PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

คุณเคยฝันอยากมีน้ำหอมกลิ่นประจำตัวไหม? หรืออยากมอบของขวัญทำเองสุดพิเศษไม่เหมือนใครให้คนรู้ใจ บอกเลยว่าแค่ออกไปซูเปอร์ คุณก็หาซื้อของมาปรุงน้ำหอมทำมือได้แล้ว น่าสนุกเนอะ!

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

เรียนรู้ศาสตร์การปรุงน้ำหอม

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. การทำน้ำหอม คือการปรุงผสานกลิ่นต่างๆ ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ หรือที่เขาเรียกกันว่า “notes” เวลาคุณฉีดน้ำหอมลงบนผิวกาย คุณจะค่อยๆ ได้กลิ่นน้ำหอมทีละ note ตามลำดับดังต่อไปนี้ [1]
    • Top notes คือกลิ่นแรกที่แตะจมูกคุณ และเป็นกลิ่นที่จะจางหายไปก่อนเพื่อน ปกติก็คือภายใน 10 - 15 นาที [2]
    • Middle notes จะปรากฏหลัง top notes จางไป นี่แหละ "แก่น" ของน้ำหอมของคุณ ซึ่งก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ว่าน้ำหอมนั้นจัดอยู่ในตระกูลไหน เช่น เป็นน้ำหอมแบบ oriental (ออกแนวเครื่องเทศ), woody (โทนอุ่น), fresh (เบาๆ ใสๆ) หรือ floral (เน้นกลิ่นดอกไม้) [3]
    • Base notes ช่วยเสริมเติมแต่ง middle notes ให้ยิ่งโดดเด่น นับเป็น "ธีมหลัก" หรือฐานของน้ำหอม เป็นกลิ่นสุดท้ายที่จะคงอยู่ ติดผิวของคุณอีก 4 - 5 ชั่วโมง [4]
  2. ลองศึกษาทำความคุ้นเคยกับ top notes ที่นิยมใช้ทำน้ำหอมดู. top notes หลักๆ ของน้ำหอมสมัยนี้ก็เช่น โหระพา (basil), มะกรูด (bergamot), เกรปฟรุต, ลาเวนเดอร์, มะนาว (ทั้งมะนาวเหลือง (lemon) และเขียว (lime)), มินต์, ดอกส้ม (neroli), โรสแมรี่ แล้วก็ส้มเกลี้ยง (sweet orange) [5]
  3. ลองศึกษาทำความคุ้นเคยกับ middle notes ที่นิยมใช้ทำน้ำหอมดู. นั่นก็คือ พริกไทยดำ, กระวานเทศ (cardamom), คาโมมายล์ (chamomile), อบเชย (cinnamon), กานพลู (clove), ใบต้นเฟอร์ (fir needle), มะลิ, สนจูนิเปอร์ (juniper), ตะไคร้ (lemongrass), ดอกส้ม (neroli), จันทน์เทศ (nutmeg), กุหลาบ, ไม้โรสวู้ด (rosewood) แล้วก็กระดังงา (ylang-ylang) [6]
  4. ลองศึกษาทำความคุ้นเคยกับ base notes ที่นิยมใช้ทำน้ำหอมดู. เช่น ไม้สนซีดาร์ (cedarwood), สนไซเปรส (cypress), ขิง, พิมเสน (patchouli), สน (pine), ไม้จันทน์ (sandalwood), วานิลลา แล้วก็หญ้าแฝก (vetiver) [7]
  5. เวลาคุณปรุงน้ำหอม ให้ใส่ base notes ก่อน จากนั้น middle notes แล้วปิดท้ายด้วย top notes สัดส่วนที่แนะนำในการผสม notes ต่างๆ ของน้ำหอมก็คือ top notes 30%, middle notes 50% แล้วก็ base notes 20%
    • "สุคนธกร" หรือนักปรุงน้ำหอมบางคนแนะนำให้ผสม dominant notes หรือโน้ตหลักของน้ำหอมไม่เกิน 3-4 กลิ่นเท่านั้น [8]
  6. ถ้าอยากได้น้ำหอม คุณต้องมีมากกว่าแค่ top, middle แล้วก็ base notes มีอะไรบางอย่างที่จะช่วยแต่งเติมกลิ่นให้น้ำหอมของคุณ
    • ขั้นตอนการปรุงน้ำหอมนั้นเริ่มจาก carrier oil คือน้ำมันกระสายยา หรือน้ำมันตัวพา ซึ่งที่นิยมกันก็คือโจโจ้บาออยล์ (jojoba oil), น้ำมันสวีทอัลมอนด์ (sweet almond oil) แล้วก็น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น (grape seed oil)
    • ต่อมาก็ต้องค่อยๆ หยด base, middle แล้วก็ top notes ลงไปใน carrier oil
    • สุดท้ายคือสารที่จะช่วยประสานทุกส่วนผสมเข้าด้วยกัน ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือแอลกอฮอล์นี่แหละ เพราะระเหยเร็วแถมช่วยกระจาย notes ต่างๆ ของน้ำหอมด้วย [9] แต่เหล่านักปรุงน้ำหอมทำมือก็นิยมใช้วอดก้าคุณภาพสูง 80 - 100 proof (คือมีปริมาณแอลกอฮอล์ 40% - 50%)
    • ถ้าคุณอยากทำน้ำหอมแห้ง (solid perfume) แบบตลับไว้ทาแต้มตามจุดต่างๆ เหมือนลิปบาล์ม ให้เปลี่ยนขี้ผึ้งเหลวเป็นสารยึดเกาะแทนแอลกอฮอล์หรือน้ำ
  7. ถ้าไม่แน่ใจว่าจะผสมกลิ่นอะไรยังไงดี ให้ลองสำรวจว่าน้ำหอมดังๆ ที่คุณชอบนั้นประกอบไปด้วยกลิ่นอะไรบ้าง
    • แต่ถ้าเช็คส่วนผสมหรือแยกเป็น notes ได้ยาก ลองเข้าเว็บ Basenotes ดู นี่แหละสุดยอดเว็บที่รวบรวมข้อมูล notes ต่างๆ ของน้ำหอมดังระดับโลกไว้ [10]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

รวบรวมวัตถุดิบและอุปกรณ์

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. หลายคนแนะนำให้ใช้ขวดแก้วสีชาหรือสีเข้ม เพราะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหอมโดนแสงไฟหรือแสงแดด จะได้ยืดอายุน้ำหอม
    • ต้องเช็คให้ชัวร์ว่าขวดแก้วของคุณไม่เคยเอาไปใส่อาหารมาก่อน เพราะกลิ่นที่ตกค้างแม้แต่นิดเดียวอาจทำน้ำหอมคุณกลิ่นเพี้ยนไปเลย
    • ยกเว้นคุณอยากให้กลิ่นเดิมที่ติดขวดเป็นส่วนหนึ่งของกลิ่นน้ำหอม (คำเตือน: "เนยถั่ว ผสมเนย ผสมกล้วยหอม บวกช็อคโกแลต" ปกติหอมน่ากิน แต่จะหอมน่าใช้เป็นน้ำหอมหรือเปล่านี่สิ!)
  2. น้ำมันตัวพานี่แหละคือสารที่จะทำให้กลิ่นน้ำหอมติดบนตัวคุณ ปกติจะไม่มีกลิ่นในตัวเอง และใช้ทำละลายหัวน้ำหอมกับสารประกอบอะโรมาติกไม่ให้เข้มข้นจนระคายเคืองผิว
    • carrier oil ของคุณจริงๆ แล้วจะเป็นอะไรก็ได้ ใช้น้ำมันมะกอกยังได้ ถ้าไม่ฉุนไปสำหรับคุณนะ
    • สุคนธกรผู้โด่งดังคนหนึ่ง ใช้วิธีหมักกลีบกุหลาบในน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ จากนั้นผสมกับน้ำมันจากวิตามินอีเพื่อคงสภาพน้ำหอมไว้ [11]
  3. อย่างที่บอกไป นักปรุงน้ำหอมทำมือเขานิยมใช้วอดก้าคุณภาพสูง 80 - 100 proof (คือมีปริมาณแอลกอฮอล์ 40% - 50%) กัน แต่บางคนก็ใช้แอลกอฮอล์ 190 proof (ปริมาณแอลกอฮอล์ 80%) แทน
    • แอลกอฮอล์ 190 proof ที่ว่าก็เช่น เหล้าองุ่นออร์แกนิกแบบนิวทรัล (ไม่มีสี กลิ่น รส) กับ Everclear แบบหมักจากธัญพืชที่ถูกกว่าเยอะเลย [12]
  4. คุณทำน้ำหอมได้จากส่วนผสมมากมายหลากหลายเกินจินตนาการ หัวน้ำหอมหลักๆ ก็ได้มาจากน้ำมันหอมระเหย (essential oil) กลีบดอกไม้ ใบไม้ แล้วก็สมุนไพรต่างๆ
  5. วิธีการปรุงน้ำหอมนั้นก็แตกต่างกันไปตามส่วนผสมที่เลือกใช้ โดยหัวน้ำหอมหลักๆ มี 2 ชนิดด้วยกัน คือส่วนต่างๆ ของพืช (ดอกไม้ ใบไม้ และสมุนไพร) กับน้ำมันหอมระเหย (essential oil) ซึ่ง 2 ชนิดนี้จะมีวิธีการปรุงต่างกัน
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

ทำน้ำหอมจากดอกไม้ใบไม้สดหรือสมุนไพร

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. จริงๆ แล้วภาชนะที่ใช้ไม่สำคัญเท่าประเภทส่วนผสม ขอแค่ภาชนะที่เลือกนั้น 1. สะอาด 2. ทำจากแก้ว นอกจากนี้ภาชนะที่ว่าต้องมีฝาปิดสนิทด้วย
    • สุคนธกรหรือนักปรุงน้ำหอมทั่วไปเขาแนะนำให้ใช้ขวดแก้วสีชา เพราะป้องกันแสงแดด ช่วยยืดอายุให้น้ำหอมได้
    • อย่าใช้ขวดหรือภาชนะที่เคยใช้ใส่อาหารมาก่อน ถึงล้างสะอาดแล้วก็ไม่ได้ เพราะอาจมีกลิ่นตกค้าง
  2. ที่นิยมใช้ทำน้ำหอมกันก็คือโจโจ้บาออยล์ (jojoba oil), น้ำมันอัลมอนด์ (almond oil) แล้วก็น้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น (grape seed oil)
  3. ให้คุณเก็บส่วนต่างๆ ของพืชที่ว่าตอนที่กลิ่นยังแรงและใบแห้งแล้ว ถ้าทิ้งไว้นานกว่านั้นจะทำให้เฉา กลิ่นจางลง [13]
    • อาจต้องเก็บดอกไม้ใบไม้ต่างๆ ที่จะมาตากแห้งเยอะกว่าที่จะใช้จริงหน่อย เผื่ออยากเพิ่มความเข้มข้นของกลิ่นทีหลังไงล่ะ
  4. อย่างถ้าจะใช้ดอกไม้ ก็ให้เด็ดมาแต่กลีบ ถ้าเป็นใบไม้หรือสมุนไพรต่างๆ ก็ต้องเด็ดกิ่งหรือส่วนอื่นๆ ที่จะมารบกวนกลิ่นออก
  5. จริงๆ จะไม่ทำก็ได้ แต่ถ้าทำก็ช่วยดึงกลิ่นออกมามากขึ้นอีกหน่อย อาจจะใช้ช้อนไม้บี้ใบไม้ดอกไม้เบาๆ ก็ได้
  6. แค่นิดเดียวเท่านั้น ให้พอเคลือบขวดและท่วมกลีบดอก/ใบไม้/สมุนไพร
  7. เช็คให้ชัวร์ว่าปิดฝาสนิทแล้ว
  8. ทิ้งส่วนผสมไว้ในขวดแบบนั้น 1 - 2 อาทิตย์ ในที่มืดๆ และอากาศเย็น.
  9. ถ้าผ่านไป 1 - 2 อาทิตย์แล้วน้ำมันกลิ่นไม่แรงตามต้องการ ให้กรองเอาใบไม้ดอกไม้เก่าออก แล้วใส่ส่วนผสมชุดใหม่เข้าไปในน้ำมัน แล้วทิ้งขวดไว้อีกรอบ
    • คุณทิ้งไว้ต่อได้อีกหลายอาทิตย์หรือเป็นเดือนๆ ก็ได้ จนกว่าน้ำมันจะเข้มข้นกลิ่นแรงตามต้องการ
    • น้ำมันเก่าห้ามเททิ้งนะ! ที่ต้องกรองออกคือใบไม้ดอกไม้เก่าต่างหาก
  10. พอได้ที่สมใจแล้ว ให้ใส่สารกันบูดตามธรรมชาติอย่างวิตามินอีหรือสารสกัดจากเมล็ดองุ่นลงไป 1 - 2 หยด เพื่อยืดอายุน้ำมันหอมของคุณ [14]
    • ถ้าอยากทำบาล์มจากน้ำมันหอม ก็ให้ใส่ขี้ผึ้งลงไป โดยละลายขี้ผึ้งในไมโครเวฟก่อน แล้วเอาไปผสมกับน้ำหอม สุดท้ายก็เทลงภาชนะ (ตลับ) แล้วรอจนเย็นให้แข็งตัว
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

ทำน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหย

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ที่ต้องใช้ก็มี
    • น้ำมันตัวพา 2 ช้อนโต๊ะ (เช่น โจโจ้บาออยล์, น้ำมันอัลมอนด์ หรือน้ำมันเมล็ดองุ่นสกัดเย็น)
    • แอลกอฮอล์ 100 - 190 proof 6 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำดื่มบรรจุขวด 2.5 ช้อนโต๊ะ (ห้ามใช้น้ำก๊อก)
    • น้ำมันหอมระเหย 30 หยด (base, middle และ top อย่างน้อยอย่างละ 1)
    • ที่กรองกาแฟ
    • กรวยกรอกน้ำ
    • ขวดแก้วสะอาด 2 ขวด (หรือภาชนะอื่นที่ทำจากแก้วและมีฝาปิดสนิท)
  2. ทั้งหมดประมาณ 30 หยด เริ่มจาก base notes ตามด้วย middle notes แล้วปิดท้ายด้วย top notes สัดส่วนที่แนะนำคือ base 20%, middle 50% แล้วก็ top 30%
    • ระวังกลิ่นที่คุณใช้ปรุงให้ดี ถ้ากลิ่นหนึ่งแรงกว่ากลิ่นอื่นๆ มาก ก็ให้เติมน้อยหน่อย จะได้ไม่ไปกลบกลิ่นอื่นซะหมด
  3. ต้องใช้แอลกอฮอล์คุณภาพสูงที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงตามไปด้วย วอดก้านี่แหละที่นิยมกันในหมู่นักปรุงน้ำหอมทำมือ
  4. ปิดฝาให้สนิทแล้วบ่มไว้อย่างน้อย 48 ชั่วโมง หรือจะนานเป็น 6 อาทิตย์ก็ยังได้ ซึ่งจะเป็นตอนที่กลิ่นกำลังแรงได้ที่เลย
    • หมั่นเช็คกลิ่นเป็นระยะ ว่าไปถึงไหนแล้ว
  5. พอได้กลิ่นที่ต้องการแล้ว ก็ให้เติมน้ำสะอาดจากขวด 2 ช้อนโต๊ะลงไปในน้ำหอม
  6. เขย่าขวดน้ำหอมแรงๆ 1 นาที ให้แน่ใจว่าผสมเข้ากันดีแล้ว
  7. ใช้ที่กรองกาแฟกับกรวยกรอกน้ำหอมลงในขวดแก้วสีชาสะอาดเอี่ยม หรือขวดหรูๆ หน่อยถ้าจะให้เป็นของขวัญของฝาก
    • อาจจะติดฉลากบอกส่วนผสมกับวันที่ผลิตไปด้วยก็ได้ จะได้ดูว่าหมดอายุหรือกลิ่นเปลี่ยนเมื่อไหร่ ต่อไปจะได้รู้ควรทำมากน้อยแค่ไหน
  8. ถ้าอยากทำน้ำหอมแห้ง (solid perfume) คือใช้ทาเหมือนลิปบาล์ม แทนที่จะฉีดพ่นเหมือนน้ำหอมทั่วไป ก็ให้เปลี่ยนน้ำเป็นขี้ผึ้งเหลวแทน ให้คุณเติมขี้ผึ้งเหลวลงในน้ำหอม แล้วเทส่วนผสมที่กำลังร้อนลงในตลับหรือภาชนะอื่น พอเย็นก็จะแข็งตัวเอง
    • ถ้าแถวบ้านหาซื้อขี้ผึ้งยาก ก็ลองหาซื้อจากในเน็ตแทน เลือกที่คุณภาพดีหน่อย
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อย่าโลภใส่กลิ่นแรงหรือหลายกลิ่นเกินไป ให้ค่อยๆ สำรวจไปทีละกลิ่น ว่าชอบกลิ่นไหน และกลิ่นจะไปด้วยกันได้ไหม ถ้ามีหลาย notes เกิน ระวังน้ำหอมจะพัง
  • เวลาล้างขวดแก้ว ให้ล้างในน้ำร้อนที่สุดเท่าที่จะร้อนได้ จากนั้นเอาใส่ถาด แล้วอบแห้งในเตาอบที่อุณหภูมิ 110 องศา
  • อาจจะลองเลียนกลิ่นอาหารหรือเครื่องดื่มที่ชอบก็ได้ เช่น ทำน้ำหอมกลิ่นชา chai โดยใช้น้ำมันซินนามอน น้ำมันส้มเกลี้ยง น้ำมันกานพลู แล้วก็น้ำมันกระวานเทศ [15] อีกกลิ่นที่น่าลองก็คือพายฟักทอง โดยใช้น้ำมันหอมระเหยอย่างน้ำมันซินนามอน กานพลู ขิง จันทน์เทศ วานิลลา แล้วก็ส้ม
โฆษณา

คำเตือน

  • ระวังอย่าใช้น้ำผลไม้ปรุงน้ำหอม เพราะอาจทำน้ำหอมคุณข้นเป็นก้อนหรือมีกลิ่นหืนได้ นอกจากนี้ มะนาวเหลือง (เลม่อน) ก็มีคุณสมบัติไวต่อแสง (phototoxic) แปลว่าถ้าคุณเอาอะไรที่มีส่วนผสมของน้ำมะนาวไปทาผิว ผิวก็จะไหม้ง่ายเวลาโดนแสงแดด
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 203,990 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา