ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ต้นไม้นานาชนิดไม่ว่าจะเป็นในร่มหรือกลางแจ้ง เป็นของตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสวยงามให้กับบรรยากาศรอบตัวคุณได้อย่างดีเยี่ยม ต้นไม้โดยส่วนใหญ่มีขั้นตอนการดูแลและบำรุงที่ง่ายดาย ทั้งยังสามารถเจริญเติบโตได้ดีหากได้รับการดูแลและบำรุงอย่างเหมาะสม หากคุณยังคงไม่แน่ใจเกี่ยวกับขั้นตอนการดูแลต้นไม้ที่ถูกวิธีหรือเพียงต้องการแน่ใจว่าคุณกำลังดูแลต้นไม้ของคุณได้อย่างถูกต้อง ลองดูตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 เพื่อเรียนรู้วิธีการที่เหมาะสมในการดูแลต้นไม้ทั้งพันธุ์ในร่มและพันธุ์กลางแจ้งได้เลย

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ดูแลต้นไม้ในร่ม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หนึ่งในปัจจัยสำคัญในการดูแลต้นไม้ที่ปลูกภายในบ้านคือการได้รับแสงแดดในปริมาณที่เพียงพอ ดังนั้นแม้ว่าโต๊ะข้างโซฟาในห้องนั่งเล่นจะดูเป็นมุมที่เหมาะสมสำหรับการจัดวางต้นไม้ แต่บริเวณดังกล่าวนั้นอยู่ไกลจากหน้าต่างจนเกินไปและอาจทำให้ต้นไม้ของคุณมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานนัก ลองค้นหาข้อมูลว่าต้นไม้ที่คุณปลูกต้องการแสงแดดมากน้อยเพียงใดก่อนย้ายตำแหน่งที่ตั้งเพื่อให้ต้นไม้ของคุณได้รับแสงแดดในปริมาณที่เหมาะสม จำไว้ว่าหน้าต่างที่หันไปทางทิศใต้จะมีแสงแดดส่องเข้ามามากที่สุด ในขณะที่หน้าต่างที่หันไปทางทิศเหนือจะแทบไม่มีแสงแดดส่องเข้ามา การดูแลต้นไม้ของคุณให้ได้รับแสงแดดในปริมาณที่เหมาะสมมีหลักการเบื้องต้นดังนี้:
    • ต้นไม้ที่ต้องการ 'แดดจัด' ควรจัดวางในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงติดต่อกัน 4-6 ชั่วโมงต่อวัน
    • ต้นไม้ที่ต้องการ 'แดดปานกลาง' ควรจัดวางในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงติดต่อกัน 2-3 ชั่วโมงต่อวัน
    • ต้นไม้ที่ต้องการ 'แดดรำไร' ควรจัดวางในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงติดต่อกัน 1 ชั่วโมงต่อวัน
  2. ในบางครั้งการรดน้ำในปริมาณที่พอดีกับความต้องการของต้นไม้ที่ปลูกภายในบ้านอาจเป็นเรื่องยากกว่าที่คิด กล่าวคือ หากคุณรดน้ำมากเกินไป รากของต้นไม้อาจเริ่มเน่าได้เนื่องจากดินไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน แต่หากคุณรดน้ำน้อยเกินไป ต้นไม้ก็อาจเกิดการขาดน้ำจนแห้งเหี่ยวได้ ต้นไม้แต่ละชนิดต่างมีความต้องการน้ำในปริมาณที่แตกต่างกันไปตั้งแต่ชนิดที่ต้องการความเปียกชื้นตลอดเวลาไปจนถึงชนิดที่ต้องการการรดน้ำเพียงเดือนละ 1-2 ครั้งเท่านั้น (เช่น กระบองเพชรหรือไม้อวบน้ำ) อย่างไรก็ตาม ต้นไม้โดยส่วนใหญ่จะเจริญเติบโตได้ดีเมื่อได้รับน้ำ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เตรียมขวดสเปรย์หรือบัวรดน้ำขนาดเล็กไว้และรดน้ำในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อให้ดินพอมีความชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะจนเกินไป
    • ลองใช้นิ้วมือปักลงไปในดินประมาณ 2 ข้อนิ้วเพื่อเช็คดูว่าดินเปียกชุ่มพอดีหรือไม่ หากนิ้วมือยังคงแห้งอยู่หลังจากที่ดึงขึ้นมาแสดงว่าถึงเวลาที่คุณต้องรดน้ำแล้ว แต่หากนิ้วมือชุ่มไปด้วยน้ำแล้ว ให้คุณรดน้ำอีกครั้งในอีก 1-2 วันข้างหน้า
    • ใช้น้ำอุ่นในการรดน้ำต้นไม้ทุกครั้ง เนื่องจากน้ำเย็นอาจทำให้รากของต้นไม้เกิดการช็อกจนก่อให้เกิดอันตรายต่อต้นไม้ได้ [1]
    • รดน้ำต้นไม้ให้เปียกชุ่มกว่าปกติสักเดือนละครั้งด้วยการเปิดน้ำให้ไหลผ่านเพื่อช่วยในการชะล้างเกลือที่สะสมบริเวณผิวดินให้หลุดออกไป
  3. ปุ๋ยคือสารที่ใส่ลงไปในดินเพื่อเพิ่มธาตุอาหารที่จำเป็นให้กับต้นไม้ การใส่ปุ๋ยทุกๆ 2-3 สัปดาห์เป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการดูแลต้นไม้ที่ปลูกภายในบ้าน เนื่องจากดินที่ใช้ในการปลูกต้นไม้จะไม่มีส่วนประกอบของสารอินทรีย์ตามธรรมชาติซึ่งแตกต่างจากดินที่อยู่ภายนอก ปุ๋ยที่สามารถหาซื้อได้โดยทั่วไปจะมีการระบุตัวเลข 3 ตัวไว้ เช่น 10-20-10 ซึ่งตัวเลขเหล่านี้จะบอกให้ทราบถึงสัดส่วนปริมาณของธาตุไนโตรเจน ธาตุฟอสฟอรัส และธาตุโพแทสเซียมที่ประกอบในปุ๋ย จำไว้ว่าต้นไม้แต่ละชนิดมีความต้องการธาตุอาหารหลัก 3 ชนิดนี้ในปริมาณที่แตกต่างกัน ดังนั้นสูตรปุ๋ยที่คุณควรเลือกใช้จึงแตกต่างกันไปตามชนิดของต้นไม้ที่คุณเลือกปลูก อย่างไรก็ตาม คุณอาจลองเลือกใช้ปุ๋ยสูตรกลางๆ เช่น 6-12-6 หรือ 10-10-10 ที่เหมาะสำหรับต้นไม้โดยส่วนใหญ่
    • ฉีดพ่นหรือโรยปุ๋ยลงไปบนผิวดินโดยตรงตามขั้นตอนที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์
    • คุณสามารถใช้วิธีเติมปุ๋ยชนิดน้ำลงไปในน้ำเปล่าที่ใช้สำหรับรดน้ำต้นไม้ของคุณได้เช่นเดียวกัน
    • คุณไม่จำเป็นต้องคลุกเคล้าปุ๋ยให้เข้ากับดินในกระถาง เนื่องจากปุ๋ยจะเริ่มละลายและรวมตัวเข้ากับดินได้เองเมื่อเวลาผ่านไป
  4. เมื่อเวลาผ่านไป ต้นไม้ที่ปลูกภายในบ้านจะเริ่มมีฝุ่นเกาะบางๆ จนบดบังความสวยงามตามธรรมชาติของต้นไม้ อีกทั้งเศษฝุ่นเหล่านี้ยังอาจอุดตันปากใบของใบไม้จนส่งผลให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร ด้วยเหตุนี้การหมั่นขจัดเศษฝุ่นที่เกาะบนต้นไม้เป็นประจำจึงเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญไม่แพ้กัน การขจัดฝุ่นบนต้นไม้สามารถเลือกทำได้ 2 วิธีหลักๆ ได้แก่ การเช็ดด้วยผ้าหรือการเปิดน้ำให้ไหลผ่าน ซึ่งมีความเหมาะสมแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดของต้นไม้ของคุณ สำหรับการขจัดเศษฝุ่นโดยเช็ดด้วยผ้า ให้คุณผสมน้ำยาล้างจานเล็กน้อยในน้ำอุ่นและใช้ผ้าสะอาดจุ่มลงไปก่อนนำไปเช็ดตามใบไม้อย่างเบามือ หรือหากคุณต้องการขจัดฝุ่นโดยเปิดน้ำให้ไหลผ่าน เพียงเปิดก๊อกน้ำอุ่นและใช้มือหรือผ้าสะอาดค่อยๆ ลูบใบไม้แต่ละใบเพื่อล้างให้สะอาด
    • การขจัดเศษฝุ่นให้หลุดออกด้วยการเปิดน้ำให้ไหลผ่านเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับต้นไม้ที่มีขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังไม่ให้น้ำไหลลงสู่กระถางต้นไม้มากเกินไป
    • คุณสามารถหาซื้อสเปรย์ทำความสะอาดพื้นผิวต้นไม้ที่วางขายตามท้องตลาดสำหรับใช้ในการฉีดพ่นเพื่อขจัดเศษฝุ่นให้หลุดออก
  5. โดยปกติแล้วระดับความชื้นในอากาศภายในบ้านมักจะต่ำกว่าระดับความชื้นในอากาศภายนอก ดังนั้นต้นไม้ที่ปลูกภายในบ้านจึงมักมีแนวโน้มที่จะเกิดการแห้งเหี่ยวได้มากกว่าจากสาเหตุของการขาดความชุ่มชื้น แม้ว่าคุณจะสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับต้นไม้ได้ด้วยการรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่อีกหนึ่งสาเหตุที่อาจส่งผลให้ต้นไม้เกิดการแห้งเหี่ยวได้คือการจัดวางต้นไม้ไว้ในบริเวณใกล้กับช่องระบายอากาศ ไม่ว่าคุณจะเปิดใช้งานฮีตเตอร์หรือเครื่องปรับอากาศ การไหลของอากาศที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้ใบของต้นไม้เริ่มแห้งกรอบจนอาจทำให้ต้นไม้ตายได้ในที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว คุณควรเคลื่อนย้ายต้นไม้ไปตั้งไว้ในจุดที่อยู่ห่างจากช่องระบายอากาศ หรือจะตั้งเครื่องทำความชื้นไว้ในบริเวณใกล้ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศก็ได้เช่นกัน [2]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ดูแลต้นไม้กลางแจ้ง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การดูแลต้นไม้ที่ปลูกภายในสวนอย่างถูกวิธีจะต้องคำนึงถึงสภาพอากาศและสภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้ปริมาณการรดน้ำที่เหมาะสมจึงขึ้นอยู่กับลักษณะของอากาศและดินในบริเวณที่คุณอาศัยอยู่ โดยปกติแล้วคุณควรรดน้ำต้นไม้สัก 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์โดยบัวรดน้ำหรือระบบสปริงเกอร์ โดยพยายามให้ดินภายในสวนพอมีความชุ่มชื้นแต่ไม่แฉะจนเกินไปหรือไม่แห้งเกินไปจนแตกร่วนได้
    • หาข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่เหมาะสมสำหรับต้นไม้แต่ละชนิด เนื่องจากต้นไม้บางชนิดต้องการน้ำมาก ในขณะที่บางชนิดต้องการน้ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  2. วัชพืชสามารถงอกขึ้นมาได้ในเวลาอันรวดเร็วและอาจทำลายบรรยากาศภายในสวนของคุณได้ นอกจากนี้วัชพืชไม่เพียงก่อให้เกิดความรู้สึกรำคาญตาเท่านั้น แต่ยังสามารถครอบครองพื้นที่และคอยแย่งธาตุอาหารในดินซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเจริญเติบโตของต้นไม้ที่ปลูกภายในสวนอีกด้วย ด้วยเหตุนี้คุณจึงควรหมั่นกำจัดวัชพืชทุกครั้งเมื่อเริ่มสังเกตเห็นวัชพืชขึ้นเป็นหย่อมๆ โดยใช้มือจับให้ใกล้กับโคนต้นมากที่สุดก่อนออกแรงดึงขึ้นมาตรงๆ วิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถถอนวัชพืชได้ถึงรากและชะลอการเจริญเติบโตของวัชพืชในอนาคต
    • คุณสามารถเลือกใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชได้เช่นเดียวกัน แต่โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มักไม่ออกฤทธิ์เฉพาะเจาะจงต่อพืชชนิดใดชนิดหนึ่งและอาจทำลายต้นไม้ที่อยู่โดยรอบจนหมด (ไม่เพียงทำลายวัชพืชอย่างเดียว)
    • ลองเช็คดูว่ามีวัชพืชขึ้นตามโคนต้นไม้หรือพุ่มไม้หรือไม่
  3. การคลุมดินเป็นขั้นตอนการใช้วัสดุอินทรีย์ในการปกคลุมผิวดินเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของวัชพืชและรักษาความชื้นภายในดิน นอกจากนี้วัสดุคลุมดินจะเริ่มย่อยสลายและปะปนไปกับดินเมื่อเวลาผ่านไป จึงช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดินและส่งผลให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น คุณสามารถหาซื้อวัสดุคลุมดินได้ตามร้านขายอุปกรณ์ทำสวนทั่วไปและใช้โรยลงไปให้ทั่วหน้าดินให้สูงขึ้นมาประมาณ 1-2 นิ้ว (2.5-5 ซม.) [3]
    • ระมัดระวังอย่าให้วัสดุคลุมดินปกคลุมตามโคนต้นไม้เพราะอาจขัดขวางการเจริญเติบโตของต้นไม้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับต้นไม้หรือพุ่มไม้ที่มีขนาดเล็ก
    • คุณสามารถเลือกคลุมดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์แทนการใช้วัสดุคลุมดินได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการเลือกใช้ปุ๋ยอินทรีย์จะมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของต้นไม้ แต่ปุ๋ยอินทรีย์ไม่สามารถป้องกันการเจริญเติบโตของวัชพืชได้ต่างจากวัสดุคลุมดิน
    • หากต้องการปลูกต้นไม้ในระยะยาว คุณสามารถใช้ผ้าคลุมดินปูทับลงไปบนหน้าดินเพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของวัชพืช ซึ่งการปูทับด้วยผ้าคลุมดินควบคู่ไปกับการโรยด้วยวัสดุคลุมดินสามารถลดปริมาณวัชพืชลงได้มากจนแทบไม่มีหลงเหลืออยู่
  4. โรคในพืชสามารถแพร่กระจายไปยังต้นไม้ต้นอื่นๆ ทั่วทั้งสวนได้อย่างรวดเร็วหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แก้ไขอย่างทันท่วงที เช่นเดียวกับเมื่อต้นไม้เกิดโรคเข้าทำลายที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง หากคุณไม่ยอมตัดกิ่งที่จวนจะตายออกไป โรคที่เกิดขึ้นก็จะแพร่กระจายไปยังส่วนที่เหลือของต้นไม้ได้ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่คุณสังเกตเห็นว่าใบของต้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แห้งเหี่ยว เปราะบาง หรือดูไม่แข็งแรง ให้คุณใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ตัดกิ่งดังกล่าวออกไปจากลำต้น จากนั้นนำไปทิ้งลงในถังขยะให้เรียบร้อยและหลีกเลี่ยงการทิ้งไว้ในดินให้ย่อยสลายไปเอง เนื่องจากโรคที่มีอยู่ในกิ่งดังกล่าวสามารถแพร่กระจายไปยังต้นไม้ต้นอื่นๆ ในบริเวณใกล้ๆ ได้
  5. การตัดดอกไม้ที่ตายแล้วออกไปจากลำต้นจะช่วยกระตุ้นการเกิดใหม่ของดอกไม้รวมถึงเป็นการกำจัดดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาและจวนจะตายทิ้งไป เพียงใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ตัดที่บริเวณใต้ตาดอกเพื่อให้ดอกไม้หลุดออกจากต้น และหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน คุณก็จะสังเกตเห็นตาดอกเริ่มแตกออกใหม่และพร้อมผลิบานอีกครั้ง
    • หากต้องการกระตุ้นการออกใบของต้นไม้ ให้คุณตัดดอกไม้ทิ้งไปก่อนที่จะเริ่มผลิบานออกเพื่อเป็นการสะสมพลังงานให้ต้นไม้ออกใบได้ดียิ่งขึ้น
    • วิธีนี้สามารถใช้ได้กับต้นไม้มีดอกเกือบทุกชนิด เช่น ต้นดาวเรือง ต้นหงอนไก่ หรือต้นบานชื่น
  6. ต้นไม้ที่ปลูกภายในสวนจะได้รับธาตุอาหารตามธรรมชาติจากสภาพแวดล้อมโดยรอบมากกว่า จึงมีความต้องการปุ๋ยในปริมาณที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับต้นไม้ที่ปลูกภายในบ้าน ลองมองหาสูตรปุ๋ยที่เหมาะกับปริมาณความต้องการธาตุอาหารแต่ละชนิดของต้นไม้ของคุณหรือจะเลือกใช้ปุ๋ยสูตรกลางๆ เช่น 6-12-6 หรือ 10-10-10 ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ทำสวนทั่วไป และฉีดพ่นหรือโรยปุ๋ยลงไปบนต้นไม้ทุกๆ 4-5 สัปดาห์ตามขั้นตอนที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์
    • คลุกเคล้าปุ๋ยให้เข้ากับผิวดินด้านบนเล็กน้อยเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ปุ๋ยถูกชะล้างจนไหลไปตามทางน้ำหรือไปยังบริเวณอื่นๆ นอกจากนี้หากคุณใส่ปุ๋ยลงไปบนผิวดินโดยตรง ธาตุอาหารในปุ๋ยก็จะระเหยไปตามลมแทนที่จะสลายตัวเข้ากับดิน
    • พยายามเลือกใช้ปุ๋ยที่ทำจากอินทรีย์วัตถุชนิดต่างๆ เนื่องจากปุ๋ยเคมีโดยส่วนใหญ่มักสลายตัวและปล่อยธาตุอาหารเร็วกว่าที่ต้นไม้จะสามารถดูดซึมได้ทันจนส่งผลให้สูญเสียธาตุอาหารไปโดยเปล่าประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นปุ๋ยเคมียังประกอบด้วย 3 ธาตุอาหารหลักเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากปุ๋ยอินทรีย์ที่ผ่านการหมักเป็นเวลานานที่สามารถให้ธาตุอาหารรองในปริมาณมากกว่า ทั้งยังใช้ระยะเวลาในการสลายตัวและปล่อยธาตุอาหารที่นานกว่า
    • หากไม่แน่ใจเกี่ยวกับสูตรปุ๋ยที่คุณควรเลือกใช้ คุณสามารถสอบถามข้อมูลจากพนักงานในร้านขายอุปกรณ์ทำสวนได้ [4]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

แก้ไขปัญหาที่พบบ่อย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปรับปรุงโครงสร้างของดินที่มีการระบายน้ำไม่ดี. หากคุณสังเกตเห็นว่าแปลงหรือกระถางต้นไม้มีน้ำขังอยู่บนผิวดินเป็นประจำ แสดงว่าดินที่คุณใช้ปลูกต้นไม้มีการระบายน้ำไม่ดีจนส่งผลให้รากของต้นไม้เริ่มเกิดการเน่าและทำให้ต้นไม้ตายในไม่ช้า เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของดินให้มีการระบายน้ำที่ดีขึ้น เริ่มจากขุดต้นไม้พร้อมก้อนดินรอบๆ ขึ้นมาอย่างระมัดระวังและนำไปวางไว้บนผ้าใบหรือในกระถางต้นไม้อีกอันหนึ่ง จากนั้นจึงเติมปุ๋ยหมักหรือพีตลงไปผสมกับดินก่อนนำต้นไม้ลงปลูกในบริเวณเดิม
    • หากดินทั้งหมดในพื้นที่นั้นมีการระบายน้ำที่ไม่ดี คุณสามารถเพิ่มการระบายน้ำให้กับดินได้โดยขุดดินขึ้นมาและผสมเข้ากับทราย
  2. หากคุณเผลอปลูกต้นไม้หลายๆ ชิดติดกันในตอนที่ต้นไม้ยังคงมีขนาดเล็ก คุณอาจพบว่าต้นไม้แต่ละต้นต่างเริ่มแก่งแย่งกันครอบครองพื้นที่ภายในแปลงหรือกระถางต้นไม้เมื่อพวกมันเริ่มเจริญเติบโตขึ้น ดังนั้นต้นไม้ที่ปลูกชิดติดกันจนเกินไปจึงอาจเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่เนื่องจากปริมาณธาตุอาหารในดินมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของต้นไม้ ด้วยเหตุนี้คุณจึงควรขุดต้นไม้ที่ปลูกชิดติดกันจนเกินไปขึ้นมาก่อนย้ายลงแปลงหรือกระถางต้นไม้ใหม่ที่มีพื้นที่มากกว่าและถมหลุมปลูกที่ว่างด้วยดินสำหรับปลูกต้นไม้ [5]
    • เลือกใช้ดินสำหรับปลูกต้นไม้ที่ซื้อจากร้านค้าแทนการใช้ดินภายในสวนของคุณที่อาจเจือปนด้วยแมลง โรคในพืช และวัชพืชและสามารถแพร่กระจายไปยังแปลงหรือกระถางต้นไม้ใหม่ได้
    • คุณสามารถทราบได้ว่าต้นไม้ถูกปลูกชิดติดกันจนเกินไปหากพวกมันเชื่อมติดเข้าด้วยกันหรือลำต้น/กิ่งก้านเริ่มซ้อนทับกัน
  3. แม้ว่าการคลุมดินจะเป็นขั้นตอนที่มีประโยชน์ในแง่ของการเพิ่มธาตุอาหารในดินและป้องกันการเจริญเติบโตของวัชพืช แต่การคลุมดินหนาจนเกินไปอาจกลับกลายเป็นผลเสียต่อต้นไม้ของคุณแทนได้ เนื่องจากวัสดุคลุมดินไม่เพียงยับยั้งการเจริญเติบโตของวัชพืชเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังขัดขวางต้นอ่อนที่เกิดขึ้นใหม่ไม่ให้โผล่พ้นผิวดินได้ ดังนั้นคุณจึงควรหลีกเลี่ยงการโรยวัสดุคลุมดินลงไปสูงเกินกว่า 2 นิ้วโดยเด็ดขาด และหากต้นไม้ของคุณหยุดการเจริญเติบโตหลังจากที่คุณทำการคลุมดิน ให้คุณนำวัสดุคลุมดินออกไปสัก 1-2 นิ้ว (2.5-5 ซม.) และรอสัก 2-3 สัปดาห์เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง
    • นำวัสดุคลุมดินที่อยู่บริเวณโคนลำต้นออกไป เพราะหากคุณโรยวัสดุคลุมดินตรงบริเวณโคนลำต้นสูงจนเกินไป วัสดุคลุมดินจะบดบังแสงแดดไม่ให้ส่องถึงต้นไม้จนทำให้เจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่
  4. โรคในพืชสามารถแพร่กระจายไปยังต้นไม้ต้นอื่นๆ ทั่วทั้งสวนได้อย่างรวดเร็วหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แก้ไขอย่างทันท่วงที เช่นเดียวกับเมื่อต้นไม้เกิดโรคเข้าทำลายที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง หากคุณไม่ยอมตัดกิ่งที่จวนจะตายออกไป โรคที่เกิดขึ้นก็จะแพร่กระจายไปยังส่วนที่เหลือของต้นไม้ได้ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่คุณสังเกตเห็นว่าใบของต้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาล แห้งเหี่ยว เปราะบาง หรือดูไม่แข็งแรง ให้คุณใช้กรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ตัดกิ่งดังกล่าวออกไปจากลำต้น
    • นำกิ่งไม้ทิ้งลงในถังขยะให้เรียบร้อยและหลีกเลี่ยงการทิ้งไว้ในดินให้ย่อยสลายไปเอง เนื่องจากโรคที่มีอยู่ในกิ่งดังกล่าวสามารถแพร่กระจายไปยังต้นไม้ต้นอื่นๆ ในบริเวณใกล้ๆ ได้
  5. หากต้นไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือแห้งเฉาทั้งๆ ที่คุณเข้าใจว่าคุณรดน้ำอย่างพอเหมาะ แสดงว่าคุณอาจกำลังรดน้ำต้นไม้ในปริมาณที่มากเกินไป จำไว้ว่าต้นไม้โดยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องได้รับน้ำเป็นประจำทุกวัน และที่จริงแล้วพวกมันจะสามารถเจริญเติบโตได้ดีกว่าเมื่อได้รับน้ำเพียง 2-3 วันต่อครั้งเท่านั้น พยายามรดน้ำเฉพาะเมื่อดินในระดับที่ลึกลงไปอย่างน้อย 2 นิ้วเริ่มแห้งเท่านั้น เพราะหากคุณรดน้ำทุกครั้งที่ผิวดินดูแห้ง อาจมีความเป็นไปได้สูงที่คุณกำลังรดน้ำในปริมาณที่มากเกินพอดี หากคุณกังวลในเรื่องการรดน้ำต้นไม้ที่ปลูกภายในบ้านมากจนเกินไป คุณอาจลองเปลี่ยนไปใช้ขวดสเปรย์ในการรดน้ำแทนการใช้บัวรดน้ำตามปกติ เนื่องจากขวดสเปรย์สามารถพ่นน้ำออกมาได้ในปริมาณที่น้อยกว่าและลดโอกาสเสี่ยงในการรดน้ำมากจนเกินไป [6]
  6. หากจู่ๆ ต้นไม้ของคุณเริ่มเหี่ยวเฉาลงและมีทีท่าว่าจวนจะตายโดยไม่ทราบสาเหตุ ลองสังเกตดูว่าคุณนำต้นไม้ลงดินลึกเกินไปหรือไม่ โดยรากของต้นไม้ควรอยู่ค่อนข้างชิดกับหน้าดินเพื่อให้ต้นไม้สามารถดูดซึมธาตุอาหารจากดินชั้นบนและรับแสงแดดได้เต็มที่ ดังนั้นหากคุณนำต้นไม้ลงดินลึกจนเกินไป ให้คุณขุดต้นไม้ขึ้นมาอย่างระมัดระวังและฝังลงไปใหม่อีกครั้งให้ตุ้มดินอยู่ในระดับเดียวกับหน้าดินหรือต่ำลงไปเพียงเล็กน้อย และหากตุ้มดินบางส่วนโผล่พ้นผิวดินขึ้นมา ให้คุณปกปิดโดยใช้วัสดุคลุมดินโรยลงไปเป็นชั้นบางๆ ให้ทั่ว
    • เมื่อต้องการย้ายปลูกต้นไม้จากกระถางมาลงดินในสวน พยายามนำต้นไม้ลงดินในระดับความลึกเท่ากับตอนที่ปลูกในกระถาง
    • หากรากของต้นไม้โผล่พ้นผิวดินขึ้นมาจนเกือบทั้งหมด อาจส่งผลให้ต้นไม้ของคุณตายในอีกไม่ช้า ดังนั้นพยายามนำต้นไม้ลงดินโดยให้รากของอยู่ในระดับเดียวกับดินชั้นบน
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • เปลี่ยนกระถางสำหรับต้นไม้ที่ปลูกภายในบ้านเป็นประจำทุกปีเพื่อให้ต้นไม้มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โฆษณา

คำเตือน

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าแมลงที่เป็นสารอนินทรีย์
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,268 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา