ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ผิวหนังของคนเรามักบางลงตามอายุที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การดูแลผิวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผิวของคุณดูหนาและแน่นกระชับยิ่งขึ้น ผิวหนังที่บางลงเกิดจากการสูญเสียความยืดหยุ่นของผิวหนังรวมถึงการลดลงของปริมาณคอลลาเจนซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงให้ผิวหนังมีสุขภาพดี นอกจากนี้ ผิวหนังที่บางลงยังอาจมีสาเหตุมาจากการใช้ยาสเตอรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานาน จึงส่งผลให้ผิวหนังเกิดรอยฟกช้ำได้ง่ายจนบอบบางกว่าปกติ แต่ไม่ต้องกังวลไป หากคุณกำลังประสบปัญหาผิวหนังบางลง มีหลายวิธีการที่จะช่วยให้ผิวของคุณหนา แข็งแรง และแน่นกระชับยิ่งขึ้น

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนประกอบของวิตามินซี เอ อี และเบต้าแคโรทีน นอกจากนี้ คุณยังสามารถเลือกใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ประกอบด้วยเรตินเอ (กรดวิตามินเอ) ที่มีส่วนช่วยในการกระตุ้นการเพิ่มจำนวนเซลล์ ผลิตภัณฑ์เรตินเอที่วางขายตามท้องตลาดมีทั้งในรูปแบบเซรั่ม ขี้ผึ้ง และครีม
  2. เปิดแคปซูลออกและบีบวิตามินอีลงบนฝ่ามือก่อนนำไปทาลงบนผิว วิตามินอีมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความหนาให้กับผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนำไปใช้เฉพาะที่
  3. ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีอาการศร้อนจัดในช่วงฤดูร้อน ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 15 (หรือมากกว่านั้นหากคุณมีผิวที่บอบบางและแพ้ง่ายเป็นพิเศษ) และหมั่นทาเป็นประจำทุกวันแม้ในวันที่มีเมฆมาก เนื่องจากรังสี UV จากแสงแดดสามารถทะลุผ่านเมฆได้
  4. หากเป็นไปได้ พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ครีมสเตอรอยด์ เนื่องจากครีมประเภทนี้มีผลข้างเคียงทำให้ผิวหนังของคุณบางลง ปรึกษาแพทย์ของคุณหากคุณได้รับยาสเตอรอยด์สำหรับรักษาโรคผิวหนังอย่างเอ็กซีมา โดยแพทย์อาจสั่งจ่ายยาชนิดอื่นที่ไม่มีสเตอรอยด์เป็นส่วนประกอบแทน
  5. บำรุงผิวด้วยเซรั่ม ครีม หรือโลชั่นที่ประกอบด้วยวิตามินซีที่มีส่วนช่วยในการเพิ่มความอิ่มเอิบให้กับผิวรวมถึงกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน จึงทำให้ผิวของคุณหนาและแน่นกระชับยิ่งขึ้นเมื่อใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
  6. น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดของดอกคามิลเลียมีส่วนช่วยในการเพิ่มความหนาและแน่นกระชับให้กับผิวหนัง
    • ผสมน้ำมันดอกคามิลเลียเล็กน้อยเข้ากับน้ำมันวิตามินอี ¼ ช้อนชา น้ำมันดอกลาเวนเดอร์ 3 หยด และน้ำมันดอกพริมโรส 1 ช้อนชา เขย่าให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันก่อนใช้ 2-3 หยดนวดลงบนผิวหนังเป็นประจำทุกวัน
    • น้ำมันที่ผสมไว้สามารถแช่ในตู้เย็นเพื่อเก็บไว้ใช้ในภายหลังได้
  7. ป้องกันผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารต้านอนุมูลอิสระ. ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารต้านอนุมูลอิสระสามารถช่วยป้องกันการเกิดความเสียหายต่อผิวหนังรวมถึงฟื้นฟูผิวหนังที่ถูกทำลาย พยายามมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบดังนี้
    • สารสกัดชาเขียว วิตามินเอ วิตามินอี โทโคไตรอีนอล โบรอนไนไตรด์ กรดอัลฟาไลโปอิก DMAE เพนตะเปปไทด์ และน้ำมันจากธรรมชาติอย่างดอกบัว ดาวเรือง และโสม
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิตามินซีและอีมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อผิวหนังที่เสื่อมสภาพและชะลอการเกิดริ้วรอยตามวัยบนผิวหนัง นอกจากนี้ อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินซียังทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย จึงช่วยให้ผิวของคุณหนาและแน่นกระชับยิ่งขึ้น
    • อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินซีได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม กีวี บรอกโคลี มะเขือเทศ และกะหล่ำดอก ปริมาณที่แนะนำให้ทานต่อวันคือ 75-90 มก.
    • อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินอีได้แก่ น้ำมันมะกอก อะโวคาโด บรอกโคลี ฟักทอง มะละกอ มะม่วง และมะเขือเทศ ปริมาณที่แนะนำให้ทานต่อวันคือ 15 มก.
    • อาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินเอได้แก่ ส้ม ฟักทอง มันเทศ ผักโขม และแครอท ปริมาณที่แนะนำให้ทานต่อวันคือ 700-900 มก.
  2. น้ำเปล่ามีคุณสมบัติช่วยในการขับของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย จึงช่วยฟื้นบำรุงผิวให้กลับมามีสุขภาพดีดังเดิม นอกจากนี้ น้ำเปล่ายังมีส่วนช่วยในการเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวรวมถึงกระตุ้นการฟื้นฟูโดยธรรมชาติอีกด้วย
    • นอกจากการดื่มน้ำเปล่าแล้ว คุณยังสามารถเพิ่มปริมาณน้ำในร่างกายได้โดยการดื่มชาสมุนไพรหรือทานผักและผลไม้ที่มีปริมาณน้ำสูง เช่น แตงโม มะเขือเทศ บีทรูท และคื่นช่าย
  3. บำรุงร่างกายด้วยน้ำมันโบราจและน้ำมันปลาที่มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจนและกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวหนัง
    • น้ำมันโบราจและน้ำมันปลายังอุดมไปด้วยวิตามินบี 3 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผิวของคุณมีสุขภาพดี นอกจากนี้ วิตามินบี 3 รูปแบบหนึ่งที่เรียกว่านิโคตินาไมด์ยังมีส่วนช่วยในการลดริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวอีกด้วย
    • ปริมาณที่แนะนำให้ทานต่อวันคือ 50 มก.ในรูปแบบแคปซูล
  4. น้ำซุปต้มกระดูกเป็นเมนูที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงขึ้นและเป็นแหล่งที่สำคัญของแร่ธาตุและเจลาติน ทั้งยังอุดมไปด้วยคอลลาเจน จึงช่วยบำรุงข้อต่อ ผม และผิวหนังให้มีสุขภาพดี รวมถึงมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและลดเซลลูไลท์ให้น้อยลง
    • หาซื้อกระดูกคุณภาพดีจากปศุสัตว์ที่เลี้ยงด้วยหญ้า สัตว์ปีกที่เลี้ยงในทุ่งหญ้า หรือปลาที่จับได้ตามธรรมชาติ เติมกระดูกสัตว์ 1 กิโลกรัมลงไปต้มในน้ำเปล่า 3.5 ลิตรจนเดือดแล้วจึงลดไฟลงและต้มต่อไปอีก 24 ชั่วโมงสำหรับกระดูกสัตว์หรือ 8 ชั่วโมงสำหรับกระดูกปลา
    • จุดประสงค์หลักของการต้มกระดูกเป็นเวลานานคือการทำให้กระดูกนุ่มและเปื่อยเพื่อให้คุณสามารถใช้ตะแกรงแยกส่วนที่เป็นเจลาตินได้อย่างง่ายดาย คุณสามารถทานน้ำซุปต้มกระดูกเปล่าๆ หรือจะใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารจานอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ออกกำลังกายโดยการเดิน 40 นาทีหรือวิ่งเหยาะๆ ครึ่งชั่วโมงต่อวัน การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนเลือดซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการลำเลียงสารอาหารไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย จึงทำให้ผิวหนังได้รับสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการฟื้นฟูและบำรุงให้มีสุขภาพดี
  2. การสูบบุหรี่จะเพิ่มปริมาณนิโคตินในร่างกายให้สูงขึ้นและทำให้การไหลเวียนเลือดในร่างกายช้าลง ส่งผลให้ผิวหนังได้รับสารอาหารและขับสารพิษออกมาน้อยลง จึงเป็นสาเหตุทำให้เกิดการชะลอของการฟื้นฟูและการเจริญเติบโตของผิวหนัง
    • การสูบบุหรี่ยังทำให้ผิวหนังขาดน้ำและสูญเสียวิตามินต่างๆ ที่จำเป็นต่อผิวอย่างวิตามินเอ บีคอมเพล็กซ์ ซี และอี รวมถึงแร่ธาตุต่างๆ อย่างโพแทสเซียม แคลเซียม และสังกะสี
  3. ลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์หรือเลิกดื่มโดยเด็ดขาด การดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มปริมาณสารพิษในร่างกายให้สูงขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพผิวและมีส่วนทำให้ผิวของคุณดูมีอายุและบางลง
  4. การนวดมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้สารอาหารที่สำคัญถูกลำเลียงไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ผิวของคุณจึงได้รับการบำรุงอย่างเหมาะสม ทำให้ผิวหนาและแน่นกระชับยิ่งขึ้น
    • ทาน้ำมันนวดลงบนผิวและนวดนานอย่างน้อย 90 วินาที ทำซ้ำวันละ 2 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  5. การปล่อยให้ผิวหนังสัมผัสถูกแสงแดดมากเกินไปสามารถส่งผลให้ผิวของคุณบางลงได้ คุณจึงควรป้องกันผิวของคุณจากรังสี UV โดยการสวมกางเกงขายาว เสื้อแขนยาว และหมวกปีกกว้าง
    • รังสีอัลตราไวโอเลตจากดวงอาทิตย์จะทำลายคอลลาเจนในผิวหนังและทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น จึงส่งผลให้ผิวของคุณบางลงและเกิดรอยฟกช้ำได้ง่าย
    โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Kahl, L. E. (2012). The Washington manual rheumatology subspecialty consult. Philadelphia: Wolters Kluwer Health/Lippincott Williams & Wilkins.
  2. Mushlin, S. B., & Greene, H. L. (2009). Decision making in medicine. Edinburgh: Mosby.
  3. Becker, D. G., & Park, S. S. (2008). Revision rhinoplasty. New York: Thieme.

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,302 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา