ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เมื่อปริมาณของเหลวที่สูญเสียจากร่างกายของแมวนั้นมากกว่าปริมาณที่ได้รับ แมวนั้นก็จะอยู่ในภาวะขาดน้ำ นี่เกิดขึ้นจากหลายเหตุผล เช่น ไม่กินอาหารหรือกินน้ำให้เพียงพอ ร้อนมากเกินไป อาเจียน ท้องเสีย และปัจจัยอื่นๆ [1] ภาวะขาดน้ำนั้นเป็นอาการที่รุนแรงสำหรับแมวเพราะว่าความสมดุลของของเหลวที่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ขจัดของเสีย และรักษาการไหลเวียนของเลือดที่เหมาะสม และเพื่อให้แน่ใจว่าระบบสำคัญต่างๆ ของร่างกายจะสมดุล ยิ่งคุณสามารถระบุสัญญาณแรกๆ ของการขาดน้ำในแมวของคุณได้เร็วมากเท่าไหร่และช่วยเหลือแมวอย่างเหมาะสม อาการนี้ก็จะหายไปเร็วขึ้น

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 2:

ตรวจดูสัญญาณของการขาดน้ำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อาการบางอย่างจะต้องไปพบสัตวแพทย์ทันทีไม่ว่าจะเป็นแมวตัวใดก็ตามไม่ว่ามันจะมีอายุเท่าไหร่ เพศอะไร หรือสุขภาพโดยรวมเป็นอย่างไร สาเหตุเหล่านี้ได้แก่ การสงสัยว่ามีเลือดออกภายใน แผลไหม้ แผลระดับกลางถึงรุนแรง การอาเจียนหรือท้องเสียที่รุนแรงหรือต่อเนื่อง ไม่อยากอาหารนานกว่า 24 ชั่วโมงในแมวผู้ใหญ่ หรือ 12 ชั่วโมงในลูกแมว หายใจทางปาก หรือมีไข้สูง [2]
  2. ในระดับแรกๆ ภาวะขาดน้ำนั้นจะไม่ค่อยสังเกตได้ ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่สัญญาณทางร่างกายที่เพียงเล็กน้อยหรือละเอียดสุดๆ ก็ไม่สามารถระบุได้จนกระทั่งแมวมีภาวะขาดน้ำอย่างน้อย 4-5% [3] เพราะว่าสัญญาณนั้นค่อนข้างซับซ้อนและละเอียด คุณควรใส่ใจว่าแมวกินน้ำเท่าไหร่ต่อวัน สังเกตว่าแมวกินน้ำน้อยลงหรือไม่กินเลย
    • คุณควรแน่ใจด้วยว่าคุณเตรียมน้ำสะอาดให้อยู่ใกล้มันด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณจะไม่อยู่เป็นระยะเวลานานๆ เช่น ไปทำงานหรือออกไปด้านนอกทั้งวัน
  3. วิธีหนึ่งที่จะบอกคุณได้ว่าแมวนั้นขาดน้ำก็คือการตรวจดูที่เหงือกของมัน ใช้นิ้วดันริมฝีปากด้านบนของมันขึ้นให้เห็นแนวเหงือก แตะนิ้วมือไปที่เหงือก หากแมวนั้นมีความชุ่มชื้นดี ตรงเหงือกนั้นจะชุ่มชื้น หากแมวเริ่มมีภาวะขาดน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ เหงือกของมันจะเริ่มแห้ง หากตรงเหงือกนั้นเหนียว แมวก็อาจจะแสดงสัญญาณแรกของภาวะขาดน้ำ
    • หากสัมผัสเนื้อตรงเหงือกแล้วรู้สึกว่าแห้งจริงๆ แมวอาจจะอยู่ในภาวะขาดน้ำระดับกลางหรือรุนแรง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัญญาณอื่นๆ ปกติแล้วเหงือกจะไม่ได้รู้สึกแห้งสนิทจนกระทั่งแมวขาดน้ำอย่างน้อย 6-7% [4]
    • ระลึกไว้ว่าเหงือกของแมวนั้นจะแห้งทันทีเมื่อโดนอากาศหลังจากที่คุณยกริมฝีปากด้านบนของมันขึ้น ดังนั้นคุณจำเป็นต้องประเมินความชุ่มชื้นของเหงือกทันที
    • หากเหงือกของแนวนั้นแห้งเหนียวหรือคุณไม่แน่ใจว่าเหงือกของมันนั้นเป็นปกติหรือไม่ ให้ตรวจแมวเพิ่มเติมเพื่อช่วยคุณตัดสินใจว่าแมวนั้นขาดน้ำหรือไม่และมันขาดน้ำระดับไหน
  4. ตรวจดูการไหลเวียนของเลือดที่ส่วนปลายที่เหงือก (CRT). การไหลเวียนของเลือดที่ส่วนปลาย (CRT) คือจำนวนเวลาที่เส้นเลือดฝอยใช้ซึ่งเป็นเส้นเลือดเล็กๆ ในเหงือกใช้ในการเติมเต็มเลือดในบริเวณนั้น เพราะว่าการขาดน้ำนั้นจะลดปริมาณของเลือด และมันจะลดลงกว่าเดิมในสัตว์เลี้ยงที่ขาดน้ำ [5] ในการเช็ค CRT ให้กดนิ้วมือไปที่เหงือกของแมวและปล่อยออก ผิวหนังตรงนั้นจะซีดหรือเปลี่ยนเป็นสีขาว หากมันไม่เป็นแบบนั้น ให้ลองใหม่อีกครั้งและกดให้แรงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย หลังจากที่คุณปล่อยนิ้วมือ ให้นับจำนวนวินาทีว่าใช้เวลาเท่าไหร่ที่ผิวหนังซีดๆ ตรงนั้นจะกลับไปเป็นสีเดิม
    • ในแมวที่ร่างกายชุ่มชื้นแะสุขภาพดี ผิวหนังนั้นจะกลับมาเป็นสีเดิมในเวลาน้อยกว่า 2 วินาที
    • ในแมวที่มีภาวะขาดน้ำในระดับกลาง มันอาจจะใช้เวลานานกว่านิดหน่อย ในกรณีของแมวที่ขาดน้ำค่อนข้างรุนแรง การกลับไปเป็นผิวหนังสีเดิมนั้นจะใช้เวลานานจนสังเกตได้
    • ปกติแล้ว CRT จะไม่เพิ่มขึ้นในกรณีของภาวะขาดน้ำอ่อนๆ ดังนั้น CRT ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะบ่งบอกถึงการขาดน้ำระดับกลางไปจนถึงรุนแรงและก็ควรพาแมวไปพบสัตวแพทย์
    • หากเหงือกของแมวนั้นซีดมากหรือเป็นสีขาวก่อนที่คุณจะกดมัน ให้พาแมวไปหาสัตวแพทย์ทันที เหงือกซีดนั้นเป็นสัญญาณของภาวะขาดน้ำในระดับที่รุนแรงขึ้น [6]
  5. สัญญาณแรกอีกอย่างหนึ่งก็คือการสูญเสียความยืดหยุ่นของผิวหนังเล็กน้อย นี่จะเป็นสิ่งที่บอกได้ชัดเจนว่าภาวะขาดน้ำนั้นมีอาการแย่ลง ตรวจสอบความยืดหยุ่นของผิวหนังด้วยการเลือกบริเวณผิวหนังบริเวณหลังของแมวหรือหน้าอก หลีกเลี่ยงผิวหนังที่หลังคอเพราะว่ามันหนาและอาจจะให้ผลที่ทำให้เข้าใจผิด ค่อยๆ หยิกดึงที่ผิวหนังเบาๆ โดยใช้นิ้วสองนิ้วและปล่อยออก สังเกตผิวหนังที่ถูกดึง
    • ในแมวที่มีร่างกายชุ่มชื้นและมีสุขภาพดี ผิวหนังจะกลับเป็นแบบเดิมทันที ในแมวที่มีภาวะขาดน้ำอ่อนๆ ผิวหนังก็จะกลับไปที่เดิมเร็วพอๆ กับในแมวที่ร่างกายชุ่มชื้น
    • ในแมวที่ขาดน้ำระดับกลางหรือระดับรุนแรง ผิวหนังจะกลับไปที่เดิมช้าจนสังเกตได้ และในแมวที่ขาดน้ำมากๆ ผิวหนังนั้นอาจจะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกดึงแทนที่จะกลับไปอยู่ที่เดิม [7]
    • เป็นเรื่องสำคัญที่จะรู้ว่าการทดสอบนี้ไม่ได้ให้ผลแน่นอนเสมอไป สัตว์ที่อายุมากหรือผอมมากๆ มักจะมีผิวหนังที่ยืดหยุ่นน้อยกว่าสัตว์ที่มีอายุน้อยกว่า ดังนั้นผิวหนังก็จะไม่กลับไปสู่ที่เดิมอย่างรวดเร็วแม้ว่ามันจะมีร่างกายชุ่มชื้นน้ำดี [8] ลูกแมวที่มีอายุน้อยกว่า 6 อาทิตย์นั้นจะมีความยืดหยุ่นของผิวหนังน้อยกว่าแมวโตเต็มวัย สัตว์เลี้ยงที่น้ำหนักเกินก็จะมีไขมันใต้ผิวหนังเยอะ ดังนั้นมันจึงไม่ได้สูญเสียความยืดหย่นของผิวหนังอย่างเห็นได้ชัดจนกระทั่งมันขาดน้ำอย่างรุนแรง [9]
  6. ตาของแมวนั้นจะให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับสถานะความชุ่มชื้น หากแมวตาโหลคล้ำเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นในแมวที่สุขภาพดีมันสามารถเป็นสัญญาณของการขาดน้ำระดับกลางได้ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญที่จะพึงระลึกไว้ว่าในแมวที่ผอมมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแมวที่มีอายุมากหรือแมวที่มีโรคเรื้อรัง มันก็อาจจะมีตาคล้ำเป็นเรื่องปกติ [10]
    • อาการตาคล้ำอย่างรุนแรงและดูแห้งนั้นบอกถึงภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง ในกรณีที่ร้ายแรงกว่านั้น ก็อาจจะเห็นเปลือกตาชั้นที่สามด้วย [11]
    • หากตาของแมวดูแห้ง คล้ำ หรือมีตาชั้นที่สามเกิดขึ้นมา คุรควรพาแมวไปพบสัตวแพทย์ทันที
  7. สำหรับสัญญาณของภาวะขาดน้ำอื่นๆ ของแมว หากสัมผัสที่อุ้งเท้าแล้วรู้สึกเย็น นั่นก็เป็นสิ่งบ่งบอกว่าแมวมีภาวะขาดน้ำระดับกลางหรือรุนแรง [12] ในการประเมิน ให้ค่อยๆ อุ้มแมว จับอุ้งเท้าของมันในฝ่ามือและประเมินอุณหภูมิของมัน หากรู้สึกว่ามันเป็นอุณหภูมิปกติของแมว มันก็อาจจะไม่ได้ขาดน้ำในระดับกลาง หากที่อุ้งเท้าของมันรู้สึกเย็นๆ นี่อาจจะเป็นสัญญาณของภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงและคุณควรพามันไปพบสัตวแพทย์เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 2:

พาแมวไปรักษาและประเมินจากสัตวแพทย์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หากแมวของคุณแสดงสัญญาณของภาวะขาดน้ำ คุณจำเป็นต้องไปพบสัตวแพทย์ คุณควรปรึกษากับสัตวแพทย์ทันทีที่แมวของคุณเริ่มแสดงอาการขาดน้ำ เพราะว่าอาการนั้นนั้นง่ายที่จะแก้ไขในระดับแรกเริ่ม หากคุณสังเกตว่าแมวของคุณนั้นขาดน้ำในระดับกลางหรือรุนแรง หรือแมวนั้นเซื่องซึมหรือไม่ตอบสนอง ให้พาแมวไปหาสัตวแพทย์ทันที
    • ให้สัตวแพทย์รู้ว่านี่เป็นเรื่องฉุกเฉินเพื่อที่คุณจะได้พบสัตวแพทย์ได้เร็วขึ้น ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงนั้นเป็นภาวะฉุกเฉินที่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต
    • นอกจากจะเป็นการยืนยันผลของการตรวจร่างกายและประเมินประวัติสุขภาพของแมวของคุณ สัตวแพทย์อาจจะทำการทดสอบเพื่อช่วยระบุว่าแมวของคุณขาดน้ำในระดับไหนและตัดสินใจการรักษาที่เหมาะสม
  2. นอกจากการตรวจร่างกายแล้ว สัตวแพทย์อาจจะทำการทดสอบพื้นฐานบางอย่างเพื่อประเมินระดบการขาดน้ำของแมว การทดสอบพื้นฐานที่สัตวแพทย์จะทำเพื่อประเมินการขาดน้ำก็คือการประเมินปริมาตรเซลล์อัดแน่น (PCV) หากปริมาตรเซลล์อัดแน่นนั้นสูงกว่าปกติ ก็มีแนวโน้มว่าแมวของคุณจะขาดน้ำ [13]
    • สัตวแพทย์อาจจะทำการทดสอบโดยใช้ตัวอย่างปัสสาวะเพื่อตรวจความเข้มข้น ปกติแล้ว เมื่อสัตว์นั้นขาดน้ำ ไตจะทำให้ปัสสาวะเข้มข้นเพื่อรักษาน้ำไว้ หากแมวของคุณเป็นโรคไตหรือฮอร์โมนไม่สมดุล มันก็อาจจะไม่สามารถทำให้ปัสสาวะมีความเข้มข้นที่เหมาะสมได้แม้ว่ามันจะไม่ได้ขาดน้ำก็ตาม [14]
    • อาจจะมีการทดสอบอื่นๆ ขึ้นอยู่กับปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ที่สัตวแพทย์สังสัยว่าจะเป็นสาหตุของการขาดน้ำ
  3. เมื่อสัตวแพทย์ประเมินแมวแล้ว สัตวแพทย์ก้จะคำนวณระดับคร่าวๆ ของภาวะขาดน้ำและจะวางแผนการรักษาโดยใช้ของเหลว วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขภาวะขาดน้ำระดับกลางและระดับรุนแรงก็คือการให้การให้ของเหลวผ่านทางเส้นเลือดดำ คุณจำเป็นต้องบอกสาเหตุที่ซ่อนอยู่ที่ทำให้แมวของคุณมีภาวะขาดน้ำเพื่อที่จะได้ป้องกันสถานการณ์เช่นนี้ในอนาคต
    • ในการขาดน้ำรุนแรง การรักษาด้วยการให้ของเหลวทางเส้นเลือดดำอย่างทันทีและรุนแรงนั้นจำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าแมวจะฟื้นเป็นปกติ
  4. นอกจากสัญญาณแรกของการขาดน้ำนั้นจะซับซ้อนและไม่เห็นได้ชัด การที่จะสามารถระบุปัจจัยความเสี่ยงและสถานการณ์ที่จะขาดน้ำนั้นเป็นเรื่องสำคัญ คุณควรระวังปัญหาที่ซ่อนอยู่ทัวไปที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ขาดน้ำ เช่น แมวไม่กินข้าวหรือน้ำอย่างเพียงพอ การที่แมวปัสสาวะมากเกินไป อาเจียน ท้องเสีย มีแผลไหม้หรือมีความเสียหายที่ผิวหนัง มีเลือดออกภายนอกและภายใน เป็นไข้ หรือสูญเสียของเหลวภายในร่างกายเพราะเลือดออกภายใน หรือการเปลี่ยนของเหลวที่ไม่เหมาะสมออกจากเส้นเลือด
    • แมวที่ป่วยหรืออ่อนแรงหรือลูกแมวเล็กๆ นั้นเสี่ยงต่ออาการนี้อย่างมาก หากแมวของคุณอยู่ในกลุ่มนี้ คุณควรระวังปัจจัยเหล่านี้เสมอ มันจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้าเสมอและสัญณาณว่าควรนำแมวไปพบสัตวแพทย์ [15]
  5. ปัญหาสุขภาพและสภาวะแวดล้อมนั้นอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำได้มากกว่า ดังนั้นแมวที่มีอาการเหล่านี้นั้นก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะขาดน้ำ นี่หมายความว่าคุณคุณจะเฝ้าระวังสัตว์เลี้ยงของคุณที่มีอาการเหล่านี้อย่างใกล้ชิดเพื่อดูสัญญาณแรกๆ ของการขาดน้ำ ตัวอย่างของอาการได้แก่ โรคไต เบาหวาน ไทรอยด์ทำงานเกิน โรคหัวใจ ลำไส้อักเสบ พยาธิที่ทางเดินอาหาร โรคที่เกิดจากการติดเชื้อ และโรคเพลียแดด
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ขอให้แน่ใจ่วาแมวของคุณสามารถเข้าถึงน้ำที่สะอาดและใหม่
  • ให้แมวกินอาหารสดหรืออาหารกระป๋องบ้างเพราะว่าอาหารเม็ดนั้นไม่ได้ให้ความชุ่มชื้นเพียงพอ [16]
โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Helio A. de Morias, Dennis J. Chew, Catherine W. Cohn and Stephen P. DiBartola, "Disorders of Fluid Balance, Fluid Therapy and Transfusion Therapy." In Quick Reference to Veterinary Medicine, Edited by William R. Fenner. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins, 2000
  2. Helio A. de Morias, Dennis J. Chew, Catherine W. Cohn and Stephen P. DiBartola, "Disorders of Fluid Balance, Fluid Therapy and Transfusion Therapy." In Quick Reference to Veterinary Medicine, Edited by William R. Fenner. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins, 2000
  3. http://www.merckvetmanual.com/mvm/emergency_medicine_and_critical_care/fluid_therapy/the_fluid_resuscitation_plan.html
  4. http://www.merckvetmanual.com/mvm/emergency_medicine_and_critical_care/fluid_therapy/the_fluid_resuscitation_plan.html
  5. Victoria Aspinall and Richard Aspinall. Clinical Procedures in Small Animal Veterinary Practice. Gloucester, UK: 2013.
  6. Victoria Aspinall and Richard Aspinall. Clinical Procedures in Small Animal Veterinary Practice. Gloucester, UK: 2013.
  7. http://www.veterinarypartner.com/Content.plx?P=A&A=292&S=0&EVetID=0
  8. Victoria Aspinall and Richard Aspinall. Clinical Procedures in Small Animal Veterinary Practice. Gloucester, UK: 2013.
  9. Victoria Aspinall and Richard Aspinall. Clinical Procedures in Small Animal Veterinary Practice. Gloucester, UK: 2013.
  1. http://www.merckvetmanual.com/mvm/emergency_medicine_and_critical_care/fluid_therapy/the_fluid_resuscitation_plan.html
  2. Victoria Aspinall and Richard Aspinall. Clinical Procedures in Small Animal Veterinary Practice. Gloucester, UK: 2013.
  3. Victoria Aspinall and Richard Aspinall. Clinical Procedures in Small Animal Veterinary Practice. Gloucester, UK: 2013.
  4. Victoria Aspinall and Richard Aspinall. Clinical Procedures in Small Animal Veterinary Practice. Gloucester, UK: 2013.
  5. Victoria Aspinall and Richard Aspinall. Clinical Procedures in Small Animal Veterinary Practice. Gloucester, UK: 2013.
  6. Helio A. de Morias, Dennis J. Chew, Catherine W. Cohn and Stephen P. DiBartola, "Disorders of Fluid Balance, Fluid Therapy and Transfusion Therapy." In Quick Reference to Veterinary Medicine, Edited by William R. Fenner. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins, 2000
  7. http://www.veterinarypartner.com/Content.plx?A=3041

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 23,044 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา