ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

มีข้อปฏิบัติด้านสุขลักษณะบางอย่างที่คุณควรทำเป็นประจำ ถึงคุณจะคิดว่าคุณเองก็ปฏิบัติตามหลักการดูแลสุขลักษณะทั่วไปอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะมีบางข้อที่คุณหลงลืมไป ถ้าคุณทำตามขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้ คุณก็จะสามารถดูแลสุขอนามัยได้อย่างถูกต้อง มีกลิ่นกายหอม แข็งแรง และรู้สึกดีขึ้นในทุกๆ วัน

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ทำความสะอาดร่างกาย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณควรแปรงฟันวันละหลายๆ ครั้ง ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพฟันส่วนใหญ่แนะนำให้แปรงฟันวันละ 2 ครั้งคือ หลังอาหารเช้าและก่อนนอน วิธีนี้จะช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของฟัน โรคเหงือก และกลิ่นปาก [1] และเพื่อให้แน่ใจว่าสุขอนามัยช่องปากโดยรวมของคุณดีเยี่ยม คุณก็ควรใช้ไหมขัดฟันทุกวันด้วย
    • คุณควรใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เพราะช่วยทำให้ฟันของคุณแข็งแรงและเสริมสุขภาพปาก คุณจะใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์ด้วยก็ได้ [2]
    • เมื่อคุณแปรงฟัน คุณก็ควรทำความสะอาดให้หมดทั้งปาก เพราะการไม่ทำความสะอาดลิ้น เพดานปาก หรือกระพุ้งแก้มอาจทำให้แบคทีเรียที่เป็นอันตรายยังคงอยู่และทำให้เกิดปัญหาสุขอนามัย ใช้แปรงปัดผิวริมฝีปากและใช้ที่แปรงลิ้นทุกครั้งที่คุณแปรงฟัน
    • เปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 3 เดือนเพื่อให้แน่ใจว่า แปรงสีฟันของคุณทำหน้าที่รักษาสุขอนามัยช่องปากได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด [3]
    • พบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันเป็นประจำ ทันตแพทย์ส่วนใหญ่แนะนำให้พบทันตแพทย์ปีละ 2 ครั้ง แต่ทันตแพทย์ของคุณอาจจะแนะนำตารางที่เหมาะสมที่สุดกับคุณให้ก็ได้ [4]
  2. คุณควรใช้ไหมขัดฟันทุกวันควบคู่ไปกับการแปรงฟัน วิธีนี้จะช่วยต่อสู้กับกลิ่นปากและฟันผุ คุณควรใช้ไหมขัดซอกระหว่างฟันและตามร่องฟันทุกวัน อย่าลืมขัดฟันด้านในด้วย [5]
    • อย่าใช้ไหมขัดโดนเหงือก เพราะอาจจะทำให้เลือดออก คุณคงไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
    • ถ้าเหงือกของคุณมีเลือดออกทุกครั้งที่คุณใช้ไหมขัดฟัน คุณอาจจะมีปัญหาสุขภาพฟันซ่อนอยู่ และควรไปพบทันตแพทย์
  3. วิธีหนึ่งที่จะทำให้คุณมีกลิ่นมินต์ติดปากตลอดทั้งวันก็คือ การใช้น้ำยาบ้วนปาก น้ำยาบ้วนปากช่วยป้องกันแบคทีเรียและช่วยป้องกันฟันผุ กลั้วน้ำยาบ้วนปากให้ทั่วทุกครั้งหลังแปรงฟัน คุณจะบ้วนหลังรับประทานอาหารด้วยก็ได้ถ้าคุณไม่สามารถแปรงฟัน เพื่อช่วยกำจัดกลิ่นที่ยังคงติดอยู่ในปาก
    • คุณไม่ควรใช้น้ำยาบ้วนปากแทนการแปรงฟันหรือป้องกันกลิ่นปากที่เกิดจากปัญหาสุขภาพฟันที่ซ่อนอยู่ เพราะน้ำยาบ้วนปากแค่ช่วยเพิ่มกลิ่นมินต์ในปาก และช่วยเสริมการดูแลสุขลักษณะช่องปากวิธีอื่นๆ เท่านั้น [6]
  4. เพื่อการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี คุณจะต้องล้างมือบ่อยๆ การล้างมือไม่บ่อยนักเป็นหลักการรักษาสุขอนามัยทั่วไปข้อหนึ่งที่คนมักทำผิด สถานการณ์ทั่วไปที่คุณจะต้องล้างมือได้แก่ หลังเข้าห้องน้ำ หลังจาม ก่อนเตรียมอาหารหรือเครื่องดื่ม ก่อนรับประทานอาหาร และหลังจากจับของที่มีคนจับมาแล้วหลายคน วิธีนี้ช่วยให้ร่างกายของคุณสะอาดพร้อมทั้งป้องกันไม่ให้เชื้อโรคและแบคทีเรียแพร่กระจาย ซึ่งเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วย
    • เวลาล้างมือ ให้ใช้น้ำอุ่นถูสบู่ให้เป็นฟองทั่วทั้งมืออย่างน้อย 20 วินาที ถูนิ้วและเล็บให้ทั่วเพื่อให้สบู่มีเวลาฆ่าเชื้อโรคทั้งหมดที่อยู่บนมือ จากนั้นคุณก็ควรใช้น้ำอุ่นล้างสบู่ออก และเช็ดมือให้แห้งด้วยทิชชูเช็ดมือหรือที่เป่ามือ [7]
    • ถ้าคุณอยากป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคมากยิ่งขึ้น คุณควรจามลงบนข้อศอก วิธีนี้ปิดจมูกและปากของคุณได้มากกว่า และป้องกันมือของคุณจากเชื้อโรค
  5. ผ้าเปียกใช้แล้วทิ้งไม่ได้เป็นแค่ของใช้สำหรับเด็กอีกต่อไป ถ้าคุณรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเล็กน้อย คุณสามารถใช้กระดาษทิชชูแบบเปียกทำความสะอาดแทนการอาบน้ำได้ นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ผ้าเปียกแบบนี้ได้เมื่อคุณถ่ายหนักและอยากจะรู้สึกสะอาดขึ้นหลังจากนั้น
    • คุณสามารถหาซื้อผ้าเปียกแบบนี้ได้ตามร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป โดยจะอยู่ตรงชั้นวางสินค้าเกี่ยวกับสุขอนามัยผู้ใหญ่ [8]
  6. เพื่อให้ร่างกายของคุณสะอาด สดชื่น และมีกลิ่นหอมอยู่เสมอ คุณควรอาบน้ำฝักบัวหรือแช่อ่างอาบน้ำทุกวันหรือทุกๆ 2 วันจาก 3 วัน วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยป้องกันการเกิดกลิ่นกายที่ไม่พึงประสงค์ พร้อมทั้งป้องกันการสะสมของแบคทีเรียหรือเชื้อโรคบนผิวหนัง มีงานวิจัยล่าสุดแนะนำว่า การงดอาบน้ำ 1 วันทุกๆ 2 – 3 วันนั้นดีต่อสุขภาพผิว และช่วยเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ดีบนผิวหนังของคุณ คุณต้องทำความสะอาดทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งบริเวณเท้าและหลังหูด้วย
    • ถ้าคุณเข้าฟิตเนส ใช้ขนส่งสาธารณะ หรือติดต่อกับผู้ป่วยทุกวัน คุณควรอาบน้ำทุกวันเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรคและรักษาความสะอาดของร่างกาย [9]
    • อย่าลืมทำความสะอาดสะดือด้วย มันอาจจะเป็นบริเวณที่คุณไม่ได้นึกถึง แต่กลิ่นมากมายที่ก่อให้เกิดแบคทีเรียอาจจะเติบโตบริเวณนี้ [10]
    • ถ้ากลิ่นกายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ลองปรึกษาแพทย์เรื่องสบู่ชนิดต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย
  7. คุณควรสระผมสัปดาห์ละ 2 – 3 วัน สำหรับคนส่วนใหญ่การสระผมทุกวันอาจเป็นอันตราย เพราะถ้าคุณสระผมทุกวัน คุณก็จะล้างน้ำมันธรรมชาติออกไปจากผมของคุณด้วย ซึ่งทำให้ผมแตกปลายและถูกทำลายได้ แต่ถ้าผมของคุณมันมากเกินไป คุณก็อาจจะเป็นต้องสระผมทุกวัน
    • จำนวนครั้งต่อสัปดาห์ที่ควรสระผมนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละคน คอยสังเกตกลิ่นผมของตัวเองและดูว่าผมมันแค่ไหน หมั่นสังเกตผมของตัวเองเพื่อประเมินว่าควรสระผมบ่อยแค่ไหน [11]
    • ถ้าคุณออกกำลังกาย เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมที่ทำให้หนังศีรษะของคุณมีเหงื่อชุ่ม คุณก็ควรสระผมบ่อยขึ้น
  8. ส่วนหนึ่งของกิจวัตรการดูแลสุขอนามัยที่ดีโดยรวมก็คือ การล้างหน้าทุกเช้าและทุกคืน เพราะการล้างหน้าช่วยกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่สะสมระหว่างวัน และกำจัดน้ำมันที่สะสมอยู่บนใบหน้าตลอดทั้งคืน นอกจากนี้การล้างหน้ายังช่วยชำระล้างเครื่องสำอาง มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ หรือครีมกันแดดที่คุณทาลงบนใบหน้าตลอดทั้งวันด้วย การล้างหน้าช่วยป้องกันสิวและทำให้คุณดูสะอาดและกระจ่างใสทุกวัน
    • คุณต้องเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่เหมาะกับคุณ ผิวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นลองใช้ผลิตภัณฑ์หลายๆ ชนิดจนกว่าคุณจะเจอผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่เหมาะสมกับคุณ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ ให้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรที่สามารถช่วยคุณหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าที่เหมาะกับผิวของคุณได้
    • คุณควรทามอยซ์เจอร์ไรเซอร์หลังล้างหน้าเพื่อป้องกันผิวหน้าแห้งและระคายเคือง พร้อมกับทำให้สุขภาพผิวดีขึ้นด้วย [12]
  9. ถ้าคุณเป็นผู้หญิงและกำลังมีประจำเดือน คุณอาจจะต้องเปลี่ยนผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิง (เช่น ผ้าอนามัยและผ้าอนามัยแบบสอด) บ่อยๆ ถ้าคุณไม่เปลี่ยน มันก็อาจจะทะลักและเปรอะเปื้อนตัวคุณกับกางเกงในของคุณ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ให้อาบน้ำหรือหาผ้าเปียกมาช่วยทำความสะอาดจนกว่าคุณจะได้อาบน้ำ
    • การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ประเภทนี้บ่อยๆ จะช่วยให้คุณรู้สึกสะอาดขึ้นและป้องกันการเกิดกลิ่น
    • ถ้าคุณพบว่าคุณมีปัญหาเรื่องกลิ่นนิดหน่อยเวลามีประจำเดือน คุณอาจจะใช้สเปรย์ดับกลิ่นที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อสถานการณ์แบบนี้โดยเฉพาะ ใช้ผลิตภัณฑ์ตามวิธีใช้ที่อยู่บนขวด อย่าฉีดสเปรย์ไปที่บริเวณอวัยวะเพศโดยตรง เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ป้องกันการเกิดกลิ่น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นเวลาที่ร่างกายของเราขับเหงื่อตามธรรมชาติในแต่ละวัน คุณควรทาผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย เพราะช่วยปดปิดและกลบกลิ่นเหงื่อที่เหม็นอับและช่วยให้คุณรู้สึกสะอาดขึ้น นอกจากนี้คุณอาจจะซื้อผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อที่ช่วยปกป้องไม่ให้คุณมีเหงื่อและทำให้เหงื่อแห้งเมื่อเหงื่อออก มีผลิตภัณฑ์หลายยี่ห้อที่รวมประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายไว้ด้วยกัน
    • ผลิตภัณฑ์กลิ่นกายและผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อมีวางจำหน่ายอยู่หลายชนิด บางชนิดออกแบบมาเพื่อผู้หญิงและบางชนิดก็ออกแบบมาเพื่อผู้ชาย คุณจะเลือกอันไหนก็ได้ที่เหมาะกับคุณที่สุด บางกลิ่นก็อาจจะฉุนเกินไปหรือไม่เข้ากับเคมีร่างกายของคุณ ลองใช้ไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะเจออันที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้เหงื่อแห้ง และทำให้คุณมีกลิ่นกายหอมสดชื่น [13]
    • ถ้าคุณมีปัญหาเหงื่อออกมากเกินไป หรือคุณยังคงมีปัญหากลิ่นกายทั้งที่รักษาความสะอาดดีแล้ว ให้ปรึกษาแพทย์ เพราะคุณอาจจะมีปัญหาที่ต้องได้รับการรักษาซ่อนอยู่
  2. แม้ว่าคุณจะอยากมีกลิ่นกายหอมหวนขนาดไหน แต่การได้กลิ่นน้ำหอมหรือโคโลญจ์มากเกินไปก็แย่พอๆ กับตัวเหม็น เวลาที่คุณเลือกน้ำหอม คุณควรเลือกกลิ่นที่หอมแต่ไม่หอมจนฉุน ถ้าน้ำหอมนั้นเข้มข้นกว่าน้ำหอมอันอื่น ก็ให้ฉีดเพียงเล็กน้อย ฉีดเพียงแค่ให้คนอื่นได้กลิ่นแต่ไม่ได้แรงจนฉุนจมูก [14]
    • อย่าฉีดน้ำหอมเพื่อกลบกลิ่นตัว น้ำหอมควรใช้เพื่อทำให้กลิ่นกายคุณหอม แต่ไม่ใช่เพื่อกลบกลิ่นกาย ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องกลิ่นตัว คุณก็ควรจะหาสาเหตุและรักษามากกว่าจะพยายามกลบกลิ่น
  3. เพื่อรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี คุณควรเปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน และคุณก็ควรซักเสื้อผ้าบ่อยๆ เพื่อให้เสื้อผ้าสะอาดและมีกลิ่นสดชื่น เสื้อผ้าบางอย่างสามารถใส่ได้อย่างน้อย 2 ครั้งก่อนซักยกเว้นถุงเท้ากับชุดชั้นใน แต่ถ้าคุณคิดว่าเสื้อผ้ามีกลิ่นเหม็น ก็ให้ซักก่อนค่อยใส่ [15]
    • เสื้อผ้าที่คุณใส่ไปฟิตเนส ใส่ขณะเล่นกีฬา หรือใส่ระหว่างทำกิจกรรมที่ทำให้คุณเหงื่อออกมากๆ ควรซักทุกครั้งหลังใส่
  4. เช่นเดียวกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยๆ คุณเองก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเหมือนกัน เพราะคุณก็มีเหงื่อออกตอนกลางคืน และร่างกายยังผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วด้วย เมื่อเวลาผ่านไปเซลล์ผิวที่ตายแล้วก็จะหมักหมมอยู่บนผ้าปูที่นอน ถ้าคุณเปลี่ยนผ้าปูที่นอนบ่อยๆ คุณก็ไม่เสี่ยงกับการนอนบนผิวที่ตายแล้วทุกวัน หรือเสี่ยงที่จะรับกลิ่นเหงื่อจากคืนก่อนมาไว้บนร่างกายของคุณขณะที่คุณหลับ
    • คุณควรเปลี่ยนปลอกหมอนให้บ่อยกว่านั้นด้วย เพราะใบหน้าของคุณมีน้ำมันมากกว่าและคุณก็อาจจะนอนน้ำลายไหลด้วย ซึ่งทั้งน้ำมันและน้ำลายก็อาจจะหมักหมมอยู่บนปลอกหมอนได้เช่นเดียวกัน [16]
  5. เท้าที่เป็นเหงื่อและมีกลิ่นเหม็นอาจทำให้เกิดการติดเชื้ออย่างโรคน้ำกัดเท้า [17] การใช้แป้งทาเท้าชนิดทำให้เท้าแห้งหรือชนิดป้องกันเชื้อราทาที่เท้าและในรองเท้าช่วยให้เท้าของคุณแห้งขึ้นและปราศจากเชื้อโรค
  6. อาหารและเครื่องดื่มบางอย่างอาจทำให้เกิดกลิ่นกาย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียมหรือหอมหัวใหญ่ ถ้าคุณชอบกินอาหารพวกนี้ อย่าลืมแปรงฟันหรือบ้วนปากหลังกินถ้าคุณต้องออกไปพบปะผู้คน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ดูแลเครื่องแต่งกายและผมเผ้าให้เรียบร้อย

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การมีเล็บที่ไม่ได้รับการตัดเล็มให้เรียบร้อยอาจทำให้สิ่งสกปรกและเชื้อโรคเข้าไปฝังอยู่ในเนื้อใต้เล็บ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกสุขลักษณะและถือเป็นพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับการรักษาความสะอาดโดยทั่วไป คุณควรใช้กรรไกรตัดเล็บหรือที่ตัดเล็บตัดเล็บให้เรียบร้อยเมื่อเล็บยาวเกินไป ฉีกเป็นแฉกๆ หรือผิดรูป
    • นอกจากนี้คุณควรทำให้เล็บแห้งและสะอาดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อย่างนั้นอาจเกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรค และแบคทีเรียก็มักเติบโตในเล็บที่ชื้นอยู่เสมอด้วย
    • เพื่อให้เล็บของคุณสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น คุณควรทาโลชั่นตรงซอกเล็บและทาเข้าไปในเนื้อใต้เล็บบ่อยๆ เพื่อให้เล็บชุ่มชื้น [18]
    • อย่าตัดหรือเล็มซอกเล็บ เพราะมันช่วยปกป้องเนื้อใต้เล็บ [19]
  2. คุณควรแปรงผมทุกวันเพื่อให้แลดูสะอาดสะอ้านเรียบร้อย การแปรงผมช่วยคลายผมที่พันกันและกำจัดผมที่หลุดร่วงออกไป ทำให้ผมดูสลวยและสุขภาพดียิ่งขึ้น นอกจากนี้การแปรงผมยังมีประโยชน์ในเรื่องของการกระจายน้ำมันธรรมชาติให้ทั่วผม พร้อมทำความสะอาดและกระตุ้นหนังศีรษะด้วย
    • แต่คุณต้องไม่แปรงผมบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการขาดหลุดร่วงและก่อให้เกิดอันตรายแก่ผมมากกว่า [20]
    • ถ้าผมของคุณเป็นผมจริงตามธรรมชาติ ให้ใช้นิ้วสางหรือใช้หวีซี่ใหญ่ๆ หวีไม่ให้ผมพันกันก่อนแล้วค่อยแปรงผม วิธีนี้จะช่วยไม่ให้ผมขาดหลุดร่วง [21]
  3. การมีขนมากเกินไปในบางบริเวณอาจทำให้เกิดกลิ่นกายหรือทำให้คุณแลดูไม่เรียบร้อย การโกนขนหรือเล็มขนให้สั้นอยู่เสมอเป็นเทคนิคการดูแลสุขอนามัยที่มีประสิทธิภาพ เพราะมันช่วยให้อากาศเข้าถึงผิวหนังได้มากขึ้น ซึ่งช่วยลดปริมาณกลิ่นที่เกิดขึ้นในบริเวณนั้น นอกจากนี้ยังให้ประโยชน์ในเรื่องของการขับผิวด้วย เช่น ผิวบางบริเวณอาจจะดูโดดเด่นขึ้นถ้ามีการเล็มขนหรือโกนเกลี้ยง อย่างไรก็ตามการโกนขนเป็นเรื่องของความพอใจ และคุณก็ควรเลือกทำในสิ่งที่คุณสบายใจที่จะทำ [22]
    • บริเวณทั่วไปที่ควรโกนหรือเล็มให้สั้นอยู่เสมอได้แก่ รักแก้ หน้าอก ขา บริเวณอวัยวะเพศ และใบหน้า การโกนขนรักแร้และโกนหรือเล็มขนบริเวณอวัยวะเพศช่วยลดกลิ่นได้ เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าบริเวณเหล่านี้มีเหงื่อออกมาก และกลิ่นอับก็อาจจะสะสมอยู่ที่ขนถ้าไม่หมั่นเล็มอยู่เสมอ
    • คุณจะเลือกเล็มหรือโกนขนหน้าอก ขา และใบหน้าด้วยก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่สบายใจที่จะโกนก็ไม่จำเป็นต้องทำ [23]
    • ค่อยๆ โกนไปตาม "แนวขน" (เช่น โกนไปตามแนวที่ขนขึ้น) ใช้เจลหรือโฟมโกนขนเพื่อป้องกันไม่ให้ระคายเคืองผิว [24]
  4. บางบริเวณในร่างกายก็มีขนที่ไม่หนาขนาดจะต้องโกน ถ้าเป็นกรณีแบบนี้คุณอาจจะต้องถอนขนออกเพื่อรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี บริเวณทั่วไปที่อาจมีขนเหล่านี้ขึ้นได้แก่ แก้ม คอ และคิ้ว นอกจากนี้ในบางกรณีอาจจะมีขนสีเข้ม 1 เส้นขึ้นบนส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย
    • ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็ประสบปัญหาเรื่องขน แม้ว่าบริเวณที่ขนขึ้นอาจจะต่างกัน แต่ความจำเป็นทั่วไปที่จะต้องตัดเล็มให้เรียบร้อยนั้นเหมือนกัน
    • การถอนขนที่ไม่ต้องการออกนั้น ให้ใช้แหนบหนีบขนไว้แน่นๆ แล้วดึงออก ทำจนกว่าขนที่ไม่ต้องการจะหายไปหมด [25]
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 6,602 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา