ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ในอินเทอร์เน็ตมีงานที่ทำจากที่บ้านเต็มไปหมด และหนึ่งในงานที่ทำจากที่บ้านที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็คืองานบันทึกข้อมูล ถ้าคุณมีทักษะด้านการบันทึกข้อมูลและกำลังมองหาวิธีที่จะได้ทำงานจากที่บ้าน ก็มีหลายตัวเลือกทั้งงานฟรีแลนซ์ที่ช่วยเสริมรายได้ และงานประจำที่อาจเป็นขั้นต่อไปในอาชีพการงานของคุณ ในการทำงานที่บ้านนั้นคุณจะต้องเป็นคนที่มีแรงผลักดันในตัวเองและมีระเบียบ แต่ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่เหมาะกับงานแบบนี้ก็ได้

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

หางานบันทึกข้อมูลที่ทำที่บ้าน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หางานบันทึกข้อมูลจากเว็บไซต์โปรเจ็กต์ฟรีแลนซ์ต่างๆ. มีเว็บไซต์ต่างๆ มากมายที่คณสามารถเข้าไปเพื่อทำงานบันทึกข้อมูลแบบฟรีแลนซ์ได้ เว็บไซต์เหล่านี้จะให้งานเป็นโปรเจ็กต์และอาจจะไม่ใช่แหล่งรายได้มั่นคงที่ดีเสมอไป แต่มันก็จะทำให้คุณได้ประสบการณ์ที่อาจจะมีประโยชน์เวลาที่คุณสมัครงานประจำ [1]
    • Fiverr.com มีโปรเจ็กต์เล็กๆ ราคาโปรเจ็กต์ละ 5 ดอลลาร์
    • Flexjobs.com และ Freelancer.com มีโปรเจ็กต์บันทึกข้อมูลที่คุณสามารถทำงานจากที่บ้านได้และมีหลายราคา
  2. ดูให้ดีว่าเว็บไซต์ที่คุณทำงานให้นั้นมีชื่อเสียง. ในอินเทอร์เน็ตมีสแกมต่างๆ มากมายที่พยายามจะฉกฉวยผลประโยชน์จากคนที่มองหางานที่สามารถทำจากที่บ้านได้ เพราะฉะนั้นดูให้ดีว่าคุณแน่ใจได้ว่าบริษัทที่คุณทำงานให้นั้นถูกกฎหมาย เพราะคุณอาจจะต้องให้ข้อมูลส่วนตัวในการรับค่าจ้างจากเขา
    • คุณต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเพื่อให้แน่ใจได้ว่าเขาไม่ได้เป็นพวกสแกม
    • ค้นหาบริษัทในเว็บไซต์ของ Better Business Bureau เพื่อดูว่าเป็นบริษัทที่ถูกกฎหมายหรือเปล่าได้ที่ www.bbb.org.
    • นอกจากนี้เว็บไซต์อย่าง ConsumerFraudReporting.org ก็สามารถช่วยให้คุณระบุบริษัทที่อาจจะเป็นสแกมได้
  3. แม้ว่าเว็บไซต์ที่มีโปรเจ็กต์สำหรับคนทำงานฟรีแลนซ์เป็นวิธีที่ดีในการหารายได้เสริม แต่มันก็ยากที่จะหาเลี้ยงชีพด้วยงานแบบนี้ได้ และยังแทบจะไม่มีสวัสดิการเป็นหลักประกันเลยด้วย เพราะฉะนั้นคุณอาจจะหางานประจำของบริษัทที่อนุญาตให้คุณทำงานบันทึกข้อมูลจากบ้านได้
    • ใช้เว็บไซต์อย่าง Monster.com และ Indeed.com เพื่อมองหางานตำแหน่งบันทึกข้อมูลที่อนุญาตให้พนักงานทำงานทางไกลได้
    • เว็บไซต์อย่าง Craigslist.org ก็เป็นแหล่งหางานที่ดี แต่ให้ศึกษาวิธีการเลี่ยงสแกมใน Craigslist ด้วย
  4. โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มอย่าง LinkedIn เป็นวิธีที่ดีในการหาตำแหน่งงานที่เปิดรับ รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายกับคนที่ทำงานในสาขาที่คุณกำลังหาตำแหน่งงานอยู่ด้วย และอย่าลืมใส่คำว่า “ทำงานทางไกล” หรือ “ทำงานที่บ้าน” เวลาค้นหาด้วย
    • เริ่มจากการสร้างบัญชีผู้ใช้งานของ LinkedIn ก่อน
    • ค้นหาตำแหน่งงานที่รับสมัครและติดต่อคนที่ทำงานในสาขาที่คุณสนใจ เพื่อให้เขาช่วยคุณหางานบันทึกข้อมูลที่กำลังเปิดรับสมัครที่คุณสามารถไปสมัครได้
  5. การคัดกรองผ่านทางโทรศัพท์มักจะเป็นขั้นแรกของกระบวนการสัมภาษณ์ พนักงานฝ่ายบุคคลจะติดต่อมาสัมภาษณ์คุณสั้นๆ ทางโทรศัพท์เพื่อดูว่าคุณมีคุณสมบัติที่จะได้สัมภาษณ์กับผู้จัดการที่ดูแลในฝ่ายงานนั้นโดยตรงหรือเปล่า [2]
    • คิดเสียว่าการคัดกรองทางโทรศัพท์ก็เหมือนกับการสัมภาษณ์อื่นๆ อย่ารับโทรศัพท์ช้า มีมารยาทและเป็นมืออาชีพ และพูดถึงจุดแข็งของคุณในฐานะพนักงานบันทึกข้อมูล รวมทั้งความสามารถในการทำงานโดยไม่ต้องมีหัวหน้าโดยตรงด้วย
    • คุณต้องทำให้ดีที่สุดระหว่างการคัดกรองทางโทรศัพท์
  6. ถ้าคุณทำได้ดีในระหว่างการคัดกรองทางโทรศัพท์ คุณก็น่าจะได้รับโทรศัพท์เพื่อนัดเวลาสัมภาษณ์ และเนื่องจากคุณทำงานที่บ้าน ก็เป็นไปได้ว่าคุณอาจจะต้องเข้ารับการสัมภาษณ์ผ่านทางเว็บไซต์การประชุมทางไกลที่คุณสามารถเห็นหน้าและพูดคุยกับผู้สัมภาษณ์ได้จากที่บ้านของคุณเอง
    • แม้ว่าคุณจะเข้ารับการสัมภาษณ์งานที่บ้าน แต่ให้เลือกเสื้อผ้าและปฏิบัติตัวเหมือนเป็นการสัมภาษณ์แบบต่อหน้า ทำตามหลักการของการสัมภาษณ์งานที่ดีทั่วไป
    • นอกจากนี้คุณก็อาจจะต้องไปสัมภาษณ์งานแบบต่อหน้าด้วย เพราะฉะนั้นอย่าลืมไปให้ตรงเวลาและนำเรซูเม่สัก 2-3 ฉบับติดตัวไปด้วย
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

ทำงานที่บ้านให้ประสบความสำเร็จ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลจากบ้านอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัทที่คุณทำงานและประเภทของข้อมูลที่คุณบันทึก เพราะฉะนั้นก่อนเริ่มงาน คุณต้องแน่ใจว่ามีพื้นที่และคอมพิวเตอร์พร้อมสำหรับการทำงาน
    • ติดตั้งซอฟต์แวร์ที่จำเป็นต้องใช้ในงานบันทึกข้อมูล หลายบริษัทอาจจะใช้เว็บท่าแทนที่จะต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นคุณต้องแน่ใจว่าคุณมีข้อมูลการล็อกอินที่จำเป็นและได้รับการอบรมมาแล้วว่าต้องใช้งานให้ถูกต้องอย่างไร
    • คุณอาจจะต้องสร้างบัญชี PayPal หรือวิธีการรับค่าจ้างจากนายจ้างด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การฝากเงินโดยตรง อย่าลืมพูดคุยกับหัวหน้าหรือผู้จัดการว่าจะมีการจ่ายค่าจ้างอย่างไร และคุณต้องทำอะไรบ้างถึงจะสามารถรับค่าจ้างได้
    • คุณต้องมีโทรศัพท์ เครื่องปรินท์ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ต้องใช้ในการทำงานบันทึกข้อมูล
  2. การทำงานที่บ้านมีข้อดีหลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือการที่คุณสามารถกำหนดตารางเองได้ แต่ถึงแม้ว่ามันจะมีอิสระมากมาย แต่มันก็อาจจะทำให้คุณลุกขึ้นมาเริ่มงานตอนเช้าได้ยากเช่นกัน [3]
    • กำหนดเวลาเริ่มงานทุกๆ เช้าเพื่อไม่ให้ตัวเองผัดวันประกันพรุ่ง
    • กำหนดเวลาเลิกงานในแต่ละวัน การทำงานที่บ้านอาจจะทำให้คุณอยากทำงานนานขึ้นโดยไม่จำเป็นเพราะว่าคุณไม่ต้องออกจากที่ทำงานอยู่แล้ว แต่คุณต้องให้เวลาตัวเองได้พักผ่อนและจัดการภาระหน้าที่อื่นๆ ที่บ้านด้วย
  3. แม้ว่าคุณจะต้องทำตามตารางที่กำหนดไว้ แต่การอนุญาตให้ตัวเองพักในเวลาที่คุณต้องพักก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน อิสระของการทำงานที่บ้านคือการที่คุณสามารถพักได้เมื่อถึงเวลาต้องพัก [4]
    • ในสภาพแวดล้อมการทำงานส่วนใหญ่ คุณจะได้พัก 15 นาที 2 ครั้งและพัก 30 นาที 1 ครั้งต่อการทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ลองกำหนดเวลาพักให้ตัวเองแบบนี้บ้าง
    • การพักสำคัญต่อการรักษาจิตใจให้สดชื่นและชะลออาการเหนื่อยล้า คุณจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากคุณพักเป็นระยะ
  4. คุณอาจจะอยากลุกไปทำงานบ้านหรือดูแลลูกๆ ในชั่วโมงทำงานเพราะว่าคุณอยู่บ้าน แต่มันเป็นการสร้างนิสัยที่ไม่ดี เพราะมันจะไปลดประสิทธิภาพในช่วงวันทำงานลงอย่างมาก และยังเพิ่มความเครียดด้วยเพราะคุณจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองต้องทำทั้งงานและงานบ้านในระยะเวลาเท่าเดิม [5]
    • คิดว่าเวลาทำงานเป็นเวลาที่คุณอยู่ที่ออฟฟิศ คุณต้องทุ่มเทให้กับการทำงานขณะที่คุณอยู่ “ที่” ทำงาน
    • คุณอาจจะให้ลูกไปอยู่เนิร์สเซอร์รีหรือจ้างพี่เลี้ยงเด็กถ้ามี เพื่อที่คุณจะได้มีสมาธิกับการทำงานให้เสร็จ
  5. ฝ่ายบริหารจัดการจะต้องรู้ว่าคุณทำงานอยู่และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในสภาพแวดล้อมของออฟฟิศส่วนใหญ่ คุณจะเห็นหัวหน้าหรือผู้จัดการเป็นประจำตลอดทั้งวัน เพราะฉะนั้นเมื่อทำงานที่บ้านคุณก็ต้องเปิดการสื่อสารกับพวกเขาตลอดทั้งวันด้วยเช่นกัน [6]
    • ถ้าคุณสื่อสารผ่านทางอีเมล คุณต้องเปิดหน้าต่างหรือซอฟต์แวร์อีเมลไว้ด้วย เพื่อให้คุณรู้ตัวเวลาที่ได้รับการติดต่อจากฝ่ายบริหารจัดการ
    • ถ้าคุณพลาดโทรศัพท์หรือข้อความจากหัวหน้า คุณต้องรีบติดต่อเขากลับไปให้เร็วที่สุด
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ประเมินทักษะและอุปกรณ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. งานบันทึกข้อมูลมีคุณสมบัติเฉพาะที่คุณต้องมีเพื่อที่จะได้รับพิจารณาเข้าทำงานเช่นเดียวกับงานอื่นๆ ก่อนที่คุณจะสมัครงานในตำแหน่งพนักงานบันทึกข้อมูล คุณต้องแน่ใจก่อนว่าตัวเองมีชุดทักษะที่เหมาะสม [7]
    • งานบันทึกข้อมูลต้องใช้ความสามารถในการพิมพ์เร็วและถูกต้อง
    • ทักษะคอมพิวเตอร์พื้นฐานเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นของงานบันทึกข้อมูลทางไกล
    • ในการจะได้รับพิจารณาให้ทำงานในตำแหน่งพนักงานบันทึกข้อมูลนั้น นายจ้างมักจะคาดหวังว่าคุณจะต้องเคยใช้เวิร์ด โปรเซสซิ่ง ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลหรือการนำเสนอผลงานอย่าง PowerPoint ด้วย
  2. ในการทำงานที่บ้านนั้นคุณจะต้องจัดการตัวเองได้ดีและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดก็คือ การกำหนดพื้นที่ทำงานในบ้านที่คุณจะไม่ใช้ทำอย่างอื่นนอกจากทำงาน [8]
    • พื้นที่ทำงานของคุณควรจะมีพื้นที่ใหญ่พอที่จะเก็บเอกสารเกี่ยวกับการทำงานไว้ในที่เดียวกันได้อย่างเป็นระเบียบ
    • ถ้าพื้นที่ทำงานของคุณมีความเป็นส่วนตัวปราศจากสิ่งรบกวนหรือสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจก็จะช่วยคุณได้มาก
  3. การสมัครงานในตำแหน่งพนักงานบันทึกข้อมูลที่คุณสามารถทำงานที่บ้านได้ก็ยังต้องใช้เรซูเม่ที่ดูเป็นมืออาชีพ และเรซูเม่มักจะเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะได้รับการสัมภาษณ์ในรอบถัดไปไหม
    • คุณต้องเน้นทักษะที่จำเป็นต่องานบันทึกข้อมูลในเรซูเม่ของคุณ
    • คุณต้องดูให้ดีว่า เรซูเม่ ของคุณเป็นระเบียบและดูเป็นมืออาชีพ
  4. โดยทั่วไปการทำงานที่บ้านนั้นคุณจะต้องเป็นคนเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำงานเอง ซึ่งอุปกรณ์ก็อาจจะต่างกันออกไปแล้วแต่ลักษณะของตำแหน่งงานที่คุณสมัคร แต่โดยทั่วไปอุปกรณ์ที่จำเป็นนั้นได้แก่: [9]
    • คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
    • คู่สายโทรศัพท์ที่คุณใช้ในการโทรศัพท์ที่เกี่ยวกับงานโดยเฉพาะ
    • ซอฟต์แวร์แบบกลุ่มสำหรับออฟฟิศ เช่น Microsoft Office หรือ Apache Open Office
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,119 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา