไป ท่าทางที่เหมาะสมไม่เพียงจะแสดงถึงความมั่นใจและนับถือตนเองเท่านั้น แต่มันยังช่วยให้คุณหายใจคล่องมากขึ้น และลดความเสี่ยงของอาการปวดหลังเรื้อรังเมื่อแก่ตัวลง
    • ใช้ใบหน้าให้เป็นประโยชน์ หากดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจล่ะก็ ใบหน้าก็เป็นเสมือนประตูระบายน้ำที่รอวันเปิดออกมา พยายามยิ้มอย่างจริงใจมากที่สุด สบสายตาอย่างมีไมตรี (โดยเฉพาะเวลาอีกฝ่ายกำลังพูดกับคุณ) ปล่อยให้หน้าเป็นเข้าไว้ ซึ่งจะช่วยแสดงความจริงใจและเข้าอกเข้าใจอีกฝ่าย คนเราอยากที่จะอยู่ใกล้คนที่ยิ้มและหัวเราะตลอดเวลา มากกว่าคนที่ดูห่างเหินและซีเรียส
  6. 6
    กระตือรือล้นเข้าไว้. ต่อให้คนที่กำลังป่วย ก็สามารถแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่ามีสุขภาพดีได้ หากเจ้าของร่างกายนั้น สามารถที่จะใส่ความมีชีวิตชีวาเข้าไปได้ จงออกกำลังกายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และกินอย่างเหมาะสม หากคุณมีปัญหาในการจัดตารางทำกิจกรรมใดๆ จำไว้ว่า จงพยายามเข้าไว้ก่อน ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แม้ว่าจะเป็นเพียงการออกกำลังกายไม่กี่นาทีหลังตื่นนอน หรือหลังจากเลิกงานกลับมาบ้านก็ตาม มันก็ย่อมช่วยให้คุณมีบุคลิกที่ดี มีทักษะด้านภาษากายและพลังงานเพิ่มมากขึ้นได้
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 2:

เอาชนะทั้งความคิดและจิตใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีนักพูดผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมาก ที่เกิดมาและตายไปในอดีต แต่แทบจะไม่มีใครน่าประทับใจชาวตะวันตกหรือเทียบได้กับอริสโตเติล ซึ่งเป็นนักปราชญ์ชาวกรีกโบราณเลย วิธีการพูดของเขา ซึ่งถูกบันทึกไว้ตั้งแต่เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว ยังคงเป็นแนวคิดที่มีประโยชน์มากที่สุดวิธีหนึ่ง ในการนำมาประยุกต์ใช้เพื่อพูดจูงใจผู้คนให้คล้อยตามคุณ เขาได้แบ่งองค์ประกอบของการพูดโน้มน้าวใจออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน หากคุณสามารถนำมันมาผสมผสานในการพูดของตัวเองได้ ผลลัพธ์ที่ได้จะกลายเป็นวาทศิลป์ที่ยากจะต่อต้านได้
    • สร้างความหนักแน่นในคำพูด ด้วยการใช้ตรรกะ ซึ่งหมายรวมถึง ความชัดเจน เป็นระเบียบ และสอดคล้องเชื่อมโยงกันจากภายใน เกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อ การพูดที่มีตรรกะหนักแน่น จะไม่มีการถูกเปลี่ยนแปลงนัยยะใดๆ ไปจากเดิมที่คุณต้องการสื่อได้ การที่ใครสักคนจะนำคำพูดของคุณไปกล่าวอ้าง ย่อมทำให้เขาหรือเธอกลายเป็นคนโง่ไปในบัดดล
    • เพิ่มความน่าเชื่อถือและความน่าคล้อยตาม ด้วยการใช้ภาพลักษณ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานทางจริยธรรมทางการพูดของคุณ อันถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงและสไตล์การพูดของคุณได้ เช่นเดียวกับการนำเสนอบุคลิกภาพส่วนตัว (และชื่อเสียง หากคุณโชคดีพอที่จะมีในด้านบวก) ให้ผู้อื่นรับรู้ การพูดที่เต็มไปด้วย จะไม่มีวันถูกตั้งแง่จากใครๆ เลย มันจะช่วยส่งเสริมให้ผู้อื่นเห็นว่า คุณรู้ดีในสิ่งที่ตนเองกำลังพูดและเชื่อถือได้
    • ดึงดุดคนฟัง ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของการพูด เพื่อเชื่อมต่อกับวิถีชีวิต ประสบการณ์ ความรู้สึก และจินตนาการส่วนตัวของกลุ่มคนฟัง หากคุณสามารถทำให้พวกเขารู้สึกว่า คุณมีความเข้าอกเข้าใจพวกเขาได้แล้วล่ะก็ การพูดโดยสอดแทรกความเห็นอกเห็นใจเข้าไปมากๆ เช่นนี้ จะทำให้ดูราวกับว่าคุณพูดในนามของพวกเขา ไม่ใช่เพื่อตัวเอง และชักจูงให้พวกเขามาเข้าร่วมกับคุณได้ไม่ยาก
  2. 2
    ฝึกวิธีการฟังอย่างตั้งใจ. ไม่มีอะไรจะทำให้ผู้อื่นชอบคุณได้เร็วไปกว่าการรู้จักรับฟังพวกเขา แต่มันมีอะไรมากกว่าเพียงแค่นั่งเฉยและมองริมฝีปากของผู้พูดเท่านั้น การเป็น ผู้ตั้งใจฟัง ย่อมรวมถึงการใช้เทคนิคบางอย่างในการสื่อความสนใจของคุณไปสู่ผู้พูด หากฝึกฝนสักนิด เทคนิคเหล่านั้นจะกลายมาเป็นสูตรสำเร็จในการสื่อสารตามธรรมชาติของคุณ
    • เมื่อมีการเว้นช่วงในการพูด แม้แต่ช่วงค้างประโยคก็ตาม จงสร้างความตื่นตัวให้ผู้พูดด้วยเสียงบางอย่าง เช่น “จริงด้วย” หรือ “อืมม…” แต่อย่าทำแบบจงใจมากเกินไป ไม่งั้นจะดูเหมือนคุณเป็นคนร้อนรน นานๆ ครั้งก็พอ
    • เมื่อใดก็ตามที่คุณนึกคำถามซึ่งจะทำให้ผู้พูดต้องอธิบายเชิงลึกออกมาได้ จงถามทันที แต่อย่าไปถามแทรกระหว่างที่เขาหรือเธอกำลังพูด แม้ว่ามีโอกาสถามยิ่งเร็วยิ่งดีก็ตาม มันเป็นการสื่อให้เห็นว่า คุณสนใจมากเสียจนอยากจะรู้รายละเอียดเพิ่มเติม
    • กล่าวเห็นด้วยแบบกลางๆ หากคุณไม่แน่ใจว่า มีความเห็นในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างไร หรือไม่รู้ว่าคุณควรเห็นด้วยดีหรือไม่ ลองอ่านใจผู้พูดดูก่อนที่จะตอบสนองใดๆ ออกไป หากผู้พูดมองหน้าคุณราวกับว่า พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่พูดเลย ก็ควรจะเห็นด้วยกับพวกเขาด้วยการเปรยว่า “โอ้โห มีอย่างงี้ด้วยเหรอเนี่ย” หรืออะไรก็ได้ที่จะช่วยให้คุณทั้งคู่เกิดความรู้สึกร่วมกันได้ โดยยังไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจรายละเอียดมากนัก
    • เมื่อเขาหรือเธอพูดจบ ลองถามพวกเขาดูว่า รู้สึกอย่างไรหรือคิดอย่างไรกับเรื่องที่พูดบ้าง คนเราชอบที่จะได้สรุปความคิดตัวเอง หลังจากที่ร่ายมาซะยาว
    • หลังจากที่เรื่องราวได้ถูกสรุปแล้ว คุณควรกล่าวสรุปทวนและโยนกลับไปที่ผู้พูดอีกครั้ง เพื่อเป็นการแสดงให้ผู้พูดเห็นว่า คุณได้ฟังและเข้าใจอย่างดี ซึ่งจะทำให้พวกเขาชอบคุณมากขึ้น คุณอาจจะสอดแทรกความเห็นของตนเองเข้าไปทีหลัง เพื่อต่อยอดบทสนทนาอีกก็ได้ เช่น สมมติว่า มีคนมาเล่าให้คุณฟังว่า แมวของพวกเขาต้องไปให้สัตวแพทย์ทำการรักษาแบบฉุกเฉิน คุณก็อาจจะถามหลังจากที่เขาเล่าจบแล้วว่า “งั้นแมวของคุณก็เป็นโรค (ตามที่เขาเล่า) จริงๆ ใช่มั้ย แต่อย่างน้อยคุณก็พามันไปหาหมอทันล่ะน่า มันช่าง (แสดงความเห็นของคุณ) จริงๆ เลย”
    • ใช้ตัวอย่างส่วนตัว แต่อย่ามากเกินไปนัก เพราะแม้ว่าคุณจะพยายามแสดงความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจก็ตาม แต่อีกฝ่ายอาจมองว่า คุณสนใจที่จะเล่าเรื่องตัวเองมากกว่า แทนที่จะอยากรับฟังพวกเขา ดังนั้น พยายามอ้างถึงเรื่องราวหรือประสบการณ์ส่วนตัว เป็นตัวอย่างแต่พอประมาณ
  3. 3
    พูดอย่างเหมาะสม. หลายคนมักเชื่อว่า น้ำเสียงของพวกเขาไม่สามารถดัดแปลงแก้ไขได้ แต่ไม่จริงเลย แม้ว่าคุณจะไม่สามารถเปลี่ยนเสียงโซปราโนเป็นเสียงบาริโทนได้ อย่างน้อยคุณก็สามารถควบคุมน้ำเสียงโดยรวมได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงความชัดเจนของถ้อยคำที่คุณพูดด้วย
    • ร้องเพลงเพื่อค้นหาวิธีควบคุมน้ำเสียง วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการฝึกน้ำเสียงของตัวเอง ก็คือการเปล่งเสียงร้องเพลง คุณไม่จำเป็นต้องมีทักษะการฟังหรือการร้อง หรือร้องเพลงให้ใครฟังจริงๆ ก็ได้ ขอแค่ร้องเล่นๆ เวลาอยู่ในรถหรือขณะกำลังทำงานบ้านก็พอ ผ่านไปสักพัก คุณก็จะเริ่มควบคุมเสียงที่ออกมาจากลำคอได้ ด้วยการทำซ้ำบ่อยๆ
    • พูดด้วยโทนเสียงต่ำทุ้มนุ่มนวล แต่ไม่จำเป็นต้องไปกดเสียงตัวเองให้ต่ำลง คุณแค่ต้องจินตนาการ ให้เห็นภาพช่องว่างขนาดใหญ่ด้านหลังช่องปากและลำคอขณะที่พูด จากนั้น ก็พูดราวกับว่าจะเติมช่องว่างนั้นให้เต็ม อย่าพ่นคำพูดออกทางจมูกหรือลำคอที่กำลังหดเกร็ง การพูดด้วยเสียงดังกังวาน จะช่วยให้คุณดูมีภูมิความรู้และน่าฟังมากขึ้น
    • ออกเสียงให้ดังตามที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องตะโกนออกมาก็ได้ ขอแค่อย่าพูดแบบเก็บปากเก็บคำก็พอ และอย่ากดเสียงเอาไว้ มันรังแต่จะทำให้ผู้อื่นเข้าใจคุณยากขึ้น และยังดูเหมือนกับว่า คุณไม่ค่อยแน่ใจในตัวเองมากเท่าไร
  4. การที่คนอื่นเข้าใจสิ่งที่คุณพูด ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะต้องเข้าใจเจตนาของคุณด้วย หากใครเคยโต้เถียงกับญาติพี่น้องหรือคนรัก ในเรื่องที่เข้าใจผิดกัน ก็คงจะรู้ดีว่า มันมีทั้งวิธีที่ดีและแย่ ในการจะพูดสื่อสิ่งที่คุณต้องการออกไป หากคุณได้เรียนรู้วิธีเชิงจิตวิทยาการพูดสักหน่อย รับรองว่าคุณจะสามารถสื่อสารได้ตรงใจตัวเองมาก ซึ่งไม่เพียงจะทำให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกหงุดหงิดหรือรู้สึกถูกหาเรื่อง แต่พวกเขายังจะรู้สึกชอบคุณด้วย
    • การใช้สรรพนามแทนตัวเองในการพูดแต่ละประโยค เป็นการสื่อว่าคุณยอมรับผิดชอบในเรื่องนั้นๆ เอง หากมีการโต้เถียงเกิดขึ้น แทนที่จะตำหนิอีกฝ่ายว่าเป็นต้นเหตุให้คุณพูดหรือทำเช่นนั้น คุณควรปรับเปลี่ยนคำพูดเป็น “ตอนที่คุณ (พูด/ทำ/หรืออะไรก็ตาม) ฉันรู้สึก” มันอาจอ่านแล้วดูแปลกๆ สักหน่อย แต่หากคุณนำไปใช้ในสถานการณ์โต้เถียงจริงๆ จะเป็นประโยชน์มาก เพราะมันจะไม่ทำให้รู้สึกว่าถูกตำหนิซ้ำเติมจากเดิมเข้าไปอีก
      • ตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่า “เวลาที่คุณพูดแบบนั้น มันทำให้ฉันรู้สึกโมโห” เปลี่ยนเป็นพูดว่า “เวลาที่คุณพูดแบบนั้น ฉันรู้สึกโมโห” คุณสามารถปรับเปลี่ยนให้คำพูดเป็นไปในลักษณะนี้ได้ แทบจะในทุกๆ การโต้แย้งเลย เช่น “ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าคุณ….” หรือ “ฉันรู้สึก (ความรู้สึก) เวลาที่คุณ” เป็นต้น
    • การใช้สรรพนามว่า “พวกเรา” เป็นการสื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกมีส่วนร่วมและเป็นฝ่ายเดียวกัน เวลาที่จะพูดถึงโอกาส เหตุการณ์ หรือการทำงานเป็นทีม คุณควรใช้คำว่า “พวกเรา” และ “ของพวกเรา” เพื่อกระชับความจงรักภักดี และสื่อให้ผู้บังคับบัญชาของคุณ เห็นถึงความจงรักภักดีของคุณ เช่น แทนที่จะถามใครสักคนว่า “คุณอยากไปสังสรรค์กับผมในสุดสัปดาห์นี้มั้ย” เปลี่ยนเป็น “เราน่าจะไปสังสรรค์กันในสุดสัปดาห์นี้นะ” จะเป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับคุณ แถมยังทำให้พวกเขาตระหนักว่าตนเองมีอำนาจในการจะเลือกรับข้อเสนอหรือไม่ก็ได้
      • การให้อำนาจแก่ผู้อื่นในลักษณะนี้ เป็นวิธีที่แน่นอนในการได้รับอำนาจกลับคืน เพราะอีกฝ่ายย่อมมีแนวโน้มที่จะคล้อยตามและยืดหยุ่นเข้าหาคุณ เวลาที่พวกเขามีโอกาสตอบแทนคุณ หากพวกเขาจดจำได้ว่า เคยมีความรู้สึกดีและมีอำนาจต่อรองในทางบวกกับคุณ
  5. 5
    จับจังหวะกับคนรอบข้าง. นักสะกดจิตที่แสดงบนเวทีหรือริมถนนนั้น ก็ใช้เทคนิคอันทรงพลังนี้ในการที่ทำให้ดูเหมือนพวกเขามีเวทมนต์ สะกดให้คนดูเปลี่ยนใจหรือทำการแหกกฏของตัวเองเล็กน้อยอย่างได้ผล โดยหลักการแล้ว มันไม่ได้มีเทคนิคอะไรมากมายหรอก ขอแค่ฝึกฝนจนชำนาญเท่านั้นเอง
    • เริ่มจากการ “เกริ่นนำ” เข้าบทสนทนา และถามคำถามบางอย่างเพื่อปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไป และใช้ทักษะการรับฟังอย่างตั้งใจ เพื่อสังเกตสำเนียง คำพูด (เช่น “เอ่อ” หรือ “คือแบบ”) และการใช้ภาษาโดยรวมของเขาหรือเธอ
    • ขณะที่คุณโต้ตอบและขอให้ทำตามที่คุณต้องการแล้ว ก็พูดต่อไปเรื่อยๆ พยายามจับจังหวะรูปแบบและคำพูดของอีกฝ่าย หรืออาจจะเลียนสำเนียงด้วยก็ได้ แต่อย่าทำเหมือนตลกถากถาง การพูดด้วยสำเนียงเดียวกับอีกฝ่าย จะช่วยให้เขาหรือเธอผ่อนคลาย และสื่อให้พวกเขารู้สึกว่า เชื่อและวางใจคุณได้ เพราะมีอะไรที่คล้ายๆ กัน อย่างบอกไม่ถูก
    • เมื่อใดที่คุณสังเกตเห็นภาษากายบางอย่างของอีกฝ่าย พยายามจับจังหวะและทำตาม เขาเทน้ำหนักจากขาหนึ่งไปอีกขาหนึ่งรึเปล่า หล่อนดีดนิ้วเล่นนิ้วนึง หรือทุกนิ้ว ตอนที่กำลังคอยคอมพิวเตอร์โหลดอยู่รึเปล่า คุณสามารถจับจังหวะเพื่อเลียนท่าทางเพื่อสร้างความเชื่อมต่อทางใจได้เสมอ
  6. ชอบให้กำลังใจ อ่อนโยน กระตือรือร้น กล้าหาญ และพึ่งพาได้ เป็นคุณลักษณะหลักๆ ที่คุณควรจะสื่อให้อีกฝ่ายเห็น นี่เป็นคุณลักษณะที่ผู้อื่นอยากเห็น และทำให้พวกเขาวางใจและอยากรับฟังคุณด้วย มันเริ่มด้วยความใส่ใจและจริงใจจากภายใน ซึ่งยากที่จะเสแสร้ง อย่างไรก็ดี หากคุณตั้งใจที่จะมีคุณสมบัติเหล่านั้นจริง คุณก็สามารถฝึกแสดงมันออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าเดิม
    • ยืนยันกับตนเองทุกวัน มันอาจฟังดูตลกนะ แต่การกล่าวยืนยันกับตัวเองก็ได้ผลจริงๆ แค่ลองนึกถึงลักษณะด้านบวกที่คุณอยากมีขึ้นมา กล่าวคำนั้นดังๆ ให้ตนเองฟังสักสองสามรอบ บอกตัวเองราวกับว่า มันเป็นคุณสมบัติที่คุณมีอยู่แล้ว “ฉันเป็นคนใจดี” หรือ “ฉันเป็นคนกระตือรือร้น” เป็นต้น
    • มองหาโอกาสในการแสดงให้ผู้อื่นเห็นลักษณะด้านบวกของคุณ บ่อยครั้ง เราปล่อยให้ความอึดอัดในบางสถานการณ์ ทำให้เราปล่อยโอกาสใหญ่ๆ ไป เพียงเพื่อที่จะเลือกทำตัวให้คนสนใจน้อยกว่า พยายามเอาชนะความรู้สึกดังกล่าวด้วยการเตือนตัวเอง ให้คอยระวังเวลาที่คุณกำลังจะละเลยหรือทำตัวไม่ดีอีก หากคุณรู้ทันว่าตัวเองกำลังจะกลายไปเป็นด้านที่ไร้ความสุขหรือมัวหมองล่ะก็ พยายามฝืนบังคับตัวเองให้แสดงคุณลักษณะด้านที่น่าคบหาออกมาแทน แม้ว่ามันไม่ได้ทำให้สถานการณ์ต่างออกไปได้ แต่มันก็เป็นการฝึกใจที่ดี และอีกไม่นานก็จะกลายมาเป็นคุณสมบัติภายในของคุณเอง
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 6,836 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา