ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การจะทำให้บทสนทนาไหลลื่นไม่สะดุดต้องอาศัยทักษะบางอย่าง แต่เมื่อคุณรู้ว่าต้องทำอะไรแล้วล่ะก็ มันไม่ใช่เรื่องยาก บทความของวิกิฮาวนี้จะเผยเคล็ดลับว่า จะอย่างไรทำให้คุณสนทนาไปได้เรื่อยๆ โดยไม่สะดุด

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 2:

คอยสังเกตเรื่องทั่วไปที่คนคุยกัน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คอยสังเกตสิ่งที่คนอื่นพูดกันโดยทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี. บทสนทนาคือการที่ความคิดความอ่านพรั่งพรูออกมา แต่สิ่งเหล่านั้นควรมีความเชื่อมโยงกัน หากคุณตั้งใจฟังสิ่งที่คนอื่นกำลังพูดอยู่ คุณก็จะสามารถเก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ที่จะช่วยทำให้คุณสนทนาต่อไปได้เรื่อยๆ
  2. จับทางให้ได้ว่าคนอื่นๆ อยากคุยเรื่องอะไรกัน. ผู้คนต่างมีเรื่องที่อยากพูดต่างกันไป การหาเรื่องที่คนเขาชอบคุยกันให้เจออาจหมายถึงการสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นระหว่างบทสนทนาที่ออกรสออกชาติกับ บทสนทนาติดๆ ขัดๆ
    • คำนึงถึงสิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับตัวคนๆ นั้น คนเรามักชอบพูดเรื่องที่ตนเองรู้ หากคุณรู้อะไรเกี่ยวกับคนๆ นั้น ในหัวข้อต่อไปนี้ นั้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี:
      • งาน/ อาชีพของเขา
      • ความหลงใหล/ งานอดิเรกของเขา
      • ครอบครัว/ เพื่อนของเขา
      • สิ่งที่สืบทอดกันมาของตระกูล/ ประวัติความเป็นมาของเขา
    • ใช้สิ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับคนๆ นั้นเป็นสิ่งนำทางบทสนทนา เช่น หากคุณรู้ว่าคนที่คุณกำลังคุยด้วยเป็นคาวบอย ลองถามเขาเรื่องการขี่วัวกระทิง หรือวัฒนธรรมคาวบอย หรือถามเขาถึงความรู้สึกในการขี่วัวครั้งแรกดู
  3. เวลาที่คุณหมดเรื่องพูดคุย มันอาจจะมีประโยชน์ก็ได้ที่จะพูดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นบนโลก
    • การลองพูดว่า “นี่ คุณได้ยินเรื่องที่ออสเตรเลียมั้ย นายกเพิ่งถูกติดสินว่ามีความผิดเรื่องคดีจี้ปล้นสามกระทงแน่น มันเหลือเชื่อจริงๆ” เป็นวิธีที่ดีที่จะเรียกความสนใจจากคู่สนทนาและทำให้บทสนทนาดำเนินต่อไปได้
  4. ให้แน่ใจว่าภาษากายของคุณกำลังสื่อสารสิ่งที่ถูกที่ควร. เวลาคุยกัน คนที่คุณคุยด้วยจะฟังสิ่งที่คุณพูด “และ” ภาษากายของคุณ อันที่จริง กฎอัตราส่วน 7%-38%-55% ซึ่งพัฒนาขึ้นโดย ดร.อัลเบิร์ต เมราเบียน บอกไว้ว่า มีเพียง 7% ของสิ่งที่เราพูด เท่านั้นเองที่จะมีผลต่อคนที่เราคุยด้วยว่าเขาจะชอบเราหรือไม่ ในขณะที่ 55% ของภาษากายมีผลต่อว่าอีกฝ่ายว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบเรา [ ต้องการเอกสารอ้างอิง ] เรามีเคล็ดลับสำหรับคุณที่กำลังพยายามฝึกฝนการใช้ภาษากาย:
    • อย่ากอดอก - หรือกอดขา นั่นทำให้คนอื่นมองว่าคุณไม่เป็นมิตร
    • คอยมองตาอีกฝ่ายไว้แต่อย่าถึงกับจ้อง การจ้องตาและยิ้มให้กันเป็นสิ่งที่ดี แต่การจ้องอีกฝ่ายจนเขารู้สึกอึดอัดน่ะไม่
    • ผ่อนไหล่ให้สบายๆ การเกร็งตัวอาจทำให้ไหล่ตึงได้ หากอีกฝ่ายสังเกตเห็นความตึงเครียดนั้น เขาอาจรู้สึกเกร็งไปด้วยก็ได้
    • พยักหน้าบ่อยๆ และโน้มตัวไปข้างหน้า การพยักหน้าเป็นการบอกอีกฝ่ายว่าคุณฟังอยู่ ขณะที่การโน้มตัวไปด้านหน้าเป็นการสื่อว่าคุณสนใจในตัวอีกฝ่าย
    • เผชิญหน้าอีกฝ่าย และอย่าทำตัวอยู่ไม่สุข ให้ความสนใจอันแน่วแน่กับคู่สนทนาด้วยการหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย ทำให้เขาเห็นว่าคุณตั้งใจสนทนาโดยการไม่ทำตัวอยู่ไม่สุข
  5. ใครๆ ก็รู้ว่า คนทั่วไปมักรู้สึกว่าคนที่มีความมั่นใจนั้นน่าดึงดูด มันอาจไม่ยุติธรรมนัก แต่มันเป็นความจริงของชีวิต คนมักติดสินกันจากความมั่นใจที่มาจากข้างใน หากคุณมีความมั่นใจสูง และใครอยู่ใกล้คุณก็รู้สึกสนุก พวกเขาจะช่วยคุณเองเวลาที่บทสนทนาเริ่มกร่อย หรือพวกเขาก็จะพยายามมากกว่าเดิมที่จะช่วยเติมเต็มความเงียบระหว่างการสนทนา
  6. เตรียมใจว่าบทสนทนาจะต้องสะดุดบ้างระหว่างพูดคุย. มันเกิดขึ้นได้บางครั้งแม้กับคนที่คุยเก่งๆ คุณอาจบังเอิญพูดสิ่งที่ไม่ควร หรือแค่หมดเรื่องคุย นั่นเป็นเรื่องธรรมดา อย่าคิดโทษตัวเองไป
    • หากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นให้ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายและจ้องตา ทำให้เขามั่นใจด้วยภาษากายของคุณว่า บทสนทนาที่เกิดสะดุดนั้นไม่ได้แปล่วาว่าคุณไม่ชอบเขาหรือไม่อยากจะคุยกับเขา รอให้บทสนทนากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งมันมักจะเกิดขึ้นโดยตามธรรมชาติ
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 2:

รู้จังหวะจะโคนในการสนทนา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คนเราชอบที่จะพูดถึงตัวเอง หากคุณรู้ว่าอีกฝ่ายสนใจเรื่องอะไร การถามคำถามง่ายๆ อาจทำให้อีกฝ่ายพูดถึงเรื่องนั้นๆ ได้สักพักหนึ่ง คุณไม่ควรประเมินความอยากพูดเรื่องตัวเองของอีกฝ่ายเป็นอันขาด
    • นี่เป็นช่วงเวลาที่การฟังจะเข้ามามีบทบาทแล้ว หากคุณไม่สังเกตสิ่งที่อีกฝ่ายพูด มันก็ยากที่จะใช้ข้อมูลที่เวลาคนสนทนากันมาใช้เป็นสิ่งอ้างอิงเพื่อถามคำถาม
  2. คำถามประเภท ใช่/ ไม่ใช่ นี้เป็นตัวทำลายบทสนทนาอย่างดี เพราะมันเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายจบการสนทนาได้อย่างง่ายดาย และตอบคำถามของคุณแค่สั้นๆ ให้คุณเลือกถามคำถามที่มากกว่าแค่ใช่/ ไม่ใช่
    • แทนที่จะถามว่า “สรุปว่า ตอนปี 2006 คุณเรียนอยู่เมืองนอกใช่มั้ย” ให้ลองถามว่า “ตอนปี 2006 คุณเรียนอยู่เมืองนอกเป็นยังไงบ้าง” คำถามที่สองจะทำให้อีกฝ่ายต้องตอบมากกว่าคำถามแรก
    • แต่ถ้าคุณถามเขาเลยว่า "ตอนปี 2006 คุณเรียนอยู่เมืองนอกใช่มั้ย" และเขาตอบมากว่า "ใช่ๆ" คุณอาจยิ้มและพูดว่า "จริงหรอ แล้วเป็นยังไงบ้าง" อีกครั้งที่อุปสรรคอาจเกิดขึ้น แต่ก็ดีที่การจะเอาชนะอุปสรรคมันไม่ได้ยากเกินไป นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถถามคำถามประเภท ใช่/ไม่ใช่ ได้เลย (เรื่องบางเรื่องมันก็เป็นแค่เรื่องทั่วไปจริงๆ) แต่หากคุณถามคำถามดังกล่าวไปแล้ว ก็ควรจะหาทางต่อยอดและพยายามหาเรื่องคุยต่อ
  3. มันสำคัญเท่าๆ กับการที่คุณรู้ว่าการถามคำถามใช่/ไม่ใช่ ไม่ใช่วิธีที่ดีที่จะช่วยให้บทสนทนาลื่นไหล คุณควรรู้ด้วยว่าการตอบคำถามสั้นๆ อย่าง “ใช่” หรือ “อาจจะ” เป็นการทำให้บทสนทนาหยุดลงได้ทันที ให้อธิบายคำตอบของคุณ หากว่าอีกฝ่ายเกิดถามคำถามสั้นๆ ง่ายๆ มา
  4. ให้ใส่ความกระตือรือร้นเพิ่มเข้าไปเวลาคุณถามคำถามอีกฝ่าย. มันไม่ได้เป็นการเสแสร้งแค่เป็นการแสดงความกระตือรือร้นเวลาถามคำถาม มันไม่ได้ยากนักที่จะทำ และยังช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกดีอีกด้วย
  5. เล่นตลกกับความน่ากระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นให้สถานการณ์ผ่อนคลาย. บางครั้งบทสนทนาก็อาจเริ่มกร่อยลงบ้างเล็กน้อย และกลายเป็นความเงียบเข้ามาทดแทน ลองพูดติดตลกถึงความเงียบที่เกิดขึ้นดู นี่เป็นการยกความกระอักกระอ่วนมาพูดถึง แล้วมันจะกลายเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัวสำหรับทั้งคุณและเขา
    • ลองพูดประมาณว่า: “ฉันโอเคนะที่จะพูดถึงดินฟ้าอากาศ แต่พูดไปแล้วก็หมดเรื่องจะพูดอย่างรวดเร็วทีเดียว ฉันอยากจะพูดถึงคุณมากกว่าเยอะเลย" แล้วก็ถามคำถาม เช่น “มีสิ่งไหนที่คุณทำโดยหุนหันพลันแล่นมากที่สุดใสสองสามปีที่ผ่านมานี้”
  6. แม้การพูดคุยลักษณะนี้มันอาจจะยากสักหน่อย แต่หลายๆ คนก็ชอบที่จะสนทนาในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้น เพราะมันเป็นอะไรที่น่าพึงพอใจทีเดียว และทำให้อีกฝ่ายให้รู้สึกดีด้วย หากคุณรู้สึกได้ว่าคู่สนทนารู้สึกสนุกกับการพูดคุยที่ลึกซึ้งกว่าการพูดคุยเรื่องผิวเผิน จงอย่ากลัวที่จะพูดคุยเรื่องราวที่ลึกซึ้งมากขึ้น
    • ให้เริ่มคุยเรื่องที่จริงจังขึ้นเมื่อคุณและเขาเริ่มคุ้นเคยกัน ไม่แนะนำให้เริ่มคุยกันด้วยเรื่องจริงจังมากไป การสนทนาก็เหมือนกับมื้ออาหาร คุณต้องจัดการอาหารเรียกน้ำย่อยให้เรียบร้อยก่อนที่จะลงมือจัดการกับหาอาหารจานหลักและของหวาน
    โฆษณา


เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 5,553 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา