ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

เนื่องจากแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ แมวจึงจำเป็นต้องกินเนื้อสัตว์และหลีกเลี่ยงอาหารที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรตที่แมวไม่สามารถย่อยได้ [1] การเลี้ยงแมวโดยให้อาหารแบบผิดๆ นั้นจะทำให้แมวมีปัญหาสุขภาพและทำให้แมวอายุสั้นลง การทำอาหารให้แมวเองเป็นวิธีที่ดีที่จะมอบโปรตีนที่แมวต้องการ และก็ยังเป็นงานอดิเรกสนุกๆ ด้วย สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้คือสารอาหารที่จำเป็นต่อแมวและการทำอาหารแบบต่างๆ ที่จะทำให้แมวได้รับสารอาหารดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 2:

ทำความเข้าใจว่าถึงสารอาหารที่แมวต้องการ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. สารอาหารที่แมวต้องการนั้นแตกต่างกับมนุษย์อย่างมาก ดังนั้นจึงต้องเอาใจใส่และวางแผนเกี่ยวกับอาหารของแมว แมวต้องการอาหารที่มีโปรตีนและไขมันสูง ในความเป็นจริงแล้วแมวต้องการโปรตีนมากกว่าสุนัขถึงสองเท่า [2]
    • แมวต้องการเนื้อสัตว์ ไขมัน เครื่องใน และกระดูก ถึง 85 เปอร์เซนต์และต้องการผัก สมุนไพร และไฟเบอร์หยาบๆ เพียงแค่ 15 เปอร์เซนต์เท่านั้นในการกินอาหาร [3]
  2. อาหารที่ดีต่อสุขภาพของแมวนั้นมีดังต่อไปนี้ [4] น้ำสะอาด (มีตั้งไว้ตลอดเวลาและแมวสามารถเข้าถึงได้ง่าย) โปรตีน (แมวส่วนใหญ่จะไม่กินอาหารที่มีโปรตีนน้อยกว่า 20 เปอร์เซนต์) ไขมัน (แมวต้องการไขมันเพื่อเป็นพลังงาน เพื่อกรดไขมันที่จำเป็น เพื่อสำหรับวิตามินที่ละลายในไขมัน และเพื่อเป็นรสชาติ) วิตามินเอ (แมวต้องการวิตามินชนิดนี้ในปริมาณมาก มันจะอยู่ในตับ ไข่ และนม แต่อาหารเหล่านี้ควรให้แมวทานด้วยความระมัดระวัง) วิตามินบี (แมวต้องการวิตามินบีและจะกินบริเวอร์ยีสต์ทันทีถ้ามีสัญญาณถึงการขาดวิตามินบี เช่น รู้สึกไม่อยากอาหารเป็นเวลา 2-3 วันหรือเป็นไข้) วิตามินอี (วิตามินอีนั้นจำเป็นต่อการแตกตัวของไขมันที่ไม่อิ่มตัวในอาหารแมว) และแคลเซียม (นี่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างและรักษาสุขภาพกระดูกของแมว)
    • ทอรีน (Taurine) เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อแมว ปกติแล้วจะอยู่ในอาหารแมวที่ขายทั่วไป (ทั้งอาหารเปียกและแห้ง) จะมีปริมาณทอรีนที่เหมาะสม แต่หากคุณให้แมวกินอาหารแมวทำเองหรืออาหารมังสวิรัติ แมวของคุณอาจจะมีความเสี่ยงที่จะขาดทอรีน การขาดทอรีนในแมวนั้นจะทำให้แมวจอประสาทตาเสื่อมและจะเป็นสาเหตุให้แมวตาบอดถาวร รวมถึงหัวใจล้มเหลว นี่จึงเป็นเหตุผลว่าการเพิ่มทอรีนไปในอาหารของแมวจึงสำคัญ
  3. ลองคิดถึงเวลาในการให้อาหารแมวและวิธีการให้อาหาร. ตัวอย่างเช่น แมวในแต่ละช่วงวัยก็ต้องการตารางการให้อาหารที่แตกต่างกันหรือประเภทอาหารที่ต่างกัน ขณะที่แมวส่วนใหญ่สามารถควบคุมการกินอาหารของมันได้เอง แต่ก็มีในบางกรณีที่คุณจะต้องเป็นผู้ควบคุม
    • ลูกแมวจะต้องกินอาหาร 3-4 ครั้งต่อวันตั้งแต่อายุ 6 อาทิตย์ไปจนถึง 3 เดือน ในช่วงที่ลูกแมวอายุ 6 เดือน ก็สามารถลดการให้อาหารลงได้เหลือแค่ 2 ครั้งต่อวัน
    • แมวผู้ใหญ่ควรปล่อยให้มันกินอาหารในเวลาที่มันอยากกิน มันอาจจะทยอยกินอาหารตลอดวัน แต่ถ้านั่นเป็นเรื่องที่คุณไม่สามารถทำได้ ก็ควรให้อาหารอย่างน้อยหลายๆ ครั้งต่อวัน
    • ถ้าคุณมีแมวหลายตัวที่กินอาหารแตกต่างกัน คุณอาจจะต้องลองคิดถึงระบบการให้อาหารที่ไม่ทำให้มันไปกินอาหารของตัวอื่น
  4. ถือเอาว่าสุขภาพของแมวสำคัญกว่าหลักการทานอาหารของคุณเอง. แมวนั้นไม่สามารถเติบโตหรืออยู่รอดหากกินอาหารมังสวิรัติ [5] [6] แม้จะมีการถกเถียงกันในเรื่องนี้ แต่ความต้องการตามธรรมชาติของแมวและความเป็นอยู่ของแมวควรเป็นเรื่องที่มาก่อน
    • แม้ว่าจะมีอาหารเสริมบางชนิดที่ผู้ที่ทานมังสวิรัติให้แมวกินด้วย เช่น ทอรีน และมีข้อแนะนำมากมายสำหรับอาหารแมวแบบมังสวิรัติ แต่อาหารแมวแบบมังสวิรัตินั้นอาจจะส่งผลให้แมวตาบอดและหัวใจล้มเหลว อาหารประเภทนี้ที่เป็นความพยายามอย่างมากของเจ้าของแมวอาจจะมีความเสี่ยงทำให้แมวอายุสั้นและเป็นโรคต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีคาร์โบไฮเดรตที่ไม่ดีต่อสุขภาพในปริมาณมากในอาหาร
  5. ระลึกไว้ว่าการทำอาหารให้แมวเองนั้นจะต้องศึกษาหาข้อมูลเองด้วยและควรทำภายใต้คำแนะนำของสัตวแพทย์. การให้อาหารแมวที่ทำเองทั้งหมดโดยไม่มีอาหารแมวสำเร็จรูปนั้น คุณจำเป็นต้องทำอาหารที่มีสารอาหารอย่างสมดุลและทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้แน่ใจว่าแมวนั้นได้รับทุกอย่างที่จำเป็นต่อร่างกายของมัน วิธีนี้ไม่แนะนำหากคุณไม่ศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนเสียก่อนว่าแมวต้องการอะไรและไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับสัตวแพทย์
  6. พึงระวังว่าแมวนั้นติดอาหารบางอย่างได้ง่ายๆ. หากคุณไม่ได้สังเกตในเรื่องนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงการกินอาหารของแมว อย่ารู้สึกประหลาดใจอาหารแมวของคุณจะถูกเจ้าแมวปฏิเสธ ! ให้พยายามต่อไปจนกว่าอาหารของคุณจะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของแมวได้ ให้ยกอาหารปกติของแมวออกไปในช่วงที่ทดลองให้อาหารใหม่ นี่ก็เป็นส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้มันลองกินอาหารใหม่บ้าง
    • ค่อยๆ เพิ่มอาหารแมวทำเองไปในอาหารปกติของแมว นี่จะทำให้แมวคุ้นเคยกับเนื้อสัมผัสและกลิ่นใหม่ๆ ของอาหารที่คุณทำเอง
    • อย่าตั้งอาหารที่แมวไม่กินทิ้งไว้ ถ้าแมวของคุณไม่ได้กินอาหารที่คุณทำภายใน 1 ชั่วโมง ให้ทิ้งมันไปและลองใหม่ครั้งหน้า
  7. หลีกเลี่ยงการให้อาหารแมวที่เป็นอันตรายหรือเป็นพิษต่อแมว. ระลึกไว้ว่าแค่คุณทานมันได้ไม่ได้หมายความว่าแมวจะกินได้เหมือนคุณ อาหารที่ไม่ควรให้แมวกินได้แก่ หัวหอม กระเทียม ไชว์ส ( Chives) องุ่น ลูกเกด ช็อกโกแลต (รวมถึงช็อกโกแลตขาว) น้ำตาล แป้งโดที่ยังไม่สุก และเครื่องเทศที่อยู่ในตู้อาหาร เช่น จันทร์เทศ ผงฟู [7]
    • ส่วนผสมอื่นๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงนั้นได้แก่ แอลกอฮอล์ (มันจะส่งผลต่อแมวเหมือนที่มีต่อมนุษย์แต่เร็วกว่า แค่วิสกี้ 2 ช้อนชาก็สามารถทำให้แมวน้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัมอยู่ในอาการโคม่าได้) อาหารสุนัข (ทั้งแบบเปียกและแห้ง โดยอาหารสุนัขนั้นมีสารอาหารที่แตกต่างจากของแมวอย่างสิ้นเชิง) ลูกกวาดและหมากฝรั่ง (หากมีสารให้ความหวานเช่น ไซลิทอล มันจะทำให้ตับแมวล้มเหลว) กาแฟ ชา และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่เพิ่มคาเฟอีน เช่น ยาแก้หวัด เครื่องดื่มชูกำลัง และยาแก้ปวด (ยาแก้ปวดในปริมาณมากสามารถทำให้แมวตายได้และไม่มียาถอนพิษ) และยาของมนุษย์ทุกประเภท (อะเซตามิโนเฟนและไอบูโพรเฟนนั้นเป็นอันตรายกับแมวในระดับถึงตาย) [8]
  8. จำกัดปริมาณอาหารที่ไม่เป็นพิษต่อแมวแต่ไม่ดีต่อสุขภาพหากให้ในปริมาณมาก. แมวนั้นต้องกินอาหารให้ครบถ้วน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกมันต้องการสารอาหารทั้งหมดในปริมาณมากๆ
    • จำกัดปริมาณของไขมันและกระดูก ไม่ควรให้แมวหรือแมวอ้วนกินกระดูกเพราะมันจะทำให้เป็นโรคตับอ่อนอักเสบในแมว [9]
    • ใช้แค่บางส่วนของไข่ดิบ ไข่แดงดิบนั้นแมวสามารถย่อยได้แต่ไข่ขาวนั้นไม่ได้ ให้ใช้ไข่ทั้งฟองทำอาหารหากต้องใช้ไข่ขาว คุณควรระลึกถึงปัญหาแบคทีเรียที่อยู่ในไข่ ลองพิจารณาการนำไข่ทั้งฟองมาทำอาหารในแต่ละครั้ง แม้ว่าแมวจะมีความเสี่ยงติดเชื้อซาลโมเนลลา (Salmonella) น้อยกว่ามนุษย์ (เชื่อกันว่าแมวที่ไม่มีครรภ์นั้นมีโอกาสติดมากกว่า) แต่ปัญหาก็คือแมวสามารถเป็นพาหะของโรค ซึ่งนั่นหมายความว่าแมวสามารถส่งผ่านเชื้อโรคมาสู่มนุษย์ได้ [10]
    • เนื้อดิบนั้นควรแช่แข็งก่อนที่จะให้แมวกินหากคุณไม่แน่ใจจริงๆ ว่ามันเป็นเนื้อที่มาจากแหล่งที่ดี
    • ให้แมวกินตับไม่ควรเกิน 2 ครั้งต่ออาทิตย์
    • การให้ทูน่านั้นจะทำให้แมวเสพติดหากให้มากเกินไปและจะส่งผลให้แมวขาดสารไทอะมีน (Thiamine) ปกติแล้วการให้ปลาชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไปจะทำให้แมวขาดสารอาหารเช่นกัน
    • นมและผลิตภัณฑ์นมสามารถทำให้แมวปวดท้องได้ และรวมถึงอาการอาหารไม่ย่อยและอาการคัน ให้พูดคุยกับสัตวแพทย์ถ้าคุณให้แมวกินนมอยู่ ไม่ใช่สัตวแพทย์และเจ้าของแมวทุกคนจะเชื่อว่านมนั้นไม่เหมาะสมที่จะให้แมวกิน
  9. ให้ระมัดระวังในการทำอาหารให้แมวเองอย่างถาวร. หากคุณไม่แน่ใจว่าคุณสามารถทำอาหารแมวโดยคงให้มีสารอาหารอย่างสมดุล การทำอาหารให้แมวกินทุกมื้อนั้นอาจจะส่งผลให้แมวขาดสารอาหารและเป็นอันตรายต่อแมวได้ สัตวแพทย์หลายท่านไม่แนะนำให้ใช้อาหารที่ทำเองเพียงเพราะว่าเจ้าของแมวที่ยุ่งอาจจะทำผิดไปจากสูตรอาหารเนื่องจากเวลาที่เร่งรีบ [11] นอกจากนี้ สัตวแพทย์อาจจะกังวลเกี่ยวกับการขาดความรู้ในเรื่องสารอาหารที่แมวต้องการ การขาดความสนใจที่เพียงพอในการทำอาหารเนื่องจากเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของมนุษย์เอง [12]
    • ถ้าคุณอยากที่จะทำอาหารให้แมวกินทั้งหมด มันก็เป็นเรื่องเป็นไปได้ แต่มันต้องใช้ข้อมูลและการศึกษา (ที่บ่อยครั้งแล้วขัดแย้งกัน) และการประเมินวัตถุดิบต่างๆ ที่มีในพื้นที่ของคุณ
    • พิจารณาการใช้ชีวิตของคุณ. หากคุณเดินทางบ่อยและให้คนอื่นให้อาหารแมวแทน คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าอาหารแมวที่ทำเองนั้นจะเพียงพอ? หากคุณต้องทำงานหลายชั่วโมง คุณจะสามารถเตรียมอาหารสำหรับแมวในช่วงวันหยุดเพื่อให้แมวกินทั้งอาทิตย์ได้หรือไม่?
    • พิจารณาความจำเป็นของอาหารสดที่แมวต้องกิน ถ้าคุณนำทุกอย่างมาทำสุกหมด แมวของคุณจะได้รับสารอาหารที่ปกติแล้วมาจากอาหารสดหรืออาหารแมวสำเร็จรูปได้อย่างไร?
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 2:

ทำอาหารแมวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เมื่อคุณเข้าใจพื้นฐานของสารอาหารที่แมวต้องการแล้ว คุณก็พร้อมที่จะเริ่มทำอาหารให้แมวของคุณได้ ระลึกไว้ว่าไอเดียการทำอาหารต่อไปนี้ควรให้แมวกินเป็นครั้งคราวและไม่ใช้เป็นอาหารแมวอย่างถาวร ถ้าคุณอยากจะทำอาหารแมวด้วยตนเองให้แมวกินอย่างถาวร เป็นเรื่องสำคัญที่คุณจะต้องศึกษาค้นคว้าเพื่อทำอาหารที่มีสารอาหารต่างๆ ที่แมวต้องการอย่างสมดุล และควรได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์ด้วย
    • แมวของคุณอาจจะไม่ชอบอาหารที่คุณทำให้ และมันจะบอกให้คุณรู้เอง !
    • หากคุณมีความกังวลใดๆ ให้พูดคุยกับสัตวแพทย์เกี่ยวกับความเหมาะสมของอาหารแมวที่คุณทำเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากแมวของคุณกำลังเติบโต ตั้งครรภ์ ไม่สบาย และมีปัญหาสุขภาพอื่นๆ
  2. ระลึกไว้ว่าคุณจะต้องหาสูตรอาหารหรือคิดค้นสูตรขึ้นมาโดยเป็นสูตรที่มอบสารอาหารให้แมวอย่างครบถ้วนสมดุล. การได้สูตรอาหารแบบผิดๆ หรือสูตรอาหารที่ขาดสารอาหารที่สำคัญ อาจจะทำให้แมวมีปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้ แมวนั้นก็เหมือนกับสัตว์อื่นๆ และมนุษย์ กุญแจสำคัญของสุขภาพที่ดีก็คือความสมดุล แม้แต่สารอาหารที่เป็นประโยชน์ก็อาจจะส่งผลร้ายต่อแมวได้หากแมวได้รับมากเกินไป
    • เพราะว่าสมดุลของสารอาหารนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ คุณควรที่จะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับสูตรอาหารของคุณจากสัตวแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพของแมว แม้ว่าสูตรนั้นจะคิดค้นโดยคนอื่น
  3. ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะซื้อสะโพกไก่มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยเป็นไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อย ฆ่าเชื้อแล้ว และปราศจากฮอร์โมน คุณสามารถใช้ตับไก่ ไก่งวง และไข่แดงก็ได้
    • คุณสามารถใช้โปรตีนได้ทั้งแบบดิบและแบบสุก ตัวอย่างเช่น คุณสามารถต้มสะโพกไก่เพื่อให้ด้านนอกสุกแต่เนื้อไก่ส่วนใหญ่ยังดิบอยู่ จากนั้น นำสะโพกไปแช่ไว้ในน้ำเย็น เลาะเนื้อออกจากกระดูกและหั่นให้เป็นชิ้นๆ ประมาณ 1/2 นิ้ว (12.7 มิลลิเมตร) ใช้กรรไกรสำหรับทำอาหารที่คมหรือมีดก็ได้ในการหั่น
  4. ใส่เนื้อและกระดูกติดเนื้อไปในเครื่องบดอาหาร โดยรังผึ้งของเครื่องบดควรขนาด 0.15 นิ้ว (4 มิลลิเมตร) ใช้บดเนื้อตับไก่ 113 กรัมต่อเนื้อไก่ 1.3 กิโลกรัม ใช้ไข่สุก 2 ฟองต่อเนื้อไก่ทุกๆ 1.3 กิโลกรัม ผสมทุกอย่างในถ้วยผสมและนำไปแช่เย็นไว้
    • ถ้าคุณไม่มีเครื่องบด คุณสามารถใช้เครื่องปั่นอาหารแทนได้ มันอาจจะไม่สามารถบดได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าหรือไม่ง่ายต่อการทำความสะอาดแต่มันก็สามารถปั่นเนื้อสัตว์ให้เป็นชิ้นเล็กๆ ที่แมวสามารถย่อยได้
  5. ในถ้วยผสมอีกใบหนึ่ง เมื่อใส่เนื้อสัตว์ทุกๆ 1.3 กิโลกรัม ให้เทน้ำ 1 ถ้วย วิตามินอี 268 มิลลิกรัม วิตามินบีคอมเพล็ก 50 มิลลิกรัม ทอรีน 2,000 มิลลิกรัม น้ำมันปลาแซลมอน 2000 มิลลิกรัม เกลือ (ที่มีไอโอดีน) 3/4 ช้อนชา ผสมส่วนผสมทุกอย่างใหเข้ากัน
    • เทส่วนผสมลงไปในเนื้อสัตว์ที่บดแล้วจากนั้นก็ผสมให้เข้ากัน
  6. ลองพิจารณาอาหารประเภทอื่นๆ ที่สามารถให้สารอาหารที่สำคัญต่อแมว. แม้ว่าส่วนผสมเหล่านี้ไม่ควรเป็นอาหารที่แมวกินเป็นส่วนใหญ่ และก็ไม่ควรให้แมวทานในทุกมื้อ แต่มันก็เป็นอาหารที่เพิ่มสารบำรุงที่สำคัญกับแมวได้
    • ผสมข้าวสวยนิดหน่อยกับแซลมอนสับและน้ำอีกนิดหน่อย เนื้อของมันจะคล้ายๆ ซุป คุณสามารถเทอาหารสูตรนี้ไปที่ชามข้าวของแมวเพื่อให้แมวกิน
    • หั่นผักเป็นชิ้นเล็กๆ และเพิ่มไปในอาหาร (ประเภทของผักนั้นคุณสามารถเลือกได้ตามใจ)
    • เพิ่มข้าวโอ๊ตไปในอาหารแมว. นำน้ำ 8 ถ้วยไปต้ม ให้ทำตามวิธีที่อยู่บนบรรจุภัณฑ์ของข้าวโอ๊ตว่าต้องใช้น้ำและข้าวโอ๊ตในสัดส่วนเท่าไหร่ ใส่เข้าโอ๊ตไปในน้ำและปิดฝาไว้ จากนั้นปิดไฟ ปล่อยให้ข้าวโอ๊ตต้มประมาณ 10 นาทีจนกระทั่งมันนุ่มลง
    • สูตรอื่นๆ ที่แนะนำได้แก่ เพิ่มเข้าโอ๊ตไปในอาหารแมวแบบดิบ การใช้ทูน่าเพื่อเป็นขนมสำหรับแมว
  7. แบ่งปริมาณอาหารสำหรับมื้อต่างๆ และนำไปแช่เย็นไว้. แมวทั่วไปจะกินอาหาร 113 - 170 กรัมต่อวัน เก็บอาหารแมวไว้ในช่องฟรีซจนถึงคืนก่อนวันที่คุณจะให้อาหารมัน ให้นำอาหารออกจากช่องฟรีซและเก็บในช่องเย็นธรรมดา นี่จะทำให้มีเวลาที่น้ำแข็งจะละลาย
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ทำความสะอาดชามข้าวแมวอย่างเป็นประจำ ชามข้าวที่สกปรกจะเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียและเชื้อโรคและไม่เป็นที่พึงพอใจของแมวด้วย
  • ตักสินใจเกี่ยวกับการให้แมวกินอาหารดิบ มีหลักฐานที่สนับสนุนให้แมวกินอาหารดิบและก็มีหลักฐานที่ต่อต้าน และแม้แต่สัตวแพทย์ก็ยังไม่เห็นตรงกันในเรื่องนี้ แม้ว่าจะพูดกันทั่วไปว่าเนื้อสัตว์ที่ให้แมวกินนั้นจะต้องทำให้สุกก่อน แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องรู้ว่าเนื้อสัตว์แบบดิบนั้นเป็นอาหารตามธรรมชาติของแมว [13] การให้แมวกินเนื้อดิบๆ นั้นมีความเป็นไปได้ที่เชื้อปรสิตจะส่งผ่านมาสู่แมวจึงทำให้มีการปฏิเสธที่จะให้แมวกินเนื้อดิบ นอกจากนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะว่าเจ้าของแมวนั้นไม่มีเวลาหรือมีแนวโน้มที่จะไม่ให้ความสนใจเพียงพอว่าเนื้อสัตว์ดิบนั้นถูกเตรียมอย่างถูกต้อง การที่ไม่ให้แมวกินเนื้อดิบเลยหมายความว่าแมวจะไม่ได้รับสารอาหารที่สำคัญต่อแมว เช่น กรดอะมิโน ที่อาจจะถูกทำลายระหว่างการทำให้สุก และมีความเป็นไปได้ที่จะแมวสุขภาพแย่ลง [14]
โฆษณา

คำเตือน

  • นมนั้นมีแลคโทสและแมวไม่มีเอนไซม์สำหรับย่อยแลคโทสที่ชื่อว่าแลคเทส ด้วยเหตุผลนี้ นมจะทำให้แมวหรือลูกแมวบางตัวท้องเสีย อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แมวทุกตัวจะเป็นเช่นนี้และมันอาจจะเป็นปกติเมื่อกินนม นมนั้นเป็นแหล่งสำคัญของแคลเซียม ถ้าแมวของคุณชอบกินและไม่ได้มีอาการข้างเคียงก็สามารถกินได้ แต่มันอาจจะทำให้แมวรู้สึกคันและอาหารไม่ย่อยได้ ทางที่ดีควรปรึกษากับสัตวแพทย์
  • การให้อาหารสัตว์เลี้ยงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ เพราะการวิจัยทางสัตวแพทย์ที่มีอย่างต่อเนื่อง ควรศึกษาหาข้อมูลใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. http://healthypets.mercola.com/sites/healthypets/archive/2012/03/16/protein-in-real-meat-are-better-for-cats.aspx
  2. Dr Julie Summerfield, Cat Talk: With Scooter , p. 118, (2004), ISBN1-876624-81-7
  3. Dr Clare Middle, Real Food for Dogs and Cats, p. 116, (2008), ISBN 978-1-92136135-7
  4. Dr Peter Roach, Pet Care Book , p. 86, (undated)
  5. Dr Clare Middle, Real Food for Dogs and Cats , p. 116, (2008), ISBN 978-1-92136135-7
  6. Dr Julie Summerfield, Cat Talk: With Scooter , p. 118, (2004), ISBN1-876624-81-7
  7. http://pets.webmd.com/cats/slideshow-foods-your-cat-should-never-eat
  8. http://pets.webmd.com/cats/slideshow-foods-your-cat-should-never-eat
  9. http://pets.webmd.com/cats/slideshow-foods-your-cat-should-never-eat
  1. http://www.cat-world.com.au/salmonellosis-in-cats
  2. Lisa A Pierson, DVM, Making cat food, http://www.catinfo.org/?link=makingcatfood
  3. Lisa A Pierson, DVM, Making cat food, http://www.catinfo.org/?link=makingcatfood
  4. Dr Clare Middle, Real Food for Dogs and Cats , pp. 116-118, (2008), ISBN 978-1-92136135-7
  5. Dr Clare Middle, Real Food for Dogs and Cats , pp. 116-118, (2008), ISBN 978-1-92136135-7

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 45,842 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา