ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คุณสมบัติต้านไวรัสและแบคทีเรียของว่านหางจระเข้มีประโยชน์ต่อผิวอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่บอบบางอย่างใบหน้าและลำคอ แม้ว่าว่านหางจระเข้จะเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ความงามมากมาย แต่คุณก็สามารถใช้ว่านหางจระเข้สดๆ ทาลงบนใบหน้าได้เช่นเดียวกัน ถ้าใช้อย่างถูกวิธี ว่านหางจระเข้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ริ้วรอยร่องตื้นและรอยย่นต่างๆ ดูเรียบเนียน และยังช่วยลดรอยสิวได้ด้วย [1]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เติมความชุ่มชื้นให้ผิว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพื่อให้ใบหน้าได้ประโยชน์สูงสุดจากว่านหางจระเข้ ให้เอาปลายนิ้วแตะเบาๆ ไม่จำเป็นต้องนวดให้ซึมลึกลงไปในหน้า เพราะถ้าใบหน้าดูดซึมว่านหางจระเข้ลึกเกินไป มันจะให้ผลที่ตรงกันข้ามและทำให้หน้าแห้งได้ [2]
    • ทาบางๆ ก็พอ ไม่ต้องโปะจนหนา เพราะชั้นหนาๆ ที่เพิ่มมาไม่ได้ให้ประโยชน์เพิ่มแต่อย่างใด
    • เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ให้ทิ้งว่านหางจระเข้ไว้บนใบหน้า 10 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็นและซับให้แห้ง เพราะว่านหางจระเข้สดๆ อาจทำให้ผิวแห้งถ้าคุณโปะไว้บนผิวนานเกินไป
  2. ใช้ว่านหางจระเข้ทำความสะอาดใบหน้าวันละ 2 ครั้ง. ถ้าใช้อย่างถูกต้อง ว่านหางจระเข้สามารถทดแทนได้ทั้งผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าและมอยซ์เจอไรเซอร์ ตอนเช้าและเย็นให้ทาว่านหางจระเข้ลงบนใบหน้าบางๆ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็นและซับให้แห้ง [3]
    • อย่าถูผิวหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่บอบบางรอบดวงตา เพราะอาจทำร้ายผิวและทำให้ผิวอ่อนแอลงได้
  3. ทำเป็นสครับเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับใบหน้าสำหรับผิวมัน. ถ้าคุณมีผิวมันและเป็นสิวง่าย มอยซ์เจอไรเซอร์ทั่วไปอาจจะยิ่งทำให้คุณเป็นสิวมากขึ้น ผสมน้ำตาลทรายแดงกับว่านหางจระเข้เพื่อใช้เป็นสครับที่มีประสิทธิภาพในการค่อยๆ ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่อาจไปอุดตันตามรูขุมขนออก โดยที่ยังเติมความชุ่มชื้นที่ดีให้กับผิวด้วย [4]
    • ในการทำสครับแบบนี้ ให้เทน้ำตาลทรายแดงเล็กน้อยลงบนฝ่ามือ บีบว่านหางจระเข้ลงไปบนน้ำตาลให้ทั่วจนกระทั่งชุ่มฉ่ำกำลังดี
    • ทาส่วนผสมให้ทั่วทั้งใบหน้า เลี่ยงบริเวณที่บอบบางตรงรอบดวงตา นวดเบาๆ 1-2 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดและซับใบหน้าให้แห้ง
    • ใช้สครับสูตรนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วันหรือมากตามต้องการ แต่ถ้าผิวยิ่งมันก็ให้เลิกใช้
  4. ใช้ว่านหางจระเข้ในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด. ว่านหางจระเข้ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวและทำให้ผิวหน้าโดยรวมดูกระจ่างใสขึ้น แต่เนื่องจากเอนไซม์ในว่านหางจระเข้ทำหน้าที่เป็นตัวขัดผิวอยู่แล้ว ถ้าใช้บ่อยเกินไปก็อาจจะทำให้ผิวแห้งได้ [5]
    • ผิวจะผลิตน้ำมันออกมาเมื่อมันแห้งเกินไป เพราะฉะนั้นถ้าคุณใช้ว่านหางจระเข้บ่อยเกินไป ก็อาจจะทำให้ผิวยิ่งผลิตน้ำมันออกมามากเกินความจำเป็น ซึ่งทำให้เกิดปัญหารูขุมขนอุดตัน ผิวอักเสบ และเกิดสิวได้
    • ถ้าคุณเพิ่งเริ่มใช้ว่านหางจระเข้ ให้ล้างออกทันทีหรือทิ้งไว้ไม่เกิน 10 นาที

    Tip: ถ้าคุณอยากทิ้งว่านหางจระเข้ไว้นานกว่านั้นหรือทิ้งไว้ข้ามคืน ให้เจือจางด้วยของเหลวที่มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้น เช่น น้ำมันมะกอก

    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

รักษาอาการอักเสบ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ว่านหางจระเข้สดมีคุณสมบัติต้านแบคทีเรียและต้านอนุมูลอิสระ เพราะฉะนั้นจึงสามารถใช้แทนผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าทั่วไปได้ และเนื่องจากว่ามันมีคุณสมบัติต้านการอักเสบได้ด้วย ว่านหางจระเข้สดจึงอ่อนโยนและปลอดภัยกับผิวแพ้ง่าย ลองใช้ว่านหางจระเข้ล้างหน้าแทนผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่คุณใช้อยู่เป็นประจำอย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อดูว่าต่างกันไหม [6]
    • นอกจากนี้เอนไซม์ในว่านหางจระเข้ยังช่วยขัดผิวอย่างอ่อนโยน กำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่อาจไปอุดตันรูขุมขนจนทำให้เกิดสิว ซึ่งจะทำให้ผิวของคุณกระจ่างใสและดูสุขภาพดีอีกด้วย
  2. ทำที่มาส์กหน้าจากว่านหางจระเข้ อบเชย และน้ำผึ้ง. ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ (40 กรัม) ว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ (20 กรัม) และอบเชย 1/4 ช้อนชา (1 กรัม) ลงในถ้วยเล็ก ทาส่วนผสมลงบนใบหน้า หลีกเลี่ยงบริเวณที่อ่อนโยนอบดวงตา ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก [7]
    • เนื่องจากน้ำผึ้งและอบเชยเองก็มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและแบคทีเรียเหมือนกับว่านหางจระเข้ มาส์กสูตรนี้จึงมีประโยชน์มากกว่าเมื่อเทียบกับการใช้ว่านหางจระเข้เพียงอย่างเดียว

    วิธีอื่น ๆ: ผสมว่านหางจระเข้กับน้ำมะนาวในปริมาณที่เท่ากัน ทาส่วนผสมลงบนใบหน้าบางๆ และทิ้งไว้ข้ามคืน ตอนเช้าให้ล้างหน้าตามปกติ สูตรนี้จะช่วยรักษาสิวบนใบหน้าและป้องกันไม่ให้เกิดสิวเพิ่ม

  3. ถ้าคุณโกนขน ก็อาจจะมีรอยบาดเล็กๆ บนผิวหนังที่ทำให้รู้สึกแสบร้อนและคัน แทนที่จะใช้อาฟเตอร์เชฟที่ยิ่งทำให้ผิวยิ่งแห้งไปกันใหญ่ ให้ทาว่านหางจระเข้ลงไปบางๆ แทน [8]
    • การเกาตรงรอยบาดเป็นการเปิดทางให้แบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนัง ซึ่งจะทำให้ยิ่งอักเสบมากกว่าเดิม ว่านหางจระเข้ช่วยปลอบประโลมผิวและทำให้คันน้อยลงด้วย ซึ่งก็จะทำให้คุณอยากเกาน้อยลง
  4. ทาว่านหางจระเข้ตรงบริเวณที่เป็นสิวเพื่อลดการอักเสบ. เนื่องจากว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ มันจึงช่วยลดรอยแดงและรอยบวมลงได้ ทำให้มองไม่ค่อยเห็นสิว นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นที่ช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ เช่น โรคแพ้ผื่นคันผิวหนังอักเสบและโรคผิวหนังอักเสบโรซาเชียได้ด้วย [9]
    • ถ้าคุณกำลังใช้ยารักษาปัญหาผิวบางอย่างตามแพทย์สั่ง เช่น สิวหรือโรคแพ้ผื่นคันผิวหนังอักเสบ ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนเริ่มใช้ว่านหางจระเข้หรือหยุดใช้ยาที่แพทย์สั่ง
  5. ผสมว่านหางจระเข้กับน้ำมันทีทรีเพื่อเพิ่มคุณสมบัติในการรักษาสิว. ผสมน้ำมันทีทรี 6-12 หยดต่อว่านหางจระเข้ทุกๆ 15 มิลลิลิตร เริ่มจากใช้น้ำมันทีทรี 6 หยดก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มจำนวนตราบใดที่ส่วนผสมไม่ทำให้เกิดรอยแดงหรือการระคายเคือง ใช้ส่วนผสมนี้เป็นยาแต้มสิวหลังล้างหน้าและเช็ดหน้าให้แห้งเพื่อรักษาสิวเม็ดเล็กๆ [10]
    • คุณสามารถหาซื้อน้ำมันทีทรีได้ในอินเทอร์เน็ตหรือที่ร้านสุขภาพและความงามใกล้บ้าน ปริมาณน้ำมันทีทรีที่ใช้ได้จะขึ้นอยู่กับว่าน้ำมันทีทรีที่คุณซื้อมาเจือจางแค่ไหน
    • เก็บส่วนผสมที่ยังไม่ได้ใช้ไว้ในภาชนะแก้วสีชามีฝาปิดสนิท เก็บภาชนะไว้ในที่เย็นและมืด
    • ถ้าคุณทาส่วนผสมให้ทั่วใบหน้า มันก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสิวใหม่ได้ แต่คุณก็ไม่ควรใช้ส่วนผสมนี้แทนการรักษาอื่นๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

เก็บว่านหางจระเข้

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ว่านมีหลายสายพันธุ์ และมีสายพันธุ์เดียวที่เรียกว่า ว่านหางจระเข้ ส่วนสายพันธุ์อื่นมักปลูกเป็นไม้ประดับเพราะดูแลค่อนข้างง่าย แต่คุณใช้ได้แค่วุ้นที่มาจากต้นว่านหางจระเข้เท่านั้น ไม่ใช่จากว่านสายพันธุ์อื่น ที่ร้านต้นไม้ก็ให้ดูที่ป้ายชื่อดีๆ ว่าเป็นว่านสายพันธุ์อะไร [11]
    • ว่านหางจระเข้จะไม่ค่อยเหมาะเป็นไม้ประดับเมื่อเทียบกับว่านสายพันธุ์อื่นๆ และไม่ค่อยออกดอกเมื่ออยู่ในที่ร่มด้วย
    • ต้นว่านหางจระเข้จะมีใบบางๆ สีเขียวซีดและมีจุดเยอะๆ
  2. ใช้ดินปลูกกระบองเพชรชนิดผสมในกระถางขนาดกลางถึงขนาดใหญ่. กระถางขนาดกลางหรือขนาดใหญ่จะทำให้ต้นว่านหางจระเข้มีพื้นที่ในการเจริญเติบโตมากพอเพราะมันมักจะขยายออก เลือกกระถางที่ระบายน้ำได้ดีเพื่อให้ดินค่อนข้างแห้ง [12]
    • เลือกกระถางที่มีรูระบายน้ำใหญ่ๆ ตรงก้นกระถางเพื่อระบายความชื้นออก ถ้ามีน้ำขังในกระถาง ต้นว่านหางจระเข้จะไม่โต
  3. วางต้นว่านหางจระเข้ไว้ในที่ที่ได้รับแสงมาก. การให้แสงแดดกับต้นว่านหางจระเข้อาจจะยากสักหน่อย เพราะถึงมันจะชอบแดด แต่ถ้าโดนแดดมากไปมันก็จะเหี่ยว เพราะฉะนั้นการได้แสงรำไรอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสภาพที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นว่างหางจระเข้มากที่สุด [13]
    • ในประเทศซีกโลกเหนือ ให้วางต้นไม้ในร่มไว้ตรงหน้าต่างที่หันหน้าไปทางทิศใต้หรือตะวันตก
    • ถ้าใบว่านหางจระเข้เหี่ยวและเปราะ ก็อาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าต้นไม้ได้รับแสงแดดโดยตรงมากเกินไป ลองย้ายที่แล้วดูว่าสภาพต้นดีขึ้นไหม
  4. เมื่อแตะดินปลูกควรจะชื้นแต่ไม่ถึงกับแฉะ ตรวจสอบใบเพื่อดูว่ามันได้รับน้ำเพียงพอหรือเปล่า ตราบใดที่จับแล้วใบยังเย็นและฉ่ำ ก็แสดงว่าต้นว่านหางจระเข้ได้น้ำเพียงพอ [14]
    • โดยทั่วไปแล้วคุณไม่ควรรดน้ำต้นว่านหางจระเข้จนกว่าดินจะแห้งจริงๆ เมื่อแตะ ตามปกติแล้วต้นไม้พวกนี้ไม่ต้องรดน้ำเกินกว่าสัปดาห์ละครั้ง และยิ่งถ้าเป็นช่วงฤดูหนาวยิ่งไม่ต้องการน้ำมากนัก
    • ถ้าใบว่านหางจระเข้เหี่ยวและเปราะ ให้ดูว่าต้นได้รับแสงมากแค่ไหนก่อนจะรดน้ำเพิ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าดินยังชื้นอยู่ เพราะการได้รับแสงแดดมากเกินไปก็อาจทำให้ใบเหี่ยวได้
  5. ใช้มีดหรือกรรไกรที่สะอาดและคมตัดใบให้ใกล้กับลำต้นให้ได้มากที่สุด ใบหนาๆ จะมีวุ้นว่านหางจระเข้ข้างในมากกว่า [15]
    • อย่าพยายามเก็บวุ้นว่านหางจระเข้จากต้นที่ใบเหี่ยวและเปราะ ย้ายที่วางแล้วรอจนกว่ามันจะกลับมาแข็งแรงก่อน
    • คุณสามารถเก็บวุ้นว่านหางจระเข้จากต้นที่แข็งแรงได้ทุกๆ 6-8 สัปดาห์ด้วยการตัดออกมาสัก 3-4 ใบ [16]
  6. วางใบด้านที่ตัดลงบนแก้วหรือชามเล็กๆ หลังจากนั้น 2-3 นาทีก็จะมีของเหลวสีแดงหรือเหลืองๆ เริ่มระบายออกมาจากใบ ปล่อยให้ใบระบายของเหลวออกมาสัก 10-15 นาที [17]
    • ของเหลวที่ว่านี้เป็นพิษและหากรับประทานเข้าไปอาจทำให้ปวดท้องได้ ถึงคุณจะใช้ว่านหางจระเข้เฉพาะแค่บริเวณใบหน้าเท่านั้น แต่ก็ปล่อยให้ใบระบายของเหลวที่ว่านี้ออกมาก่อนจะดีกว่า
  7. ใช้มีดคมๆ สะอาดๆ ค่อยๆ ปลอกยอดแหลมๆ ของใบออก จากนั้นเฉือนและลอกส่วนที่เป็นสีเขียวออกจากวุ้นใสๆ ที่อยู่ข้างใน คุณควรจะลอกออกมาได้ภายในคราวเดียว แต่อาจจะต้องฝึกสักหน่อย [18]
    • คุณควรล้างมือให้สะอาดก่อนเริ่มขั้นตอนนี้ เพื่อให้ผิวมือสะอาดและป้องกันไม่ให้มีสิ่งสกปรกไปปนเปื้อนวุ้นว่านหางจระเข้
  8. พอคุณลอกเปลือกเนื้อวุ้นออกมาแล้ว ใช้มีดเฉือนข้างใต้เพื่อเอาเนื้อวุ้นออกจากเปลือกที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ค่อยๆ เฉือนออกมา ระวังอย่าให้มีดจิ้มเข้าไปในเนื้อวุ้น [19]
    • ถ้าทำบ่อยๆ คุณจะสามารถลอกเอาเนื้อวุ้นออกมาได้ภายในครั้งเดียว แต่ว่านหางจระเข้ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นท่อนเดียวยาวๆ เสมอไป หั่นเป็นหลายๆ ชิ้นก่อนก็ได้เหมือนกันและอาจจะปลอกง่ายกว่าด้วย
  9. แช่ว่านหางจระเข้ที่ยังไม่ใช้ในตู้เย็นทันที. คุณสามารถทาว่านหางจระเข้ที่เพิ่งไปเก็บมาสดๆ ลงบนใบหน้าได้เลย แต่ถ้าคุณเก็บมาเพื่อจะไว้ใช้ทีหลัง ใช้ใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดแน่นแล้วเก็บไว้ในตู้เย็น วิธีนี้จะช่วยให้ว่านหางจระเข้คงความสดไว้ได้ [20]
    • วุ้นของว่านหางจระเข้จะเสื่อมลงตามกาลเวลา คุณสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาได้ 2-3 วันมากสุดไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่ถ้าคุณต้องเก็บไว้นานกว่านั้น ก็ให้แช่ช่องฟรีซไปเลย

    นอกจากนี้คุณยังสามารถ แช่แข็ง วุ้นว่านหางจระเข้ไว้สำหรับทำน้ำแข็งว่านหางจระเข้ได้ด้วย นำวุ้นว่านหางจระเข้ใส่ไปในเครื่องปั่นและกดปั่น 2 หรือ 3 ครั้งจนกว่าจะกลายเป็นของเหลวเนื้อเนียน เทลงในถาดน้ำแข็งแล้วแช่ช่องฟรีซ ก้อนน้ำแข็งว่านหางจระเข้สามารถทาลงบนผิวได้โดยตรงเพื่อให้ความเย็นช่วยบรรเทาอาการอักเสบหรือระคายเคือง

    โฆษณา

คำเตือน

  • ถ้าคุณซื้อเจลว่านหางจระเข้จากอินเทอร์เน็ตหรือร้านค้า ให้ดูส่วนผสมให้ดี เพื่อให้ได้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์มากที่สุด อย่าซื้อเจลว่านหางจระเข้ที่ใส่สารเคมีเพิ่มเติม
  • เพื่อไม่ให้วุ้นว่านหางจระเข้สดๆ เสีย ให้เก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดแน่นหนาในที่ที่เย็นและแห้งเสมอ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 4,966 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา