ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

รอยแผลถูกบาดหรือแผลถลอกนั้นอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยมากแล้วพวกมันจะหายเองโดยไม่ยากเย็นอะไร ทว่า บางครั้งแบคทีเรียอาจเข้าสู่บาดแผลและเกิดการติดเชื้อที่เป็นอันตรายได้ การตรวจพบการติดเชื้อตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจะช่วยให้รักษาได้ไวและได้ผลกว่า อาการติดเชื้อส่วนใหญ่รักษาได้โดยการใช้ยาปฏิชีวนะครบชุด แม้ว่ามันจะขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการติดเชื้อนั้นด้วยเช่นกัน ตัวบ่งชี้หลักๆ ว่าอาจเกิดการติดเชื้อแล้วก็เช่น แผลมีอาการแดง มีน้ำหนองไหลออกมาและมีอาการปวดไม่ยอมหาย เรียนรู้ที่จะตรวจสอบว่าแผลติดเชื้อหรือไม่จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการรักษาร่างกายคุณให้แข็งแรง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 5:

ตรวจสอบอาการปวดเพิ่มขึ้น, อาการบวมแดงและร้อนผ่าวรอบบาดแผล

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ก่อนที่คุณจะตรวจดูรอยแผล คุณควรล้างมือให้สะอาดหมดจด [1] ถ้าหากคุณกังวลว่าแผลติดเชื้อหรืออาจเริ่มติดเชื้อแล้วละก็ การใช้นิ้วไปสัมผัสบริเวณนั้นจะยิ่งทำให้อาการแย่ลงไปอีก ให้แน่ใจว่าได้ใช้สบู่ชนิดที่มีสารต่อต้านแบคทีเรียล้างมือจนสะอาดก่อนจะทำอะไรทั้งหมด [2]
    • อย่าลืมล้างมือหลังจากสัมผัสกับแผลแล้วด้วยล่ะ
  2. คุณจะต้องแกะผ้าปิดแผลออกก่อนตรวจดู ค่อยๆ เอาออกอย่างระมัดระวังจะได้ไม่เสี่ยงต่อการทำให้จุดที่อ่อนไหวนั้นเกิดอักเสบขึ้นมา หากผ้าปิดแผลนั้นติดแน่นกับรอยแผล สามารถใช้น้ำช่วยลอกมันออกได้ ก๊อกน้ำแบบฝอยสามารถช่วยได้ [3]
    • พอลอกผ้าปิดแผลที่สกปรกออกได้แล้ว ควรทิ้งลงถังขยะทันที อย่าคิดนำผ้าปิดแผลสกปรกมาใช้ใหม่โดยเด็ดขาด
  3. เวลาตรวจดูบาดแผล ลองดูว่ามันรู้สึกแดงเกินปกติหรือแดงขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ ถ้าแผลดูแดงมากและความแดงนั้นยังขยายออกไปจากบริเวณรอยแผล แสดงว่ามันติดเชื้อ [4]
    • ผิวของคุณอาจจะรู้สึกร้อนขึ้นตรงบริเวณที่ปวด ขอคำแนะนำจากแพทย์เมื่อเกิดอาการสองอย่างนี้
  4. ถามตัวเองว่าอากการปวดนั้นแย่ลงกว่าเดิมหรือไม่. การรู้สึกปวดขึ้นมาหรือปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นอาการว่าได้ติดเชื้อ แค่อาการปวดอย่างเดียวหรือรวมเข้ากับอาการอื่นๆ (อย่างเช่น บวม ร้อนผ่าว และมีหนอง) อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ ปรึกษาแพทย์ถ้าปวดตรงบาดแผล [5] ความรู้สึกปวดนี้อาจรู้สึกคล้ายเกิดขึ้นมาลึกลงไปใต้รอยแผล [6] โดยทั่วไปถ้าบริเวณแผลบวมขึ้น ร้อนผ่าวและกดเจ็บล้วนเป็นสัญญาณบ่งชี้เบื้องต้นที่ชัดเจนว่าแผลนั้นติดเชื้อแล้ว
    • คุณอาจรู้สึกปวดตุบๆ [7] อาการคันนั้นไม่จำเป็นว่าต้องเป็นสัญญาณการติดเชื้อ ถึงแม้ว่าคุณเองก็ไม่ควรไปเการอยแผลให้มันเสี่ยงแย่ลง เล็บเรานั้นมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เยอะและการเกาก็มีแต่ทำให้ทุกอย่างแย่ลง
  5. อย่าเพิ่งใช้ครีมยาปฏิชีวนะเว้นแต่จะได้รับคำแนะนำจากแพทย์. การศึกษาวิจัยไม่ได้แสดงผลว่าครีมยาปฏิชีวนะช่วยลดอาการติดเชื้อบนบาดแผลได้อย่างมีนัยสำคัญใดๆ [8] เชื้อที่ได้ขยายพันธุ์มีการเข้าสู่ร่างกายแล้ว ดังนั้นการรักษาแผลแต่ภายนอกจึงไม่ได้ช่วยรักษาพวกแบคทีเรียที่อยู่ในร่างกายคุณแล้วเลย
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 5:

ตรวจดูน้ำหนองและของเหลวอื่น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ให้คอยสังเกตน้ำหนองสีเหลืองหรือเขียวและของเหลวอื่น. ของเหลวที่ถูกขับออกมานี้อาจมีกลิ่นเหม็น ถ้าหากคุณเห็นน้ำหนองหรือน้ำลักษณะขุ่นไหลออกมาจากบาดแผล นี่แสดงว่าแผลนั้นติดเชื้อเข้าให้แล้ว [10] คุณควรเข้ารับการรักษาโดยทันที
    • บางทีน้ำเหลืองจากบาดแผลนั้นเป็นเรื่องปกติ ตราบเท่าที่ของเหลวนั้นมีลักษณะบางใส แบคทีเรียอาจก่อให้เกิดน้ำเหลืองใสไม่เป็นสีเหลืองหรือเขียวก็ได้ ในกรณีนี้แพทย์อาจขอน้ำเหลืองไปตรวจสอบดูว่าเป็นการติดเชื้อตัวใดเป็นพิเศษหรือไม่ก็ได้ [11]
  2. ถ้าสังเกตเห็นน้ำหนองเริ่มก่อตัวใต้ชั้นผิวหนังรอบๆ บริเวณรอยแผล คุณอาจติดเชื้อแล้ว [12] แม้ว่าจะเห็นตุ่มหนองก่อตัว หรือกดแล้วรู้สึกเจ็บ มีตุ่มแข็งใต้ผิวหนังแต่มันไม่แตกไหลออกมาทางบาดแผล ทั้งหมดนี้ก็ยังเป็นสัญญาณของการติดเชื้อและควรได้รับการรักษา [13]
  3. เปลี่ยนผ้าปิดแผลอันใหม่ที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้วหลังจากการตรวจรอยแผลทุกครั้ง. หากมันไม่มีสัญญาณการติดเชื้อ นี่จะช่วยปิดและป้องกันบาดแผลได้ ถ้าหากแผลนั้นส่อว่ามีการติดเชื้อ ผ้าปิดแผลที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาจะช่วยป้องกันบาดแผลไม่ให้มีการปนเปื้อนจนกว่าคุณจะได้พบแพทย์ [14]
    • ระมัดระวังให้มีเฉพาะส่วนที่ไร้กาวเหนียวของผ้าปิดแผลเท่านั้นอยู่ตรงบริเวณรอยแผล ผ้าปิดแผลควรมีขนาดใหญ่พอที่จะปิดแผลได้ทั้งหมด
  4. หากแผลยังคงมีน้ำหนองไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ให้ปรึกษาแพทย์. น้ำเหลืองที่ไหลออกมาอาจเป็นเรื่องปกติเพราะร่างกายคุณกำลังต่อสู้กับเชื้อ แต่ถ้าน้ำเหลืองนั้นกลายสภาพเป็นหนองสีเหลืองหรือเขียวและมีปริมาณเพิ่มขึ้น (หรือไม่มีท่าทีลดลง) ให้คิดไปพบแพทย์ ยิ่งจำเป็นเลยถ้าหากมีสัญญาณร่วมของการติดเชื้อตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น [15]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 5:

ตรวจสอบการติดเชื้อในระบบน้ำเหลือง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณอาจสังเกตเห็นรอยเส้นเหล่านี้กระจายออกจากบาดแผลไปตามผิว ผิวที่เป็นรอยแดงรอบแผลแสดงว่าเชื้อนั้นได้กระจายเข้าสู่ระบบที่ขับของเหลวออกจากเนื้อเยื่อซึ่งรู้จักกันในชื่อระบบน้ำเหลือง
    • การติดเชื้อชนิดนี้ (หลอดน้ำเหลืองอักเสบ - lymphangitis) อาจเป็นเรื่องร้ายแรงและคุณควรไปพบแพทย์ทันทีหากเห็นอาการแดงเป็นเส้นออกจากบริเวณรอยแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณรู้สึกว่ามีไข้ร่วมด้วย [16]
  2. หาต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้กับบาดแผลมากที่สุด. ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้แขนมากที่สุดคือบริเวณรักแร้ สำหรับส่วนขาคือบริเวณขาหนีบ สำหรับส่วนอื่นๆ ของร่างกายนั้น ที่อยู่ใกล้ที่สุดและเช็คได้คือต่อมที่อยู่ตรงข้างลำคอ ตรงบริเวณใต้คางและสันกรามทั้งด้านซ้ายและขวา [17]
    • แบคทีเรียจะถูกกักอยู่ในต่อมเหล่านี้ระหว่างที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน [18] [19] บางครั้งระบบน้ำเหลืองของคุณอาจติดเชื้อโดยที่ไม่มีเส้นสีแดงให้เห็นรอบบาดแผลก็ได้
  3. ใช้นิ้ว 2 หรือ 3 นิ้วกดเบาๆ และคลำบริเวณนั้นดูว่าต่อมน้ำเหลืองมีอาการบวมโตขึ้นหรือไม่ ซึ่งอาจจะกดแล้วรู้สึกเจ็บ อีกวิธีที่ง่ายมากๆ ในการตรวจหาความผิดปกติก็คือให้ใช้มือทั้งสองข้างแตะทั้งสองด้านพร้อมกัน ต่อมน้ำเหลืองทั้งสองด้านควรจะมีขนาดเท่ากันและสมมาตรกันในยามปกติ [20]
  4. แตะต่อมน้ำเหลืองที่เลือกไว้ดูว่ามีอาการบวมหรือกดเจ็บหรือไม่. ถ้าคุณรู้สึกได้ทั้งบวมและกดเจ็บ นี่อาจเป็นสัญญาณการแพร่กระจายของเชื้อ แม้ว่าจะไม่เห็นเส้นสีแดงก็ตาม ต่อมน้ำเหลืองนั้นปกติจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณครึ่งนิ้วเท่านั้นและคุณไม่น่าจะคลำจับจนรู้สึกมันได้ พวกมันสามารถบวมโตขึ้นมาได้สองหรือสามเท่าซึ่งจะทำให้คุณแตะแล้วรู้สึกได้ทันที [21]
    • ต่อมน้ำเหลืองบวมโตที่ดูนิ่มขึ้นและขยับเคลื่อนไปมาได้ง่ายมักเป็นสัญญาณว่าเกิดการติดเชื้อหรือเกิดอักเสบ
    • ต่อมน้ำเหลืองที่แข็งและขยับไม่ได้ ก่อให้เกิดอาการปวดและมีอาการอย่างนั้นนานกว่า 1 ถึง 2 สัปดาห์สมควรจะต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ [22]
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 5:

ตรวจวัดอุณหภูมิและอาการความรู้สึกทั่วไป

ดาวน์โหลดบทความ
  1. นอกเหนือจากอาการบริเวณบาดแผลแล้วนั้น คุณอาจมีไข้ อุณหภูมิที่สูงเกิน 38 องศาเซลเซียสสามารถเป็นตัวชี้ว่าเกิดแผลติดเชื้อ คุณควรไปพบแพทย์ถ้าหากมีไข้ร่วมกับสัญญาณการติดเชื้ออย่างหนึ่งหรือมากกว่านั้นตามที่บอกไว้ด้านบน [23]
  2. ลองพิจารณาดูว่ารวมๆ แล้วคุณรู้สึกไม่ค่อยดีหรือเปล่า. ตัวบ่งชี้ว่าแผลเกิดการติดเชื้อนั้นอาจเป็นอะไรง่ายๆ ประเภทแค่รู้สึกไม่ค่อยดียังไงไม่รู้ (อาการไม่สบายทั่วๆ ไป) [24] ถ้าคุณมีบาดแผลและเริ่มรู้สึกมีไข้ในอีกสองสามวันถัดมา มันอาจเกี่ยวข้องกันก็เป็นได้ ให้ตรวจบาดแผลหาสัญญาณการติดเชื้อและถ้ายังคงรู้สึกไม่สบายตัวต่อก็ให้ไปพบแพทย์
    • ถ้าคุณสังเกตได้ว่ามีอาการปวดเนื้อเมื่อยตัว ปวดศีรษะ วิงเวียน ปวดท้อง หรือกระทั่งอาเจียน คุณอาจติดเชื้อก็ได้ ผื่นที่เกิดขึ้นมาใหม่ก็เป็นอีกเหตุผลในการไปพบแพทย์
  3. อาการขาดน้ำนั้นอาจบ่งชี้ถึงแผลติดเชื้อ อาการหลักๆ เวลาร่างกายขาดน้ำก็คือ ปัสสาวะน้อยลง ริมฝีปากแห้ง นัยน์ตาโหลลึก และปัสสาวะมีสีเข้ม ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ คุณควรสังเกตดูบาดแผลอย่างละเอียดขึ้น ตรวจดูสัญญาณการติดเชื้ออื่นและปรึกษาแพทย์ [25]
    • เนื่องจากร่างกายต้องสร้างภูมิคุ้มกันมาต่อต้านเชื้อ การรักษาความชุ่มชื้นให้ร่างกายไม่ขาดน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญ ให้ดื่มน้ำเยอะๆ
    โฆษณา
วิธีการ 5
วิธีการ 5 ของ 5:

รับมือกับกรณีรุนแรง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. รู้ว่าบาดแผลประเภทไหนที่ง่ายต่อการติดเชื้อ. บาดแผลส่วนใหญ่สามารถหายเองได้โดยไม่ต้องยุ่งยากอะไร อย่างไรก็ตาม บาดแผลอาจจะติดเชื้อได้ถ้าไม่ได้รับการทำความสะอาดและรักษาอย่างถูกวิธี บาดแผลที่เท้า, มือและบริเวณอื่นที่สัมผัสกับแบคทีเรียได้โดยง่ายนั้นมีโอกาสจะติดเชื้อ เช่นเดียวกับรอยกัดหรือรอยข่วนของสัตว์และคน [26]
    • ให้ระมัดระวังบาดแผลที่เกิดจากการถูกกัด ถูกทิ่มหรือถูกบด ให้ระวังแผลที่เกิดจากวัตถุไม่สะอาด: มีดหรือตะปูที่ขึ้นสนิม หรืออุปกรณ์ที่สกปรก
    • ถ้าคุณถูกกัด ปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงการติดเชื้อพิษสุนัขบ้าหรือบาดทะยัก คุณอาจต้องเข้ารับยาปฏิชีวนะหรือวัคซีนกันบาดทะยัก [27]
    • ถ้าคุณมีสุขภาพแข็งแรงและระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายก็ปกติดี บาดแผลส่วนใหญ่จะหายเองโดยแทบไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ระบบการป้องกันตัวของร่างกายจะป้องกันไม่ให้เชื้อได้ขยายตัว
  2. เข้าใจในปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อตัวอื่นๆ. หากระบบภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอลงเนื่องจากการเป็นโรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือเป็นโรคขาดแคลนสารอาหาร คุณจะยิ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แบคทีเรีย, ไวรัส และเชื้อราซึ่งปกติจะไม่สร้างปัญหาใดๆ ในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอนแข็งแรงจะสามารถแทรกซึมและแพร่พันธุ์ในระดับที่น่าหนักใจได้ โดยเฉพาะในบาดแผลถูกไฟไหม้สาหัสในระดับที่สองหรือที่สาม ซึ่งชั้นผิวหนังอันเป็นด่านสกัดเชื้อโรคด่านแรกของร่างกายนั้นถูกทำลายจนอ่อนแอ
  3. คุณอาจมีไข้ และอาจรู้สึกคลื่นไส้วิงเวียน หัวใจจะเต้นถี่กว่าปกติ ตัวบาดแผลนั้นจะรู้สึกร้อนผ่าว มีอาการบวมแดง และรู้สึกปวด มันอาจมีกลิ่นเหม็นเหมือนมีอะไรเน่าเสีย [28] อาการทั้งหมดนี้อาจแสดงออกมาในระดับเบาหรือรุนแรงก็ได้ แต่ถ้าคุณพบอาการเหล่านี้หลายๆ อาการ คุณจำต้องไปพบแพทย์ในทันที
    • อย่าขับรถถ้าคุณรู้สึกคลื่นไส้วิงเวียนและมีไข้ ถ้าเป็นไปได้ให้เพื่อนหรือญาติพี่น้องขับพาคุณไปโรงพยาบาลดีกว่า คุณอาจต้องเข้ารับยาปฏิชีวนะชนิดฤทธิ์แรงเพื่อฟื้นฟูระบบของร่างกายให้เป็นปกติ
    • หากไม่แน่ใจ ให้ไปพบแพทย์ ในกรณีของแผลติดเชื้อนั้น แค่หาวิธีตรวจด้วยตนเองทางอินเทอร์เน็ตยังไม่เพียงพอ การเข้ารับการตรวจรักษาทางการแพทย์เป็นเรื่องเป็นราวเลยเป็นวิธีที่ดีที่สุด
  4. ถ้าคุณเชื่อว่าแผลนั้นติดเชื้อแล้ว ให้รีบนัดพบแพทย์ เป็นเรื่องสำคัญมากถ้าคุณมีอาการอย่างอื่นประกอบด้วย หรือมีปัจจัยเสี่ยงใดๆ ที่มีสิทธิติดเชื้อได้
  5. ลองพิจารณาการใช้ยาปฏิชีวนะและยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช้สเตียรอยด์ (NSAID). ยาปฏิชีวนะอาจช่วยสู้หรือต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย และมันสามารถเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดอาการอักเสบ ยากลุ่ม NSAID จะช่วยให้ร่างกายฟื้นสภาพจากอาการบวม ปวดหรือเป็นไข้ คุณสามารถหาซื้อยาเหล่านี้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาของแพทย์ แต่ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์แรงสุดนั้นต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ [29]
    • หลีกเลี่ยงยาในกลุ่ม NSAID ถ้าคุณกำลังเข้ารับยาเจือจางเลือดอยู่ พึงระวังไว้ว่ายาเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุให้เกิดแผลในท้องและไตวายในบางคนได้ ให้ปรึกษาแพทย์!
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ใช้ไฟที่สว่าง คุณจะสังเกตเห็นสัญญาณการติดเชื้อได้ง่ายกว่าในห้องที่เปิดไฟสว่างพอ
  • หากคุณไม่เห็นสัญญาณว่าแผลเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เช่น เริ่มตกสะเก็ด งั้นแผลอาจติดเชื้อแล้ว ให้ไปพบแพทย์ โดยเฉพาะถ้าอาการมันยิ่งแย่ลง
  • ถ้าคุณมีน้ำหนองไหลออกมาเรื่อยๆ ให้ทำความสะอาดในทันทีที่สังเกตเห็น แต่ถ้ามันยังไม่ยอมหยุดก็ให้ไปพบแพทย์
โฆษณา

คำเตือน

  • การติดเชื้อสามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้ ฉะนั้นถ้าไม่แน่ใจในการติดเชื้อและบาดแผลของตัวเอง ให้ไปพบแพทย์เป็นการดีที่สุด


โฆษณา
  1. http://youngwomenshealth.org/2012/07/30/cuts-and-scrapes/
  2. http://www.bio.miami.edu/hare/culture.html
  3. http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/wound_infection_symptoms.html
  4. http://www.nhs.uk/Conditions/Cuts-and-grazes/Pages/Introduction.aspx
  5. http://www.emedicinehealth.com/care_for_a_skin_wound-health/article_em.htm
  6. http://www.emedicinehealth.com/care_for_a_skin_wound-health/article_em.htm
  7. http://www.medicinenet.com/cuts_scrapes_and_puncture_wounds/page2.htm#what_are_the_signs_and_symptoms_of_a_wound____infection
  8. Bickley, L., & Szilagyi, P. (2003). Bates' guide to physical examination and history taking (Rev. 8th ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins.
  9. http://patient.info/health/hidradenitis-suppurativa-leaflet
  10. http://www.betterhealth.vic.gov.au/bhcv2/bhcarticles.nsf/pages/Lymphatic_system
  11. Bickley, L., & Szilagyi, P. (2003). Bates' guide to physical examination and history taking (Rev. 8th ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins.
  12. http://www.webmd.com/pain-management/swollen-glands
  13. http://www.webmd.com/pain-management/swollen-glands
  14. http://youngwomenshealth.org/2012/07/30/cuts-and-scrapes/
  15. http://www.nhs.uk/Conditions/Cuts-and-grazes/Pages/Introduction.aspx
  16. http://kidshealth.org/teen/your_body/medical_care/wounds.html#
  17. http://www.healthline.com/health/animal-bite-infections#Overview1
  18. http://www.healthline.com/health/animal-bite-infections#Overview1
  19. http://www.drugs.com/cg/wound-infection.html
  20. http://www.woundcarecenters.org/article/wound-types/infected-wounds

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 230,901 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา