ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การทำน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหยมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากและสามารถทำได้โดยใช้น้ำมันหอมระเหยเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น คุณสามารถทำน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณเองได้ง่ายๆ สำหรับใช้เองหรือมอบเป็นของขวัญสุดพิเศษ ลองไปที่ร้านค้าใกล้บ้านเพื่อทดสอบน้ำมันหอมระเหยชนิดต่างๆ และมองหากลิ่นที่คุณชื่นชอบมากที่สุด นอกจากนี้การทำน้ำหอมด้วยตัวเองที่บ้านยังช่วยให้คุณสามารถควบคุมส่วนผสมและคุณภาพของน้ำหอมของคุณได้อีกด้วย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 2:

เรียนรู้หลักพื้นฐาน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เมื่อต้องการทำน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหย คุณจะต้องเติมน้ำมันหอมระเหยลงไปตามระดับ (Note) ที่ถูกต้อง โดยเริ่มจากระดับเบสโน้ต (Base note) ตามด้วยระดับมิดเดิลโน้ต (Middle note) และระดับท็อปโน้ต (Top note) ตามลำดับ ท็อปโน้ตคือระดับกลิ่นของน้ำหอมที่คุณจะได้กลิ่นเป็นอันดับแรกก่อนที่จมูกของคุณจะค่อยๆ ได้กลิ่นอื่นๆ ตามมา ด้วยเหตุนี้การเรียงลำดับการเติมน้ำมันหอมระเหยอย่างถูกต้องจึงถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง [1]
    • ท็อปโน้ตคือกลิ่นที่ระเหยส่งกลิ่นออกมาเป็นตัวแรกก่อนเริ่มจางลงอย่างรวดเร็ว มิดเดิลโน้ตคือกลิ่นหลักซึ่งถือเป็น “หัวใจสำคัญ” ที่ช่วยให้น้ำหอมของคุณมีกลิ่นหอมที่อบอุ่นและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นและสามารถติดทนนานหลายชั่วโมง เบสโน้ตคือกลิ่นที่จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาเมื่อเวลาผ่านไปและจมูกของคุณอาจไม่ได้กลิ่นในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม กลิ่นของเบสโน้ตจะยังคงอยู่หลังจากที่กลิ่นอื่นๆ ก่อนหน้านี้จางหายไปแล้ว โดยส่วนใหญ่แล้วกลิ่นสำหรับเบสโน้ตมักเป็นกลิ่นที่มีความหอมสดชื่นอย่างกลิ่นไม้สน มัสค์ กานพลู ไม้ซีดาร์ หรือไม้จันทน์ เป็นต้น
  2. เก็บรักษาน้ำหอมของคุณให้มีสภาพคงเดิมด้วยการเลือกใช้ขวดน้ำหอมสีเข้มซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหอมสัมผัสถูกแสงภายนอกได้ เขย่าขวดทุกครั้งก่อนนำไปใช้เพื่อให้กลิ่นหอมทั้งหมดผสมเข้ากันดีและเก็บให้พ้นจากบริเวณที่มีแสงแดดส่องโดยตรง
    • คุณยังสามารถเลือกใช้ขวดพร้อมหัวลูกกลิ้งซึ่งเหมาะสำหรับการบรรจุน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหยที่มักมีความเข้มข้นสูงกว่าน้ำหอมทั่วไปจนฉีดพ่นลงบนผิวได้ค่อนข้างยาก
  3. แม้ว่าน้ำหอมที่ทำเสร็จแล้วจะสามารถนำไปใช้ได้เลยทันที แต่แนะนำให้คุณทิ้งน้ำหอมไว้สักพักเพื่อให้กลิ่นหอมทั้งหมดผสมรวมกันดีก่อนนำไปใช้ ซึ่งหากคุณเลือกนำน้ำหอมไปใช้โดยทันที กลิ่นของน้ำหอมที่ได้อาจเบาบางลงและน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดอาจยังไม่ผสมรวมกันดีจนเกิดเป็นกลิ่นหอมเพียงหนึ่งเดียว ด้วยเหตุนี้การทิ้งน้ำหอมไว้สักพักจึงเป็นขั้นตอนที่เป็นประโยชน์ที่จะช่วยให้น้ำหอมของคุณมีกลิ่นหอมสมบูรณ์ตามที่คุณต้องการ [2]
    • น้ำหอมที่ทำจากน้ำมันหอมระเหยอาจมีกลิ่นที่หอมถูกใจในทีแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดอาจผสมรวมกันจนเกิดเป็นกลิ่นที่ไม่น่าดึงดูดมากเท่าไรนัก การทิ้งน้ำหอมไว้สักพักจะช่วยให้คุณทราบว่าน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดที่นำมาผสมรวมกันนั้นจะมีกลิ่นออกมาเป็นอย่างไร
  4. แม้ว่าน้ำหอมโดยทั่วไปจะติดบนผิวได้ทนนานกว่า แต่ข้อดีหนึ่งของน้ำมันหอมระเหยคือการสกัดจากธรรมชาติแท้ 100% จึงไม่มีการปนเปื้อนของสารเคมีที่อาจพบได้ในน้ำหอมที่วางขายตามท้องตลาด ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติและปราศจากสารเคมี น้ำมันหอมระเหยนับเป็นตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสมสำหรับคุณ นอกจากนี้ การทำน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหยยังช่วยให้คุณสามารถสร้างสรรค์กลิ่นหอมได้หลากหลายตามความต้องการของคุณอีกด้วย [3]
    • น้ำมันหอมระเหยยังเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือมีอาการแพ้เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์น้ำหอม เนื่องจากน้ำมันหอมระเหยเป็นสารสกัดที่ได้มาจากธรรมชาติและสามารถนำมาผสมผสานเป็นกลิ่นต่างๆ ตามความต้องการของคุณได้โดยที่ยังคงมีความอ่อนโยนต่อผิวของคุณมากกว่าน้ำหอมที่วางขายตามท้องตลาด
    • น้ำหอมที่วางขายตามท้องตลาดโดยส่วนใหญ่มักมีส่วนประกอบของสารกันเสียและสารเคมีอื่นๆ เพื่อช่วยให้กลิ่นหอมติดทนนานยิ่งขึ้น ในขณะที่น้ำมันหอมระเหยซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติอาจติดไม่ทนนานเท่าและจางหายได้เร็วกว่า อย่างไรก็ตาม คุณสามารถเติมสารตรึงกลิ่นหรือสารกันเสียจากธรรมชาติเพิ่มลงไป 1-2 หยดหากคุณต้องการให้กลิ่นของน้ำหอมติดทนนานยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สารเหล่านี้มักมีกลิ่นฉุนอย่างรุนแรง ดังนั้นคุณจึงควรเพิ่มลงไปเพียงไม่กี่หยดและหลีกเลี่ยงการใช้ในปริมาณมากหรือบ่อยครั้งจนเกินไป
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 2:

เริ่มต้นทำน้ำหอม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. Watermark wikiHow to ทำน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหย
    เริ่มต้นจากการเติมน้ำมันหอมระเหยสำหรับกลิ่นในระดับเบสโน้ตลงไปเป็นอันดับแรก ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วกลิ่นในระดับเบสโน้ตมักใช้เป็นกลิ่นหอมอบอุ่นนุ่มลึกที่หอมติดทนนานและมีอัตราส่วน 5-20% ของกลิ่นทั้งหมด (สามารถปรับเปลี่ยนได้) อย่างไรก็ตาม บางคนอาจเลือกใช้กลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยชนิดอื่นๆ อย่างเมล็ดองุ่นหรือสวีทอัลมอนด์แทน การเลือกน้ำมันหอมระเหยสำหรับเป็นเบสโน้ตขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละคนและคุณอาจทดลองกลิ่นต่างๆ เพื่อค้นหากลิ่นที่เหมาะกับคุณมากที่สุด แต่หากคุณยังคงไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นอย่างไร คุณสามารถลองทำตามสูตรดังต่อไปนี้: [4]
    • สำหรับน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า ให้คุณเติมน้ำมันเกรปฟรุต 17 หยด [5]
    • สำหรับน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมหวานและนุ่มละมุนจากดอกไม้ ให้คุณเติมน้ำมันกุหลาบ 25 หยด
    • สำหรับน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมเย้ายวนและอบอุ่นนุ่มลึก ให้คุณเติมน้ำมันส้มหวาน 20 หยด
  2. Watermark wikiHow to ทำน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหย
    มิดเดิลโน้ตถือเป็นกลิ่นหลักของน้ำหอมของคุณซึ่งจะปรากฏขึ้นหลังจากที่กลิ่นในระดับท็อปโน้ตจางหายไปแล้ว หลายคนมักเลือกใช้กลิ่นหอมนุ่มละมุนจากดอกไม้สำหรับกลิ่นในระดับมิดเดิลโน้ต แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละคนเหมือนเคย โดยส่วนใหญ่แล้วกลิ่นในระดับมิดเดิลจะมีอัตราส่วนที่มากที่สุดถึง 50-80% ของกลิ่นทั้งหมด แต่อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของแต่ละคน ลองทำตามสูตรดังต่อไปนี้ภายหลังจากขั้นตอนก่อนหน้านี้: [6]
    • สำหรับน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า ให้คุณเติมน้ำมันขิง 14 หยด [7]
    • สำหรับน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมหวานและนุ่มละมุนจากดอกไม้ ให้คุณเติมน้ำมันมะนาว 10 หยด
    • สำหรับน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมเย้ายวนและอบอุ่นนุ่มลึก ให้คุณเติมน้ำมันดอกกระดังงา 15 หยด น้ำมันดอกกระดังงาเป็นน้ำมันที่สกัดได้จากต้นกระดังงาและเป็นดอกไม้ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของกลิ่นหอม
  3. Watermark wikiHow to ทำน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหย
    เติมน้ำมันหอมระเหยส่วนสุดท้ายสำหรับกลิ่นในระดับท็อปโน้ตซึ่งเป็นกลิ่นที่จมูกของคุณจะได้กลิ่นเป็นตัวแรกเมื่อเปิดขวดน้ำหอมแต่จะจางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว กลิ่นในระดับท็อปโน้ตมักมีอัตราส่วนอยู่ที่ 5-20% แต่คุณสามารถปรับเพิ่มหรือลดปริมาณได้ตามต้องการ หลายคนนิยมเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นหอมสดใสจากผลไม้ กลิ่นหอมเย็นจากมินต์ หรือกลิ่นหอมชวนสดชื่นสำหรับเป็นกลิ่นในระดับท็อปโน้ต หากยังคงไม่แน่ใจว่าจะเลือกใช้กลิ่นใด คุณสามารถทดลองกลิ่นต่างๆ เพื่อค้นหากลิ่นที่เหมาะกับคุณมากที่สุด หรือจะลองทำตามสูตรดังต่อไปนี้ก็ได้เช่นกัน: [8]
    • สำหรับน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า ให้คุณเติมน้ำมันหญ้าแฝก 10 หยด หญ้าแฝกมีต้นกำเนิดจากประเทศอินเดียและนิยมใช้ทำเป็นน้ำเชื่อมเข้มข้นสำหรับแต่งกลิ่นรสอาหาร น้ำมันหญ้าแฝกยังมีคุณสมบัติในการตรึงกลิ่น จึงช่วยให้กลิ่นของน้ำหอมติดทนนานยิ่งขึ้น [9]
    • สำหรับน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมหวานและนุ่มละมุนจากดอกไม้ ให้คุณเติมน้ำมันหญ้าแฝก 10 หยด
    • สำหรับน้ำหอมที่มีกลิ่นหอมเย้ายวนและอบอุ่นนุ่มลึก ให้คุณเติมน้ำมันไม้ซีดาร์ 10 หยด
  4. หากการผสมกลิ่นจากน้ำมันหอมระเหยชนิดต่างๆ ตามสูตรด้านบนยังคงไม่เป็นที่ถูกใจของคุณ คุณอาจเริ่มต้นทดลองกลิ่นต่างๆ ด้วยตัวเองก็ได้เช่นกัน ลองเลือกใช้น้ำมันหอมระเหยหลากหลายชนิดมาผสมผสานกันเพื่อค้นหากลิ่นที่เหมาะกับคุณมากที่สุด
    • หากคุณชื่นชอบกลิ่นหอมอบอุ่นจากไม้ ลองเลือกใช้กลิ่นวานิลลา ไม้จันทน์ หรือสวีทอัลมอนด์ หรือหากคุณชื่นชอบกลิ่นหอมนุ่มละมุนจากดอกไม้ ลองเลือกใช้กลิ่นลาเวนเดอร์ ดอกกระดังงา หรือเมล็ดองุ่น และหากคุณชื่นชอบกลิ่นหอมสดใสจากผลไม้ ลองเลือกใช้กลิ่นเลมอน ส้มหวาน และส้มจีน
    • หากคุณผสมน้ำมันหอมระเหยจนได้กลิ่นที่ถูกใจแต่กลับแย่ลงหลังจากเติมน้ำมันหอมระเหยอีกกลิ่นหนึ่งเพิ่มลงไป คุณสามารถแก้ไขได้ด้วยการเติมน้ำมันส้มลงไปหยดหนึ่งเพื่อช่วยดับกลิ่นที่ไม่ต้องการให้หายไป [10]
  5. Watermark wikiHow to ทำน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหย
    เติมแอลกอฮอล์ลงไปเพื่อให้กลิ่นหอมติดทนนานยิ่งขึ้น. แม้ว่าขั้นตอนนี้จะไม่ใช่ขั้นตอนบังคับ แต่การเติมแอลกอฮอล์เพิ่มลงไปสามารถช่วยให้กลิ่นหอมจากน้ำหอมติดทนนานยิ่งขึ้น เลือกปริมาณแอลกอฮอล์ให้เหมาะสมตามขนาดของขวดสำหรับบรรจุน้ำหอม ยกตัวอย่างเช่น หากคุณใช้น้ำมันหอมระเหยประมาณ 60 หยด ให้คุณเติมแอลกอฮอล์เพิ่มลงไป 3-4 ออนซ์ หรือหากคุณใช้น้ำมันหอมระเหยเพียง 20-30 หยด คุณอาจเติมแอลกอฮอล์เพิ่มลงไปเพียง 1-2 ออนซ์ [11]
    • คุณสามารถเลือกใช้แอลกอฮอล์ประเภทใดก็ได้ ซึ่งแอลกอฮอล์ที่คุณเลือกใช้จะต้องไม่ทำให้กลิ่นของน้ำหอมผิดเพี้ยนไป หลายคนนิยมเลือกใช้วอดก้าซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ที่แทบไม่มีรสชาติใดๆ ในขณะที่บางคนอาจเลือกใช้สไปซ์รัมที่มีกลิ่นเครื่องเทศเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากคุณยังคงไม่แน่ใจ ควรเริ่มต้นจากการเลือกใช้แอลกอฮอล์ที่มีรสชาติเพียงเล็กน้อยก่อนเป็นอันดับแรก
  6. Watermark wikiHow to ทำน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหย
    หลังจากเติมส่วนผสมสำหรับน้ำหอมของคุณลงไปจนครบถ้วนแล้ว ให้คุณเขย่าขวดเพื่อให้กลิ่นหอมจากน้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดผสมเข้าด้วยกัน และหากคุณไม่จำเป็นต้องรีบร้อนที่จะใช้น้ำหอมโดยทันที ให้คุณตั้งทิ้งไว้สัก 1 เดือนก่อนเริ่มต้นนำไปใช้เพื่อให้กลิ่นหอมมีความชัดเจนยิ่งขึ้นและกลิ่นของแอลกอฮอล์จางหายไป [12]
  7. Watermark wikiHow to ทำน้ำหอมจากน้ำมันหอมระเหย
    คุณยังสามารถเลือกทำเป็นน้ำหอมแห้งได้เช่นกันโดยใช้ขี้ผึ้งและน้ำมันโจโจ้บา บางคนอาจเข้าใจว่าน้ำมันโจโจ้บาสามารถใช้ได้เฉพาะในการทำน้ำหอมแบบปกติเท่านั้น แต่โดยทั่วไปแล้วน้ำมันโจโจ้บาสามารถแข็งตัวได้เมื่อสัมผัสถูกความเย็น จึงเป็นวัตถุดิบที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำน้ำหอมแห้ง [13]
    • คุณอาจลองทำน้ำหอมแห้งตามสูตรดังนี้: ขี้ผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมันโจโจ้บา 4 ช้อนโต๊ะ น้ำมันไม้จันทน์ 27-32 หยด น้ำมันวานิลลา 27-32 หยด น้ำมันเกรปฟรุต 25-30 หยด และน้ำมันมะกรูด 20-25 หยด
    • เริ่มจากขูดขี้ผึ้งเป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปละลายในหม้อต้มด้วยไฟอ่อน จากนั้นเติมน้ำมันโจโจ้บาลงไปและคนให้ส่วนผสมเข้ากันดี ทิ้งไว้สักพักให้เย็นลงจนมีอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 50 องศาเซลเซียสแล้วจึงเติมน้ำมันหอมระเหยส่วนที่เหลือลงไปผสมเข้าด้วยกัน บรรจุลงในขวดโหลใบเล็กหรือปลอกลิปบาล์มให้เรียบร้อย
    โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • น้ำมันหอมระเหยที่คุณชื่นชอบ (ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับเบสโน้ต มิดเดิลโน้ต และท็อปโน้ต)
  • แอลกอฮอล์ 1-4 ออนซ์
  • ขวดแก้วสีเข้มหรือขวดพร้อมหัวลูกกลิ้ง

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 18,675 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา