ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ถ้ามือถือหายละเรื่องใหญ่ เพราะเสี่ยงต่อความปลอดภัยของข้อมูลต่างๆ ภายในเครื่อง แต่หลายคนก็แค่อยากแกล้งเพื่อน ว่ามีโทรศัพท์สายสำคัญจาก “คนใหญ่คนโต” นอกจากนี้บางคนก็อยากทดสอบว่ามือถือจะแผดเสียงได้ดังแค่ไหน ตัวเลือกเกี่ยวกับเสียงโทรศัพท์นั้นมีมากมายใน settings ของเครื่อง หรือจะใช้แอพ ไม่ก็การตั้งค่าเพิ่มเติมก็ได้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

ทำให้โทรศัพท์ดังโดยใช้แอพ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. มีหลายแอพเลยที่ใช้ทำเป็นว่ามีสายเข้า ลองสำรวจ app store ใน iPhone, Blackberry, Android และสมาร์ทโฟนอื่นๆ ดู โดยค้นหาด้วยคำอย่าง "fake call" (สายหลอก) แอพแนวนี้ใน app store มีให้เลือกใช้กันทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ก่อนดาวน์โหลดให้อ่านรีวิวด้วย ว่าโอเคกับฟีเจอร์ต่างๆ ของแอพไหม เพราะแต่ละแอพจะมีฟีเจอร์แตกต่างกันไป
    • บางทีก็มีแอพ prank calls (โทรแกล้งกัน) ที่ใช้เสียงคนดัง ตัวละคร ตัวการ์ตูน หรือคนสำคัญต่างๆ แอพพวกนี้อาจจะไม่ครอบคลุมเท่าแอพอื่นๆ แต่ก็เหมาะจะใช้ชั่วครั้งชั่วคราว ประมาณว่าอยากแกล้งกัน หรือทักทายกันในโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด เป็นต้น
  2. ปกติจะมีตัวเลือกอย่างคาแรกเตอร์ต่างๆ ที่เลือกใช้ตอนโทรไปได้ การใช้ข้อมูล contact จากใน contact’s list เสียงที่อัดไว้แล้วใช้ได้เลย และการตั้งเวลาโทร ก็เลือกได้ว่าจะให้มีสายเข้าตอนไหน จังหวะไหน [1]
    • แอพจะให้ตั้งชื่อ ใส่เบอร์โทร และรูป ที่จะทำเป็นคนที่โทรเข้ามา
    • เวลารับสาย หน้าจอจะเหมือนตอนมีคนโทรเข้ามาจริงๆ คุณเลือกลักษณะหน้าจอให้ตรงกับมือถือรุ่นที่ใช้ได้ด้วย บางแอพจะมีให้สร้างหน้าจอตอนรับสายเองเลย ก็เลือกที่ใกล้เคียงกับหน้าจอมือถือคุณที่สุด เพราะถ้าเพื่อนหรือคนที่คุณจะแกล้งให้รับสาย เขาชินกับหน้าจอมือถือคุณ อาจจะโป๊ะแตกได้
    • แอพจะมีให้เลือกคลิปเสียงต่างๆ ตามหัวข้อที่ต้องการ รวมถึงลักษณะบุคลิก จะใช้ไฟล์เสียงของคุณเองก็ได้ ถ้ารองรับ แต่แอพจะไม่ให้คุณอัดเสียงสนทนา ต้องใช้แอพอื่น ถ้าจะอัดเสียง
    • แอพให้คุณโทรได้ทันที แต่ถ้าอยากใช้แอพโทรทีหลัง ให้ตั้งเวลาโทรหลังเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ตามสะดวก หรือกำหนดเวลาที่จะให้โทรเข้าเอง จะให้แอพทำงานไปในเบื้องหลัง หรือให้มือถือเข้า sleep mode จะได้สมจริงเวลารับสายก็ได้
  3. แนะนำให้ซักซ้อมสักรอบก่อน พยายามกะจังหวะ จดจำสายเข้า จะได้สมจริง ถ้าต้องยื่นมือถือให้ใครรับสาย ระวังอย่าให้แอพแกล้งกันนี้โชว์หราอยู่ในหน้าจอ
    • มือถือจะยังรับสายเข้าปกติได้ ซึ่งนี่แหละจุดอ่อน ถ้ามีใครบังเอิญโทรเข้าตอนกำลังแกล้งเพื่อนละความแตกแน่ ก็ระวังอย่าเลือกตอนที่รู้ว่าจะมีคนโทรมาจริงๆ แล้วกัน
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

โทรมาจากโทรศัพท์เครื่องอื่น

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณใช้โทรศัพท์บ้าน โทรศัพท์สาธารณะ หรือยืมมือถือคนอื่นก็ได้ แต่ถ้าจะใช้มือถือคนอื่น ต้องขออนุญาตเขาก่อนล่ะ
  2. ถ้าโทรไม่ติด หรือเข้าระบบฝากข้อความ เป็นไปได้ว่าไม่มีสัญญาณ ให้ลองใหม่ หรืออีกทีคือมือถือปิดเครื่องอยู่ เลยไม่มีเสียง
  3. ถ้าโทรเข้าสำเร็จ แต่ไม่ได้ยินเสียง เป็นไปได้ว่าปิดเสียง หรือเปิดสั่นไว้ ให้เงี่ยหูฟังเสียงอืดๆ แล้วเดินไปยังต้นตอของเสียง จนได้ยินเสียงมือถือสั่นชัดขึ้น ถ้าเปิดสั่นไว้แล้ววางเครื่องไว้บนโต๊ะ จะมีเสียงครืดๆ แน่นอน ลองฟังดูดีๆ
    • ตามหาบริเวณที่ชอบวางมือถือไว้ เป็นไปได้ว่ามือถืออาจแค่ตกไปใต้โต๊ะ ข้างเฟอร์นิเจอร์ หรือมีอะไรบังอยู่ ทำให้ไม่ค่อยได้ยินเสียงโทรศัพท์
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ทดสอบเสียงเรียกเข้าของสมาร์ทโฟน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าไม่เจอแอพที่หน้า home ก็ไปหาได้ที่ “All Apps” ในมือถือ
  2. ขั้นตอนจะต่างกันไปตามรุ่นมือถือที่ใช้
    • ถ้าใช้ iPhone ให้เลือกหัวข้อ “Sounds and Vibration Patterns” เลื่อนไปจนเจอตัวเลือก “Ringtone” ที่จะมีเสียงเรียกเข้าที่เลือกไว้ จากนั้นแตะเสียงเรียกเข้าเพื่อฟังตัวอย่าง หรือแตะ “Apply” เพื่อเซฟค่าใหม่
    • ถ้าใช้ Android ปกติจะอยู่ใน “Sounds” หรือ “Sound & Notification” ให้เลือก “Phone ringtone” เพื่อเลือกเสียงเรียกเข้า ถ้าจะฟังตัวอย่างเสียง ให้แตะ “Preview” เสียงเรียกเข้านั้นจะดังขึ้นมา หรือแตะ “Apply” ถ้าจะเซฟค่าใหม่
  3. คุณปรับได้ว่าอยากให้เสียงเรียกเข้าของมือถือดังแค่ไหนตอนมีคนโทรมา
    • ถ้าใช้ iPhone ให้แตะ “Sounds” แล้วเลื่อนแถบ “Ringer and Alerts” เพื่อปรับค่า ให้เสียงเรียกเข้าดัง-เบาตามต้องการ [2]
    • ถ้าใช้ Android ให้เลือก “Volumes” แล้วเลื่อนแถบ “Ringtone & notifications” เพื่อทดสอบเสียงเรียกเข้า
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ตั้งค่าใช้งานระบบติดตาม (Tracker Services) ในสมาร์ทโฟน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อันนี้แล้วแต่ว่ามือถือที่ใช้เป็นรุ่นไหน แต่ค่ายมือถือส่วนใหญ่จะมีช่องทางให้ติดตามมือถือตัวเองได้ฟรี แต่ต้องเปิดใช้บริการซะก่อน แล้วจะโทรหรือแจ้งเตือนไปยังมือถือให้ส่งเสียงได้
    • ถ้าใช้ iPhone ต้องเป็นรุ่นที่ใช้ iOS 9 และติดตั้ง iWork for iOS ไว้ โปรแกรมติดตามถึงจะทำงาน [3] จากนั้นเปิดเบราว์เซอร์ สร้าง และปรับแต่งบัญชี iCloud ในเว็บ icloud.com ถ้ามีก็ล็อกอินบัญชี iCloud ถ้าไม่มี ก็สมัครได้ฟรี
    • ถ้าใช้ Android ให้เปิด Android Device Manager ในมือถือ คุณเข้า settings ได้ 2 ทาง คือเปิดแอพ “Settings” แล้วเลื่อนลงไปแตะ “Google” จากนั้นแตะ “Security” หรือเปิดแอพ “Google Settings” แล้วแตะ “Security” [4]
  2. ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนที่จะต่างกันไปตามมือถือรุ่นที่คุณใช้
    • ถ้าใช้ iPhone ต้องใช้ iCloud ให้เปิดแอพ iCloud ใน iPhone พอเข้ามาในแอพแล้ว ให้เลื่อนลงไปเปิด “Find My iPhone” แล้วจะมีหน้าต่างใหม่ ให้แตะ “Allow”
    • ถ้าใช้ Android ต้องอนุญาตเข้าถึงจากระยะไกล ใน “Android Device Manager” ให้แตะ “Remotely Locate This Device” ไปที่แอพ “Settings” ที่เป็นคนละแอพกับ “Google Settings” แล้วเลื่อนลงไปแตะ “Location” จากนั้นเปิดใช้ location services ทั้งหมด
  3. ต้องใช้อุปกรณ์อื่น เช่น คอมพิวเตอร์
    • ถ้าใช้ iPhone ต้องเข้าเว็บ iCloud.com หรือ “Find My iPhone” ใน iPhone หรือ iPad เครื่องอื่น ผ่านแอพ iCloud จากนั้นคลิกหรือแตะ “Find My iPhone” เพื่อไปยังแผนที่ ที่แสดงตำแหน่งล่าสุดของมือถือคุณ คุณเลือก “Play Sound” หรือ “Send Message” ก็ได้ เพื่อเปิดเสียงใน iPhone
    • ถ้าใช้ Android ต้องเข้าเว็บ android.com/devicemanager ในเบราว์เซอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ของคุณจะโผล่มาในแผนที่ จากนั้นแตะหรือคลิกตัวเลือก “Ring” เพื่อให้มือถือร้อง แต่อีกเครื่องก็ต้องล็อกอินบัญชี Google เดียวกันกับมือถือที่จะระบุตำแหน่ง
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • เวลาใช้แอพหรือโปรแกรมติดตามตำแหน่งมือถือ ต้องติดตั้งไว้ในเครื่องล่วงหน้า เพราะถ้าไม่มี ถึงหาไป ก็อาจจะระบุตำแหน่งมือถือของคุณไม่ได้
  • ถ้าเปิดโหมด “Do Not Disturb” ไว้ เสียงมือถือจะไม่ดัง ให้เช็คไอคอนหรือสัญลักษณ์อื่นๆ ในหน้าจอ หรือเช็คว่าเปิดใช้ “Do Not Disturb” ใน settings ของมือถือไว้หรือเปล่า [5]
  • ถ้าแบตเหลือน้อยหรือมือถือปิดไว้ ก็จะไม่ดังเวลามีสายเข้า ทำให้โปรแกรมติดตามได้ยาก
โฆษณา

บทความวิกิฮาวอื่น ๆ ที่่เกี่ยวข้อง

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,204 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา