PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

ไม่มีอะไรจะน่าเซ็งไปกว่ารีเฟรชเบราว์เซอร์หรือเข้าเว็บแล้วรอโหลดนานเป็นชาติ อาการดีเลย์หรือความหน่วงแบบนี้เรียก latency หรือระยะเวลาที่ต้องใช้ในการส่งแพ็คเกตข้อมูลจากต้นทาง (web-server) ไปยังปลายทาง (คอมของคุณ) บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการระบุตำแหน่งที่การส่งข้อมูลหน่วง ทั้งด้วยเว็บและโปรแกรมในคอม

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ใช้เว็บ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีหลายเว็บที่ให้บริการทดสอบความเร็วอินเทอร์เน็ต อย่างเว็บของค่ายเน็ตที่คุณใช้ ก็น่าจะมีเครื่องมือไว้ให้ แต่เว็บทดสอบที่ดังๆ มี 2 เว็บ คือ Speakeasy [1] กับ DSLReports [2] ขั้นตอนต่อไปนี้จะใช้เว็บ DSLreports ที่มี diagnostic tool ที่ค่อนข้างครบครัน
    • เข้าเว็บ www.dslreports.com
    • เลือก Tools จากเมนูใน toolbar ด้านบน
  2. ถ้ามีหลายคนแชร์เน็ตบ้านกับคุณ ก็จะกระทบเวลาทดสอบความเร็วเน็ต
    • เจรจากับคนร่วมใช้เน็ต ขอให้ช่วยหยุดใช้ชั่วคราวจนทดสอบความเร็วเน็ตเสร็จ หาปัญหาการเชื่อมต่อเจอ
    • ถ้ามีปัญหาเรื่องสัญญาณเน็ต ให้ลองต่อเน็ตโดยเสียบสาย ethernet เชื่อมโมเด็มกับคอมโดยตรงแล้วค่อยทดสอบ อย่าใช้ Wi-Fi จะได้ตัดเป็นปัญหาๆ ไป
  3. การทดสอบความเร็วเน็ตจะบอกความเร็วในการดาวน์โหลดและอัพโหลดจริงระหว่างคอมกับเว็บที่ใช้ทดสอบ เอาไปใช้เปรียบเทียบกับความเร็วที่ค่ายเน็ตโฆษณา และคุณจ่ายเงินรายเดือนใช้อยู่ได้เลย
    • คลิกปุ่ม start ทางขวาของช่อง Speed Test จะมีปุ่ม start คลิกแล้วจะเริ่มทดสอบความเร็วเน็ต
    • เลือก connection type ในหน้าทดสอบ ให้เลือกชนิดการเชื่อมต่อปัจจุบัน จากในรายการ เช่น Gigabit/Fiber, Cable, DSL, Satellite, WISP และอื่นๆ
    • เริ่มการทดสอบ พอเริ่มทดสอบ เว็บจะเช็คความเร็วในการดาวน์โหลด อัพโหลด และรายงาน latency หรือความหน่วงมา
  4. ทดสอบ ping คือการเช็คเวลาที่ใช้ในการส่งแพ็คเกตข้อมูลจากคอมไปยัง remote server แล้วกลับมาที่คอมอีกรอบ โดยจะทดสอบพร้อมกันหลายๆ เซิร์ฟเวอร์ แล้วรายงานกลับมาเป็นค่าความเร็วโดยเฉลี่ย ค่า latency ปกติจะต่างกันไปตามชนิดการเชื่อมต่อ คือ 5 - 40 ms (cable modem), 10 - 70 ms (DSL), 100 - 220 ms (dial-up) และ 200 - 600 ms (cellular) [3] ถ้า remote server อยู่ไกล ค่า latency ก็ยิ่งสูง โดยบวกไปอีก 1 ms ต่อทุก 60 ไมล์ (100 กม.) ที่ข้อมูลต้องเดินทางเพิ่มขึ้น [4]
    • เริ่มทำ Ping Test ในหน้า tools ให้เลือก Start ในช่อง Ping Test (Real Time) แล้วจะไปยังหน้าที่บอกว่าทุกเซิร์ฟเวอร์ที่ขึ้น จะถูก ping 2 ครั้งต่อวินาที แล้วรายงานการเชื่อมต่อจาก A ไป F ทุก 30 วินาที
    • คลิก Start จะมีกราฟเรดาร์ขึ้นมาพร้อมแผนผังของตำแหน่งเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ รวมถึง IP address และสถิติแบบ real time แสดงค่า latency ของการเชื่อมต่อ
    • อ่านรายงาน ระหว่างทดสอบจะมีผลการเชื่อมต่อขึ้นมาในคอลัมน์ทางซ้าย โดยจะแสดงผลใหม่ทุก 30 วินาที พอทดสอบเสร็จ จะมีตัวเลือกให้ทดสอบอีกครั้ง หรือแชร์ผลการทดสอบ
  5. จริงๆ ก็ไม่เชิงเป็นการทดสอบ โดยเครื่องมือ “What is my IP address” จะรายงาน public IP address ของคอมคุณที่คนอื่นเห็น ซึ่งไม่ใช่ IP address จริงๆ ของคอม เพราะเราเตอร์จะกำหนดเว็บ proxy services ให้ นอกจากนี้เครื่องมือยังแสดง common IP address หรือ IP address ที่ใช้ร่วมกันของอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่าย ถือว่าสะดวกมากถ้าอยากใช้ Windows utilities หาค่า latency หรือสาเหตุทำสัญญาณเน็ตและการเชื่อมต่อเครือข่ายหน่วง
    • เปิด What is my IP address แล้วคลิก start ในช่อง What is my IP address เพื่อไปยังหน้าแสดง IP address ของคุณ และ address อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอม
    • จด IP address ไว้ ถ้าอยากทำ diagnostic test หาปัญหาของสัญญาณเน็ต/การเชื่อมต่อเครือข่ายเพิ่มเติม ก็ให้จด IP address ที่ขึ้น รวมถึง common IP address ในรายชื่อด้านล่างเก็บไว้
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ใช้ Command Prompt ของ Windows

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณป้อนคำสั่งในหน้าต่าง command prompt เพื่อทดสอบการเชื่อมต่อและหาค่า latency ของสัญญาณเน็ตได้เลย
    • คลิก Start แล้วเลือก Run
    • พิมพ์ cmd แล้วกด OK เพื่อเปิดหน้าต่าง command prompt สำหรับพิมพ์คำสั่งที่ใช้ทดสอบ หรือค้นหา cmd.exe ในแถบค้นหาของ windows ก็ได้
  2. Ping loopback test คือการทดสอบการเชื่อมต่อของคอม เพื่อยืนยันว่าปัญหาเน็ตหน่วงไม่ได้เกิดจากอุปกรณ์ต้นทาง
    • พิมพ์ “ Ping 127.0.0.1 -n 20 ” IP address นี้จะเหมือนกันแทบทุกเครื่องเวลาเชื่อมต่อเครือข่าย ตัว “-n 20” ที่ลงท้าย จะส่งข้อมูล 20 แพ็คเกตแล้วถึงสิ้นสุดการทดสอบ ถ้าลืมพิมพ์ “-n 20” ให้ยกเลิกการทดสอบโดยพิมพ์ Ctrl+C
    • อ่านสถิติ เวลาที่ใช้ในการส่งแพ็คเกตข้อมูลภายในเครือข่าย ต้องไม่เกิน 5 ms และมี zero packet loss หรือไม่สูญเสียแพ็คเกจข้อมูลไป
  3. พอเช็คแล้วว่า local port ทำงานปกติ ก็ให้ Ping remote server เพื่อทดสอบค่า latency ย้ำอีกทีว่าค่า latency ปกติจะต่างกันไปตามชนิดการเชื่อมต่อ เช่น 5 - 40 ms (cable modem), 10 - 70 ms (DSL), 100 - 220 ms (dial-up) และ 200 - 600 ms (cellular) [5] ถ้า remote server อยู่ไกล ค่า latency ก็ยิ่งสูง โดยบวกไปอีก 1 ms ต่อทุก 60 ไมล์ (100 กม.) ที่ข้อมูลต้องเดินทางเพิ่มขึ้น [6]
    • พิมพ์ “ Ping ” ตามด้วย IP address หรือ URL ของเว็บที่จะ ping แล้วกด enter อาจจะเริ่มด้วย URL ของค่ายเน็ตก็ได้ แล้วค่อยต่อไปยังเว็บอื่นๆ ที่เข้าบ่อย
    • อ่านรายงาน พอ ping remote server แล้ว จะมีรายงานผลการทดสอบ เลขตัวสุดท้ายหลัง “time =” คือเวลาที่ใช้ (คิดเป็นมิลลิวินาที) ส่งแพ็ตเกตข้อมูลไปยัง remote server แล้วกลับมาที่คอม หมายเหตุ: คุณใช้ “-n 20” ต่อท้ายคำสั่งนี้ได้ รวมถึงคำสั่ง “ Ctrl+C ” ด้วย ถ้าลืมพิมพ์คำสั่งแรก
  4. traceroute test ใช้แสดง path หรือเส้นทางที่ข้อมูลเดินทางจากคอมคุณไปยัง remote server รวมถึงความหน่วงที่เกิดระหว่างเส้นทาง เหมาะสำหรับคนที่อยากหาสาเหตุอาการหน่วงของสัญญาณเน็ตหรือการเชื่อมต่อเครือข่าย
    • พิมพ์ “ tracert ” ตามด้วย IP address หรือ URL ของเว็บที่อยากจะ route (ใช้เส้นทาง) แล้วกด enter
    • ติดตามผล พอทดสอบแกะรอย path แล้ว จะแสดงผลแต่ละ address ตามทาง พร้อมเวลาที่ใช้ส่งแพ็คเกตข้อมูล รวมถึงยืนยันการเกิดแต่ละ “hop” ตลอดเส้นทาง ยิ่ง “hop” เยอะ หรือมีหลายอุปกรณ์ที่แพ็คเกตข้อมูลต้องเดินทางผ่าน ก็ยิ่งหน่วง
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ใช้ Utilities ของ Mac

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. เป็นเครื่องมือที่มีในระบบ ใช้ทดสอบ network and internet latency หรือค่าความหน่วงเวลาเชื่อมต่อเครือข่ายหรืออินเทอร์เน็ต ปกติอยู่ในแอพ Network Utility ของ Mac OSX
    • เปิด Finder แล้วไปที่ Applications
    • เข้าโฟลเดอร์ Utilities
    • หา Network Utility แล้วคลิกไอคอนแอพเพื่อเปิด
  2. network utility ให้คุณทดสอบการเชื่อมต่อได้ทั้งผ่านสาย ethernet, Airport (Wi-Fi), Firewall และ Bluetooth
    • ใน tab Info ให้เลือกการเชื่อมต่อที่ต้องการจากเมนู network interface ที่ขยายลงมา
    • ต้องเลือกการเชื่อมต่อที่ใช้ได้ ถ้ามีการเชื่อมต่ออยู่ จะเห็นรายละเอียดในช่อง hardware address, IP address และ Link Speed โดยช่อง Link Status จะเขียนว่า “Active” (ถ้าไม่ได้เชื่อมต่ออยู่ จะขึ้นเฉพาะข้อมูลในช่อง hardware address ส่วนช่อง Link Status จะเขียนว่า “Inactive”)
  3. Network Utility Ping test ให้คุณใส่ address ของเว็บที่จะ Ping รวมถึงจำนวนครั้งที่จะ Ping ค่า latency ปกติจะต่างกันไปตามชนิดการเชื่อมต่อ คือ 5 - 40 ms (cable modem), 10 - 70 ms (DSL), 100 - 220 ms (dial-up) และ 200 - 600 ms (cellular) [7] ถ้า remote server อยู่ไกล ค่า latency ก็ยิ่งสูง โดยบวกไปอีก 1 ms ต่อทุก 60 ไมล์ (100 กม.) ที่ข้อมูลต้องเดินทางเพิ่มขึ้น [8]
    • เลือก tab Ping ในเมนู Network Utility
    • ใส่ IP address หรือ URL ของเว็บที่จะ Ping อาจจะเริ่มด้วย URL ของค่ายเน็ตก็ได้ แล้วค่อยต่อไปยังเว็บอื่นๆ ที่เข้าบ่อย
    • ใส่จำนวนครั้งที่จะ Ping เว็บนั้น (ค่า default คือ 10)
    • คลิกปุ่ม Ping
    • ติดตามผล พอทดสอบ ping remote server แล้ว จะมีรายงานผลการทดสอบ เลขตัวสุดท้ายหลัง “time =” คือเวลาที่ใช้ (คิดเป็นมิลลิวินาที) ส่งแพ็ตเกตข้อมูลไปยัง remote server แล้วกลับมาที่คอม
  4. ทดสอบ Traceroute [9] . traceroute test ใช้แสดง path หรือเส้นทางที่ข้อมูลเดินทางจากคอมคุณไปยัง remote server รวมถึงความหน่วงที่เกิดระหว่างเส้นทาง เหมาะสำหรับคนที่อยากหาสาเหตุอาการหน่วงของสัญญาณเน็ตหรือการเชื่อมต่อเครือข่าย
    • เลือก tab Traceroute ในเมนู Network Utility
    • ใส่ IP address หรือ URL ของเว็บที่จะ route
    • คลิกปุ่ม Tracerout
    • ติดตามผล พอทดสอบแกะรอย path แล้ว จะแสดงผลแต่ละ address ตามทาง พร้อมเวลาที่ใช้ส่งแพ็คเกตข้อมูล รวมถึงยืนยันการเกิดแต่ละ “hop” ตลอดเส้นทาง ยิ่ง “hop” เยอะ หรือมีหลายอุปกรณ์ที่แพ็คเกตข้อมูลต้องเดินทางผ่าน ก็ยิ่งหน่วง
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 7,157 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา