ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

แม่อาจจะรู้สึกอยากปกป้องเราเมื่อเราบอกท่านว่าเรามีแฟน มันอาจจะเป็นบทสนทนาที่ทั้งกระอักกระอ่วนและอ่อนไหว ไม่ว่าเขาจะเป็นแฟนคนแรก เขาไม่ดีพอในสายตาแม่ หรือถ้าคุณบอกแม่ว่าคุณเป็นเกย์และกำลังคบแฟนหนุ่มอยู่ แม้ว่าแม่จะโกรธหรือบอกเหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่ควรคบกับเขา ก็ให้ระลึกไว้ว่าแม่แค่อยากให้คุณได้ในสิ่งที่ดีที่สุด รับฟังเหตุผลของท่านอย่างเปิดใจและขอคำแนะนำจากท่าน บอกท่านว่าคุณรู้คุณค่าของประสบการณ์และความรอบรู้ของท่าน และพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่าคุณมีวุฒิภาวะและความรับผิดชอบมากพอที่จะเริ่มตัดสินใจเรื่องความสัมพันธ์ได้ด้วยตัวเอง

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

บอกแม่เรื่องแฟนคนแรก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เลือกเวลาที่ดีที่สุดที่จะแจ้งข่าว อย่าเพิ่งเข้าไปคุยตอนที่แม่เพิ่งกลับบ้านมาจากที่ทำงานหรือตอนที่แม่กำลังยุ่งเรื่องอื่นอยู่ คุณต้องให้แม่สนใจคุณคนเดียวและให้ท่านรับฟัง ในขณะเดียวกันก็ให้หาสมดุลระหว่างการบอกท่านไปเลยแต่ก็ต้องไม่ทำให้ท่านตกอกตกใจ
    • คุณไม่ควรปล่อยไว้นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนโดยที่ไม่บอกแม่เรื่องแฟนคนแรก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจู่ๆ คุณจะพาแฟนหนุ่มไปเจอแม่แล้วบอกแม่ว่า “แม่คะ นี่แฟนหนูค่ะ!” แต่ให้คุยกันแค่สองคนก่อน
    • มันจะดีกว่ามากหากคุณบอกท่านตอนที่ท่านไม่ได้เพิ่งจะอารมณ์เสียกับเรื่องที่คุณทำไปหยกๆ ถ้าคุณทำในสิ่งที่แสดงถึงการไม่มีความรับผิดชอบหรือไม่มีวุฒิภาวะ หรือเพิ่งจะไปมีเรื่องมา ท่านก็อาจจะสรุปเอาว่าคุณยังไม่โตพอที่จะมีแฟน
  2. ถ้าคุณอยู่กับพ่อและแม่ แต่คุณตัดสินใจแล้วว่าคุณสะดวกใจที่จะคุยกับแม่ก่อนมากที่สุด ก็ให้เลือกเวลาตอนที่พ่อไม่อยู่บ้าน อาจจะเป็นตอนที่พ่อไปทำงานหรือช่วง 2-3 ชั่วโมงที่พ่อไปทำธุระ หรือคุณอาจจะออกไปซื้อกาแฟหรืออาหารกลางวันนอกบ้านกับแม่ก็ได้
    • โดยทั่วไปการบอกทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกันนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็มีหลายสถานการณ์ที่การบอกแม่ก่อนอาจจะทำให้รู้สึกสบายใจมากกว่า [1]
    • บางครั้งเมื่อเป็นเรื่องของแฟนคนแรก พ่อจะรู้สึกอยากปกป้องลูกมากกว่า พ่อบางคนอาจจะต่อต้านหากคุณบอกท่านว่าคุณเป็นเกย์ และบางคนก็อาจจะไม่ค่อยยอมรับหากแฟนของคุณเป็นคนต่างเชื้อชาติหรือศาสนา
    เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

    Jin S. Kim, MA

    นักบำบัดปัญหาคู่ครองและครอบครัวที่มีใบอนุญาต
    จิน คิมเป็นนักบำบัดปัญหาคู่ครองและครอบครัวที่มีใบอนุญาตในลอสแองเจลิส จินเชี่ยวชาญในการทำงานร่วมกับบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ทางสีผิว และผู้คนที่ต้องเผชิญความท้าทายอันเนื่องมาจากการมีบุคลิกเฉพาะตนที่หลากหลย จินได้รับปริญญาโทด้านจิตวิทยาคลินิกจากมหาวิทยาลัยแอนติออกในลอสแองเจลิสเมื่อปี 2015 โดยเน้นด้านจิตวิทยาในเหล่าผู้มีความหลากหลายทางเพศเป็นพิเศษ
    Jin S. Kim, MA
    นักบำบัดปัญหาคู่ครองและครอบครัวที่มีใบอนุญาต

    บอกเรื่องแฟนกับแม่ต่อหน้า เมื่อไรก็ตามที่เป็นไปได้ ทางที่ดีควรเป็นการสนทนาแบบต่อหน้าแทนที่จะผ่านทางข้อความ คุณจะสามารถรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ดีกว่า เวลาจะเปิดเผยข้อมูลที่อาจสร้างความตระหนก นี่จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจและเห็นใจต่อกันมากขึ้น

  3. ซ้อมบอกด้วยการเขียนลงไปว่าคุณวางแผนจะพูดอะไรบ้าง. คิดว่าคุณอยากจะพูดอะไร และจะพูดแบบมีวุฒิภาวะได้อย่างไร เป้าหมายของคุณควรจะต้องชัดเจน ตรงไปตรงมา และซื่อสัตย์ และคุณคงไม่อยากลนลานหรือร้องห่มร้องไห้ ลองเขียนประเด็นหลักๆ ที่จะพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณคิดว่าคุณอาจจะลืมสิ่งที่จะพูดหรือพูดไม่ออก [2]
    • แม้ว่าการวางแผนและการซ้อมด้วยการเขียนความคิดลงไปก่อนจะเป็นวิธีการที่ดี แต่ยังไงคุณก็ควรจะบอกข่าวกับท่านแบบต่อหน้า
    • พยายามเขียนประเด็นหลักลงไป เช่น "แม่คะ หนูรู้สึกว่าหนูกับแม่สนิทกันและหนูก็ไม่อยากมีความลับกับแม่ เมื่อ 2-3 อาทิตย์ที่แล้วเพื่อนหนูที่ชื่อเจมส์เขามาขอหนูเป็นแฟนแล้วหนูก็ตอบตกลง เราเรียนอยู่ชั้นเดียวกันแล้วเขาก็เป็นคนที่น่ารักและฉลาดมากเลยค่ะแม่"
    • เขียนประเด็นที่คุณจะพูดขึ้นมาถ้าท่านไม่ได้มีท่าทีตอบกลับมาในแบบที่คุณหวัง บอกท่านว่า "หนูรู้ค่ะว่าแม่อาจจะคิดว่าหนูยังไม่พร้อม แต่หนูอยากจะบอกว่าหนูโตแล้วจริงๆ นะคะ หนูตั้งใจเรียน หนูได้เกรดดีมาตลอด และหนูก็ทำงานบ้านเสร็จก่อนที่แม่จะสั่งด้วย หนูไม่ได้คิดว่าหนูจะแต่งงานกับเขาหรืออะไรหรอกนะคะ แต่หนูคิดว่าหนูพร้อมที่จะมีแฟนคนแรกแล้ว และหนูก็อยากจะคุยกับแม่เรื่องกฎพื้นฐานต่างๆ และขอคำแนะนำจากแม่ด้วยค่ะ"
  4. เวลาที่คุยกันเรื่องนี้ อย่าเริ่มจากเรื่องแย่ๆ ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าครอบครัวอยากให้คุณคบกับคนแบบใดแบบหนึ่งหรือมีความคาดหวังที่ค่อนข้างเคร่งครัด อย่าเริ่มบทสนทนาด้วยการพูดว่า “เขาหล่อมากจริงๆ แต่โดนกักบริเวณตลอดแล้วเกรดก็แย่มากเลยค่ะ!” แต่ให้เน้นไปที่คุณลักษณะที่ดีทั้งของคุณและของเขาจะดีกว่า
    • คุณได้เกรดดีหรือเปล่า คุณเป็นผู้นำที่โรงเรียนหรือในกิจกรรมหลังเลิกเรียนหรือเปล่า หรือมีอะไรอย่างอื่นที่แสดงให้เห็นว่าคุณโตและและมีความรับผิดชอบหรือเปล่า
    • สิ่งเหล่านี้เป็นคุณสมบัติที่พ่อแม่อยากเห็นก่อนที่คุณจะมีแฟน เพราะฉะนั้นคุณต้องตั้งใจเรียน ทำงานบ้าน และทำให้พ่อแม่เห็นว่าคุณมีความรับผิดชอบ
    • เช่นเดียวกันให้พยายามเล่าเรื่องดีๆ เกี่ยวกับตัวเขาให้แม่ฟังให้ได้มากที่สุด แสดงให้แม่เห็นว่าท่านสามารถไว้ใจการตัดสินใจของคุณได้ ลองเล่าให้แม่ฟังถึงสิ่งดีๆ ที่เขาทำให้คุณ เขาปฏิบัติกับคุณดีแค่ไหน เขาอ่อนหวานกับคุณแค่ไหน เขาเก่งเรื่องอะไร และเรื่องดีๆ อื่นๆ เกี่ยวกับตัวเขา
    • การพิจารณาคุณสมบัติที่ดีของเขายังช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าเขามีค่าพอที่คุณจะเสียเวลามาคบด้วยหรือเปล่า ถ้าคุณไม่สามารถร่ายรายการสิ่งดีๆ เกี่ยวกับตัวเขาให้แม่ของคุณฟังได้อย่างตรงไปตรงมา เขาก็อาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
  5. เตรียมรูปภาพหรือโปรไฟล์ในโซเชียลมีเดียให้พร้อม. แม่อาจจะอยากรู้จักเขามากขึ้น ยกเว้นว่าท่านจะไม่เห็นด้วยอย่างมากเรื่องที่คุณมีแฟน เตรียมรูปภาพของเขาเพื่อที่ท่านจะได้รู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร หรือเอาโปรไฟล์ของเขาในโซเชียลมีเดียให้แม่ดูก็ได้เพื่อที่แม่จะได้รู้จักเขามากขึ้นอีกสักหน่อย
    • จำไว้ว่าอย่าคิดไปเองว่าแม่จะต้องประสาทเสียแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเข้าสู่วัยรุ่นมานานแล้วหรือกำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แม่อาจจะดีใจมากๆ และอาจจะอยากคุยเรื่องเขากับคุณมากๆ เลยก็ได้นะ! [3]
    • แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องปกติที่คุณจะอาย และคุณก็อาจจะอยากเก็บเรื่องชีวิตของคุณไว้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ส่วนใหญ่แล้วคุณก็ต้องเล่าเรื่องแฟนหนุ่มของคุณให้พ่อแม่ฟังอยู่ดี [4]
  6. จำไว้ว่าแม่ก็เคยเป็นสาวมาก่อน และคุณก็ไม่ควรทึกทักไปเองว่าแม่จะมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีกลับมา พ่อแม่มักจะรู้เสมอว่าคุณปิดบังอะไรพวกท่าน เพราะฉะนั้นการเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่ และอย่าลืมเตรียมตัวตอบคำถามท่านเกี่ยวกับแฟนหนุ่มตามความจริงด้วย [5]
    • ถ้าคุณอยากทำให้แม่เห็นว่าคุณโตพอที่จะมีแฟน คุณต้องทำให้แม่ไว้ใจ การเก็บความลับมีแต่จะทำลายความไว้ใจที่คุณมีต่อกัน [6]
    • อย่าโกหกแม่ว่าคุณเริ่มคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ พยายามเล่ารายละเอียดต่างๆ ตามความจริงให้ได้มากที่สุด เพราะคุณคงไม่อยากโดนจับได้ว่าโกหกทีหลัง เช่น เรื่องวันครบรอบของคุณ!
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

รับมือกับสถานการณ์ที่เปราะบาง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณเป็นเกย์ มีแฟน และอยากเล่าเรื่องแฟนให้แม่ฟัง ก็ให้ทำเมื่อพร้อม ไม่ควรมีใครบังคับให้คุณต้องเปิดตัวว่าคุณเป็นเกย์ถ้าคุณยังไม่พร้อม แม้ว่ามันอาจจะเป็นประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่และเป็นการปลดปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกไป แต่การที่คุณรู้สึกวิตกกังวลถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณไม่แน่ใจว่าแม่จะมีท่าทีกลับมาอย่างไร [7]
    • อย่าให้แฟนมากดดันว่าคุณจะต้องเปิดตัว เพราะแง่มุมที่สำคัญที่สุดของการเปิดเผยตัวตนก็คือการทำเมื่อพร้อม
    • ถ้าคุณพร้อม ก็ให้บอกแม่อย่างใจเย็นและตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ และชัดเจน บอกท่านว่าคุณมีแฟนเป็นผู้ชายและคุณก็ห่วงใยเขามาก และแม้คุณจะเข้าใจว่าเพศวิถีเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ตอนนี้คุณชอบเขาจริงๆ
    • อดทนขณะที่แม่กำลังประมวลข่าวที่เพิ่งได้รับมาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแม่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าคุณจะมาบอกว่าคุณมีแฟนเป็นผู้ชาย บอกแม่ว่า “ผมเข้าใจครับแม่ว่ามันต้องใช้เวลาคิดเรื่องนี้สักหน่อย เชื่อเถอะว่าผมเองก็ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนานเหมือนกันครับ ผมเข้าใจ!”
  2. บางครั้งการเปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเสมอไป ลองคิดดูว่าพ่อแม่มีปฏิกิริยากับการรักร่วมเพศในข่าวอย่างไร เช่น เวลาที่มีประเด็นเรื่องการแต่งงานของคนเพศเดียวกันหรือการรังแกเกริ่นเข้ามาในบทสนทนา คุณอาจจะต้องปิดบังไว้ก่อนถ้าพวกท่านมีปฏิกิริยาที่เป็นลบมากๆ หรือถ้าคุณยังต้องพึ่งพาพ่อแม่ด้านการเงินอยู่และคิดว่าพวกท่านอาจจะไล่คุณออกจากบ้านหรือเลิกส่งเสียคุณเรียน [8]
    • ถ้าคุณคิดว่าแม่น่าจะยอมรับได้มากกว่าและอยากบอกให้แม่รู้ ให้ขอคำแนะนำจากท่านว่าคุณจะบอกพ่อหรือสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ ได้อย่างไรและเมื่อไหร่
  3. บอกแม่ว่าแฟนหนุ่มของคุณเป็นคนเชื้อชาติหรือศาสนาอื่น. ด้วยความที่โลกมันเล็กลงและเชื่อมต่อกันมากขึ้น การคบหาดูใจกันจึงข้ามขอบเขตในเรื่องของเชื้อชาติ ศาสนา และประเพณีมากขึ้น พยายามอธิบายข้อเท็จจริงที่ว่านี้ให้แม่หรือทั้งพ่อและแม่ฟังถ้าพวกท่านคาดหวังว่า แฟนหนุ่มของคุณจะต้องเป็นคนเชื้อชาติ ศาสนา หรือมาจากวัฒนธรรมเดียวกัน [9]
    • พยายามอย่าเก็บเรื่องการคบหาดูใจระหว่างเชื้อชาติไว้เป็นความลับ ไม่ว่าคุณจะเป็นวัยรุ่นหรือเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม ถ้าหลายปีผ่านไปแล้วคุณเกิดหมั้นกับแฟนหนุ่มของคุณขึ้นมาล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นคืออย่าไปสร้างความรู้สึกที่ไม่ดีมากขึ้นด้วยการทำให้แม่รู้สึกว่า ท่านไม่สามารถไว้ใจคุณหรือแฟนหนุ่มของคุณได้เลย
    • อย่าใช้แฟนหนุ่มเป็นเครื่องมือในการต่อต้านวัฒนธรรมของตัวเอง เพราะมันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาและสุดท้ายเขาก็ต้องมาปิดบังความกดดันที่คุณมีกับประเพณีของคุณ
    • เวลาที่บอกแม่เรื่องความสัมพันธ์ข้ามวัฒนธรรม พยายามเข้าใจแม่และอดทน ให้เวลาแม่ได้ทำความเข้าใจ และทำให้แม่ยกประโยชน์ให้จำเลยดีกว่าจะบังคับให้ท่านต้องเห็นดีเห็นงามกับคุณ
  4. ปิดบังไว้ก่อนถ้าคุณคาดว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีตามมา. เช่นเดียวกับการบอกพ่อแม่ว่าเป็นเพศที่สาม คุณต้องพิจารณาด้วยว่าช่วงเวลาไหนที่ไม่เหมาะจะประกาศเรื่องความสัมพันธ์ข้ามวัฒนธรรม แม้ว่าการซื่อสัตย์มักจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ถ้าคุณกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวคุณ ความปลอดภัยของแฟนหนุ่ม หรือคิดว่าอาจจะถูกตัดแม่ตัดลูก คุณก็อาจจะยังไม่เปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์ในตอนนี้
    • พยายามรักษาสมดุลระหว่างความกังวลกับความศรัทธาในตัวแม่ พยายามประเมินปฏิกิริยาของแม่ที่มีต่อเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ในแบบเดียวกัน
    • ถ้าคุณเชื่อว่าแม่น่าจะยอมรับได้แต่พ่อน่าจะไม่ยอม ให้ขอคำแนะนำจากแม่ว่าจะบอกพ่ออย่างไรดี
    • ถ้าคุณคบกับคนที่ดีกับคุณและทำให้คุณมีความสุข ก็อย่าให้แม่หรือพ่อมาบังคับให้คุณต้องเลือกข้าง บอกแม่ให้ชัดเจนไปเลยว่าเดี๋ยวนี้โลกมันเชื่อมต่อกันมากกว่าที่เคย และความรักก็ไม่มีกำแพงมาขวางกั้นอีกต่อไป
  5. บอกแม่ว่าแฟนหนุ่มมีอดีตที่ลุ่มๆ ดอนๆ แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว. การกลับไปคบกับแฟนเก่าหรือถ้าแฟนของคุณมีอดีตที่คุณไม่อยากบอกแม่เท่าไหร่ มันก็จะกลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าคุณพยายามจะทำให้แม่เชื่อว่าแฟนของคุณเปลี่ยนไปแล้ว พยายามพูดให้เป็นกลางและเล่าข้อเท็จจริงให้แม่ฟัง อย่าโต้ตอบคำวิจารณ์ของแม่ที่มีต่อแฟนด้วยการวิจารณ์ท่านกลับ แต่แค่อธิบายไปว่าการกระทำของเขาแสดงให้เห็นว่าเขากำลังเปลี่ยนแปลงตัวเองจริงๆ [10]
    • ลองพูดว่า "หนูรู้ค่ะว่าแม่คิดว่าเจ็ทเป็นคนไม่เอาไหน แต่ตั้งแต่เลิกกันไปเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนะคะ เขามีงานที่ดีและก็ทำมาได้ 6 เดือนแล้ว และตอนนี้เขาก็มีคอนโดและกำลังเก็บเงินซื้อรถใหม่ด้วยนะคะ เขาบอกหนูว่าเขาอยากจะกลับตัวกลับใจเสียใหม่เผื่อหนูจะกลับไปคบกับเขาอีกน่ะค่ะ"
    • ถ้าคุณเพิ่งจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และรู้ว่ามีบางสิ่งเกี่ยวกับแฟนหนุ่มที่แม่ไม่ชอบเลย ก็ให้มองสถานการณ์ให้รอบด้าน ถ้าคุณเพิ่งเดตกันไม่กี่สัปดาห์และรู้ว่าความสัมพันธ์คงไม่ได้ยืนยาว คุณก็อาจจะไม่บอกแม่เรื่องผู้ชายที่เจาะ 8 รูและสักเต็มแขนที่คุณแค่คบเล่นๆ [11]
    • จำไว้ว่าแม่นึกถึงประโยชน์ของคุณมากที่สุดเสมอ ถ้าแม่ไม่ชอบใจแฟนหนุ่มของคุณ ให้คิดดูว่าแม่มีเหตุผลที่ดีหรือเปล่า การไม่กลับไปคบกับแฟนเก่าหรือทิ้งผู้ชายที่มีปมในอดีตมากเกินไปก็อาจจะดีกับตัวคุณมากกว่า สุดท้ายแล้วการเชื่อในสัญชาตญาณของแม่อาจจะช่วยให้คุณไม่ต้องปวดใจในวันข้างหน้าก็ได้
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

รับมือกับการที่ไม่แม่ยอมรับ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หลังจากที่บอกแม่ไปแล้วก็ให้อดทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ว่าคุณมีแฟนคนแรก คุณเป็นเกย์ หรือบอกเรื่องแฟนหนุ่มที่อาจจะไม่ถูกใจท่าน อย่าแค่บอกข่าวให้ท่านรู้แล้วก็ลุกขึ้นเดินจากไปเลย รอให้แม่ตอบและแสดงความคิดเห็นก่อน
    • ถ้าท่านบอกว่าท่านต้องการเวลาคิดสักหน่อย ก็ปล่อยท่านไว้ตามลำพังเลยถ้าจำเป็น
    • แสดงให้แม่เห็นว่าคุณพร้อมจะประนีประนอมและช่วยให้ท่านสบายใจเรื่องความสัมพันธ์ของคุณมากขึ้น เช่น คุณอาจจะถามท่านเรื่องกฎพื้นฐาน ถ้าท่านไม่สบายใจหรือยังไม่แน่ใจ ก็ให้ถามท่านว่าท่านมีกฎอะไรในระหว่างที่คุณสองคนคบกันไหม หรือว่าคุณสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพังได้หรือเปล่า [12]
  2. บอกแม่ว่าคุณให้ความสำคัญกับความคิดเห็นและประสบการณ์ของท่าน. แสดงให้แม่เห็นว่าประสบการณ์และความรอบรู้ของแม่สำคัญกับคุณ อธิบายว่าคุณอยากให้ท่านเชื่อใจคุณในเรื่องพวกนี้และคุณเองก็ให้ความสำคัญกับคำแนะนำของท่าน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณมาเล่าเรื่องแฟนให้ท่านฟัง อธิบายให้แม่ฟังว่าคุณกำลังโตและมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะอยากมีแฟน [13]
    • ถามแม่เรื่องประสบการณ์การเดต เซ็กส์ สุขภาพ และเรื่องความสัมพันธ์อื่นๆ ของแม่
    • อย่าเก็บทุกรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของคุณไว้เล่าในการพูดคุยครั้งสำคัญทีเดียว
    • พยายามพัฒนาการสื่อสารระหว่างคุณกับแม่ให้ดีที่สุด ทั้งก่อนและหลังจากที่คุณเล่าเรื่องแฟนหนุ่มให้แม่ฟัง
    • อธิบายให้แม่ฟังว่า ความซื่อสัตย์และการที่คุณกับแม่ไว้ใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณ พยายามทลายกำแพงและสร้างบทสนทนาที่เปิดกว้างและไม่ตัดสินอยู่เสมอ
  3. ถ้าแม่โกรธ ก็อย่าทำให้การพูดคุยกันครั้งนี้กลายเป็นสงครามบ้านแตก พยายามนิ่งเข้าไว้แม้ว่าแม่จะไม่พอใจและเริ่มตะคอกใส่คุณ จำไว้ว่าแม่อยู่ตรงนี้เพื่อปกป้องคุณและอยากให้คุณได้สิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น ถ้าปฏิกิริยาของท่านไม่เป็นไปอย่างที่คุณหวังไว้ คุณก็ต้องทำใจให้สงบและคิดก่อนพูด [14]
    • แม่อาจจะมีเหตุผลที่ดีในการที่จะไม่เห็นด้วยกับคุณ คุณอาจจะเด็กเกินกว่าจะมีแฟนจริงๆ หรือไม่เขาก็อาจจะไม่ใช่ผู้ชายที่ดีที่สุดสำหรับคุณ จำไว้ว่าแม่มีประสบการณ์ชีวิตมากกว่าคุณ
    • ถ้าคุณเป็นวัยรุ่นหรือเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้วและเชื่อว่าคุณพร้อมที่จะมีความสัมพันธ์แล้วจริงๆ เป้าหมายของคุณคือการพิสูจน์ให้แม่เห็นว่า คุณโตพอที่จะตัดสินใจเองบ้างแล้ว
  4. แม้ว่าท่านจะไม่เห็นด้วย แต่การโวยวายใส่แม่ตอนที่ท่านห้ามไม่ให้คุณมีแฟนยิ่งเป็นการพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่า คุณยังไม่พร้อมที่จะมีความสัมพันธ์ คุณควรเคารพวิธีการเลี้ยงดูของแม่ จำไว้ว่าท่านอยู่ตรงนี้เพื่อปกป้องคุณ [15]
    • การตอบกลับด้วยท่าทีที่เข้าใจและนิ่งเงียบเป็นวิธีที่จะทำให้แม่เห็นถึงระดับวุฒิภาวะของคุณ ถ้าแม่เห็นว่าคุณกำลังโตและมีวุฒิภาวะมากขึ้น ในที่สุดแม่ก็จะเปลี่ยนใจ
  5. พยายามทำความเข้าใจมุมมองของแม่ถ้าแม่ไม่ยอมรับ. ทำให้แม่เห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับมุมมองของท่านและอยากจะเข้าใจมุมมองของท่านมากกว่านี้ พยายามอย่าถามคำถามเพียงเพื่อให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ถามเพื่อแสดงให้เห็นว่า คุณอยากจะเข้าใจท่านและตามความคิดท่านทัน [16]
    • ถ้าท่านบอกว่าคุณยังไม่โตพอ ลองถามกลับไปว่า “แล้วแม่คิดว่าอายุเท่าไหร่ถึงจะโตพอคะ แล้วตอนที่แม่มีแฟนแม่อายุเท่าไหร่คะ แม่คิดว่าความแตกต่างระหว่างโลกในตอนนี้กับตอนที่แม่เติบโตมามันมีผลกับอายุที่คนควรจะเริ่มมีแฟนไหมคะ”
    • ถ้าแม่แค่ไม่ยอมรับในตัวแฟนหนุ่ม ก็ให้ถามว่าทำไม จำไว้ว่าแม่มักจะเป็นคนเดียวในโลกที่ทุ่มเทให้กับผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของคุณอย่างหมดใจ ถามแม่ว่า “ทำไมแม่ถึงคิดว่าเขาไม่เหมาะกับหนูเหรอคะ แม่เคยคบกับใครที่เหมือนเขาแล้วเจอประสบการณ์แย่ๆ มาหรือเปล่า”
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 10,083 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา