PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

ในบทความนี้จะมุ่งเน้นไปที่ “การออกเสียงภาษาอังกฤษแบบมาตรฐาน” หรือ (Received Pronunciation; RP) ซึ่งเป็นสำเนียงแบบอังกฤษโดยทั่วๆ ไปที่มักพูดกันในแถบตอนใต้ของประเทศอังกฤษ และนิยมใช้กันมากในหมู่ชนชั้นสูง จนมีคำเรียกสำเนียงลักษณะนี้ว่า “สำเนียงผู้ดีอังกฤษ” (the Queen's English) อย่างไรก็ตาม สำเนียงการพูดในแต่ละภูมิภาคก็แตกต่างกันไปทั้งประเทศอังกฤษ สกอตแลนด์ (Scotland) เวลส์ (Wales) ไอร์แลนด์เหนือ (Northern Ireland) และสำเนียงท้องถิ่น ซึ่งการเลือกพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในการศึกษาสำเนียงนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด นอกจากนี้ การเรียนรู้มารยาทของชาวอังกฤษและนำมาใช้ในขณะที่พูดก็จะช่วยให้มีสำเนียงที่ตรงกับต้นฉบับมากยิ่งขึ้น การเรียนรู้การออกเสียงภาษาอังกฤษแบบมาตรฐานจะมุ่งเน้นไปที่การออกเสียง (Pronunciation) เป็นหลัก ในขณะที่การศึกษาภาษามาตรฐาน (Standard language) จะมุ่งเน้นไปที่การใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้อง ใช้คำศัพท์และใช้ภาษาที่สุภาพมากกว่าปกติ

  • ในบทความนี้จะถ่ายถอดเสียงภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจหลักการออกเสียงมากยิ่งขึ้น
ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 6:

เสียง R (อาร์)

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ทำความเข้าใจก่อนว่าสำเนียงแบบอังกฤษส่วนใหญ่จะไม่ม้วนลิ้นเพื่อออกเสียงอาร์ (R) ยกเว้นสำเนียงที่พูดในแถบสกอตแลนด์ ราชอาณาจักรนอร์ทัมเบรีย (Northumbria) ไอร์แลนด์เหนือ และบางพื้นที่ของแลงคาสเชอร์ (Lancashire) แต่ก็ไม่ใช่ว่าสำเนียงแบบอังกฤษทุกสำเนียงจะเหมือนกันหมด ยกตัวอย่างเช่น สำเนียงชาวสกอตแลนด์จะแตกต่างกับสำเนียงอังกฤษอย่างมาก โดยหลังสระจะไม่ออกเสียงอาร์ แต่จะดึงเสียงสระออกแล้วอาจจะเพิ่มเสียง “uh” (อูห์) เช่นคำว่า Here (เฮียร์) จะออกเสียงเป็น “Heeuh” (ฮีอูห์) หรือคำว่า Hurry (เฮอร์รี่) ก็อย่าเปลี่ยนเสียงอาร์ด้วยสระ ให้พูดว่า “huh-ree” (ฮูวรี่)
    • ต่างกับการออกเสียงสำเนียงอเมริกัน คำที่ลงท้ายด้วย “rl” หรือ “rel” จะสามารถออกเสียง 1 พยางค์หรือ 2 พยางค์ก็ได้ ซึ่งสามารถสับเปลี่ยนได้เสมอ แต่ในการออกเสียงแบบอังกฤษนั้นไม่ใช่ คำที่มี “-rl” ลงท้ายเช่น “Girl” หรือ “Hirl” จะออกเสียงเพียงพยางค์เดียวโดยตัดเสียง R ออกไป ในขณะที่คำว่า “Squirrel” (ส-เควอ-เรล-ล) จะออกเสียงว่า "squih-rul" (ส-เคอห์-รูล) และ “referral” (เรฟ-เฟอร์-รอล-ล) จะออกเป็น "re-fer-rul" (รี-เฟอร์-รูล)
    • คำบางคำจะใช้สำเนียงแบบอังกฤษออกเสียงจะง่ายกว่า เช่นคำว่า Mirror ซึ่งจะออกเสียงว่า "mih-ra" (มิห์-ร่า) อย่าออกเสียงว่า "mere" (เม-เร่) เพราะคนอังกฤษจะไม่ออกเสียงแบบนี้
    • การหยุดระหว่างประโยคบางคำก็จะถูกตัดทอนด้วยการเติมเสียงอาร์ก่อนสระ ยกตัวอย่างเช่น “I saw it” (ไอ-ซอว-อิท) จะออกเสียงเป็น (ไอ-ซอวริท) เพื่อหลีกเลี่ยงการหยุดระหว่างคำว่า “saw” กับ “it” หรือคำว่า “Bacteria are small” (แบคทีเรีย-อาร์-สมอลล์) จะออกเสียงเป็น (แบคทีเรียรา-สมอลล์)
    โฆษณา


ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 6:

เสียง U (ยู)

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ออกเสียงยู (U) นำว่า “Stupid” และคำว่า “Duty” ด้วยเสียง "ew" (อิว) หรือ "you" (ยู). หลีกเลี่ยงการใช้เสียง “oo” (โอ) ดังนั้นจึงควรออกเสียงว่า "stewpid" (สติว-พิด) หรืออาจจะเป็น 'schewpid' (ชิว-พิด) แต่ไม่ใช่ "stoopid" (สตูพิด) และคำว่า “Duty” ควรออกเสียงว่า "dewty" (ดิวตี้) มากว่า "jooty" (จูตี้) ในสำเนียงอังกฤษแบบมาตรฐานนั้น เสียง “อา” (A) เช่นในคำว่า “Father” จะออกเสียงโดยใช้ปากส่วนหลังและเปิดคอหอย เสียงจะออกประมาณว่า “ah” (อาห์) ซึ่งเป็นกรณีที่พบเห็นได้บ่อยในการพูดสำเนียงอังกฤษ แต่จะใช้มากในสำเนียงอังกฤษแบบมาตรฐาน ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษและในภาษาอังกฤษแบบมาตรฐาน มีคำหลายคำเช่น “Bath” “Path” “Glass” “Grass” ที่จะออกเสียงโดยใช้สระ (Barth (บาร์ธ), Parth (พาร์ธ), Glarss (กลาร์ส), Grarss (กราร์ส)) อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่อื่นๆ ของอังกฤษ คำว่า Bath และ Path จะออกเสียงสระเหมือน “ah” (อาห์)
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 6:

พยัญชนะเสียงหนัก

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ออกเสียง “T” (ที) ในคำว่า "duty" (ดิว[ตี้]) ให้ชัดเจน อย่าออกเสียงเป็น “D” (ดี) ว่า "doody" (ดูดี้) เพราะคำๆ นี้จะต้องออกเสียงว่า "dewty" (ดิวตี้) หรือออกเสียงเบาๆ ว่า "jooty" (จูตี้) นอกจากนี้ ให้ออกเสียงลงท้าย (Suffix) “-ing” ด้วยเสียง “G” (จี) ที่ชัดเจน เพราะเสียงควรจะออกเป็น "-ing" (อิ้งจ์) มากกว่า "-een" (อีน) แต่บางครั้งก็สามารถลดทอนเสียงเป็น "in" (อิ้น) ได้ เช่นคำว่า “lookin” (ลุคกิ้น)
    • คำว่า “Human Being” จะออกเสียงว่า "hewman being" (ฮิวแมน-บีอิ้งจ์) หรือ "yooman been" (ยูแมน-บีน) ในบางพื้นที่ และยังสามารถออกเสียงว่า "hewman bee-in" (ฮิวแมน บี-อิ้น) ได้อีกด้วย
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 6:

เสียง T (ที)

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. สำเนียงในพื้นที่บางแห่งรวมไปถึงสำเนียงค็อกนี่ (Cockney accents) นั้น เสียง “T” (ที) จะไม่ออกเสียงเป็นคำ ในขณะที่คนอเมริกาจะใช้เสียง “D” (ดี) แทนที่ อย่างไรก็ตาม ยังมีการหยุดคำสั้นๆ หรือ “ชะงักคำ” ดังนั้น คำว่า “Battle” อาจจะออกเสียงเป็น "Ba-ill" (แบ-อิล) แต่ก็หาคนที่พูดแบบนี้ได้ยาก เพราะต้องกักลมไว้ที่โคนลิ้นในตอนที่ออกเสียงพยางค์แรกก่อนที่จะระเบิดเสียงออกพยางค์ที่สอง ซึ่งเรียกว่า เสียงหยุดที่ออกจากช่องว่างระหว่างเส้นเสียง (Glottal Stop) ให้ออกเสียงประเภทนี้กับคำว่า “mittens” และ “mountain” ซึ่งเป็นเสียงที่ชาวอังกฤษใช้บ่อย
    • คนที่มีสำเนียงอังกฤษ สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ และเวลส์ จะคิดว่าการลดเสียง “T” (ที) เป็นการกระทำที่เกียจคร้านและหยาบคาย จึงมักไม่ค่อยได้พบเห็นคนที่พูดในลักษณะนี้ แต่กฎการออกเสียงสำเนียงเกือบทุกรูปแบบก็อนุญาตให้ลดเสียง “T” (ที) บริเวณกลางคำในการพูดแบบทั่วไปได้ และใช้กฎนี้กันอย่างแพร่หลายในการใช้เสียงหยุดที่ออกจากช่องว่างระหว่างเส้นเสียงในการจบคำ
ส่วน 5
ส่วน 5 ของ 6:

การออกเสียง

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. สังเกตว่าคำบางคำออกเสียงเหมือนกับที่เขียนไว้. คำว่า “Herb” ควรจะอ่านออกเสียงด้วยเสียงเอช (H) คำว่า “Been” อ่านออกเสียงว่า "bean" (บีน) แทนที่จะเป็น "bin" (บิน) หรือ "ben" (เบ็น) สำหรับการออกเสียงภาษาอังกฤษแบบมาตรฐานนั้น คำว่า “Again” และ “Renaissance” จะออกเสียงว่า "a gain" (อะ-เกน) และ "run nay seance" (รัน-เนย์-ซีอ็องซ์) ด้วยเสียง “ai” (เอ) ในคำว่า “Pain” แต่ไม่ใช่คำว่า “Said” ส่วนคำที่ลงท้ายด้วย “Body” จะออกเสียงตามที่เขียน เช่น “anybody” ออกเสียงว่า “อนี-เบาะดี้” ไม่ใช่ “อนี-บัดดี้” แต่ให้ใช้เสียง “O” (โอ) สั้นๆ ตามแบบฉบับของการออกเสียงแบบอังกฤษ
  2. อย่างเสียง “H” (เอช) ที่ออกเสียงในคำว่า “Herb” จะออกเสียงว่า "erb" (เอิร์บ) อย่างไรก็ตาม สำเนียงแบบอังกฤษส่วนใหญ่คำที่มีตัว “H” (เอช) เป็นพยัญชนะตัวแรกมักจะไม่ออกเสียง เช่นในสำเนียงอังกฤษทางตอนเหนือหรือสำเนียงของพวกค็อกนี่ เป็นต้น
  3. ในการออกเสียงแบบอเมริกันมักจะออกเสียงว่า “บีน” ในการออกเสียงแบบอังกฤษ “บีน” เป็นการออกเสียงโดยทั่วไป แต่ก็มีการออกเสียงว่า “บิน” ในการสนทนาแบบไม่เป็นทางการที่ไม่นิยมเน้นเสียง (Stress)
  4. สังเกตว่าคำที่มี 2 พยางค์หรือมากกว่านั้นอาจจะเป็นพยางค์พิเศษ. เช่นคำว่า “Road” มักจะออกเสียงว่า "rohd" (โรห์ด) แต่ในแถบเวลส์และชาวไอร์แลนด์เหนือบางคนจะออกเสียงว่า "ro.ord" (โร.อร์ด) บางคนก็อาจจากเรียกว่า "reh-uud" (เรห์-อูอ์)
    โฆษณา
ส่วน 6
ส่วน 6 ของ 6:

ฟังแล้วเลียนแบบ

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. สำเนียงและสำนวนนั้นมีความเป็นท่วงทำนองของตัวเอง ลองตั้งใจฟังสำเนียงและการเน้นเสียงของคนที่พูดภาษาอังกฤษแบบอังกฤษดู โดยโจนาธาน อีฟ (Sir Johnathan Ive) เป็นตัวอย่างที่ดี ลองฟังสำเนียงของเขาตอนพูดในงานของบริษัทแอปเปิล ลองดูว่าประโยคที่เขาพูดมักจะจบด้วยเสียงสูง เสียงปกติ หรือเสียงต่ำ ความแตกต่างของเสียงในประโยคมีการเปลี่ยนแปลงมากแต่ไหน มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างบริบทด้วยน้ำเสียงหรือไม่ ในการพูดแบบอังกฤษ โดยเฉพาะการออกเสียงอังกฤษแบบมาตรฐานนั้นมักจะมีน้ำเสียงที่หลากหลายน้อยกว่าการพูดแบบอเมริกัน และเนื้อเสียงจะต่ำลงเล็กน้อยเวลาจบประโยค อย่างไรก็ตาม สำเนียงในเมืองลิเวอร์พูลหรือทางตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษไม่ได้ใช้หลักแบบนี้
    • ยกตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่า “is he going to the STORE?” ก็จะพูดว่า "is he GOING to the store?" ประโยคคำถามจะมีเนื้อเสียงที่ต่ำลงแทนที่จะสูงขั้น (แต่แบบอเมริกันและออสเตรเลียนจะเป็นเสียงสูงขึ้นแทน)
  2. เช่นประโยค "How now brown cow" และ "The rain in Spain stays mainly on the plain" แล้วลองสังเกตดูดีๆ สระที่ต้องห่อปากในคำเช่น “about” ของคนที่พูดในกรุงลอนดอน จะดูเรียบลงเมื่อออกจากปากของคนในไอร์แลนด์เหนือ
  3. เข้าใจวัฒนธรรมของคนอังกฤษ ซึ่งก็คือไปอยู่ เดิน และพูดกับคนที่พูดภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ. วิธีนี้เป็นวิธีการเรียนรู้สำเนียงแบบอังกฤษที่รวดเร็วและแน่นอนที่สุด แล้วคุณจะพบว่าคุณสามารถพูดด้วยความแตกต่างที่ได้กล่าวถึงไปทั้งหมดนี้ได้ ลองทำอะไรก็ตามที่คนที่พูดภาษาอังกฤษแบบอังกฤษทำ ลองฟังข่าวจากบีบีซี (BBC) โดยสามารถฟังวิทยุหรือโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ตก็ได้ หรือลองฟังเพลงที่คนอังกฤษร้อง หรือภาพยนตร์ที่มีคนอังกฤษเป็นตัวละคร
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • คุณยังสามารถชมเจ้าของชาแนลยูทูป (YouTuber) ที่เป็นคนอังกฤษได้ เช่น AmazingPhil, danisnotonfire, Zoella The Sidemen และอื่นๆ อีกมากมาย
  • เช่นเดียวกับสำเนียง ให้ระวังการใช้คำหยาบ เช่น อย่าใช้คำว่า “lads” หรือ “blokes” กับผู้ชาย “birds” หรือ “lasses” (นิยมใช้ในแถบอังกฤษตอนเหนือและประเทศสก็อตแลนด์) กับผู้หญิง “loo” คือห้องส้วม แต่ “bathroom” เป็นห้องอาบน้ำ
  • ไม่ว่าจะเป็นสำเนียงใดๆ ก็ตาม การฟังและเลียนแบบเจ้าของภาษาเป็นวิธีเรียนรู้ภาษาที่ดีที่สุดและเร็วที่สุด จำไว้ว่าเมื่อคุณเป็นเด็ก คุณจะเรียนภาษาด้วยการฟังจากนั้นก็ทวนคำในขณะที่เลียนแบบสำเนียงไปด้วย
  • การเรียนภาษาด้วยการฟังจากคนจริงๆ จะช่วยให้เรียนรู้ได้ง่ายขึ้น สำเนียงอังกฤษแบบเป็นทางการสามารถฟังได้ที่สำนักข่าวบีบีซี ส่วนการพูดสำเนียงอังกฤษอย่างเป็นทางการจะเรียบและชัดเจนกว่าสำเนียงอเมริกัน แต่ความแตกต่างจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการพูดผ่านโทรทัศน์หรือวิทยุ
  • ช่องอื่นๆ ที่แนะนำก็จะมีช่องทีวีโอ (TVO) ซึ่งมีรายการของคนอังกฤษมากมาย
  • สิ่งที่ควรจะได้ฟังคือการพูดของพระราชินีอลิซาเบธแห่งอังกฤษในการเปิดประชุมรัฐสภา โดยพระองค์ท่านจะตรัสค่อนข้างยาว ซึ่งเหมาะแก่การสังเกตวิธีการพูดของพระองค์มากที่สุด แต่ระวังเอาไว้ว่า พระราชินีจะใช้สำเนียงของชนชั้นสูงค่อนข้างมาก และถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจที่จะเรียนภาษาราชวงศ์แล้วล่ะก็ หลีกเลี่ยงการฟังพระองค์จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะคนอังกฤษอาจจะรู้สึกถูกดูหมิ่นเมื่อชาวต่างชาติพูดด้วยสำเนียงของชนชั้นสูง
  • จำไว้ว่าให้เรียนรู้สำเนียงเพียง 1 สำเนียงต่อครั้งเท่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน
  • ในสหราชอาณาจักรก็มีสำเนียงที่แตกต่างกันไปนับร้อย ดังนั้น ให้จัดประเภทให้ดี เพราะ สำเนียงแบบอังกฤษอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป ไม่ว่าคุณจะไปที่ใดก็ได้ คุณจะพบว่ามีการออกเสียงที่ต่างออกไปมากมายจนคุณไม่อยากจะเชื่อเลยทีเดียว
  • สร้างสรรค์เข้าไว้ และสนุกไปกับการเรียนรู้ ใช้ความรู้ใหม่ที่ได้แล้วออกไปสำรวจ ทดสอบสำเนียงแบบอังกฤษของคุณกับเพื่อนๆ พวกเขาจะบอกได้ว่าคุณทำได้ดีหรือไม่
  • มีหลายพื้นที่ที่มีการใช้คำและมารยาทที่แตกต่างกันไป ให้ลองค้นหาในพจนานุกรมภาษาอังกฤษแบบอังกฤษเพื่อเรียนรู้ศัพท์เฉพาะพื้นที่ จำไว้ว่าไม่ได้มีแค่คำว่า tap/faucet, pavement/sidewalk ที่ต่างกับสำเนียงอเมริกัน ถ้าคุณพยายามนำคำและมารยาทพื้นบ้านไปใช้กับตัวเอง ในกรณีที่ดีที่สุดชาวบ้านก็จะมองว่าคุณเป็นคนตลกขบขัน ถ้าแย่ที่สุดพวกเขาก็จะมองว่าคุณน่าเอ็นดู
  • ออกเสียงทุกอย่างให้ชัดเจนและหนักแน่นในทุกๆ คำ ดูให้ดีว่าคุณได้เว้นระยะห่างระหว่างคำ
  • ไปเที่ยวที่สหราชอาณาจักรและลองฟังวิธีพูดของเขาจริงๆ
  • ตอนที่เป็นเด็ก ความสามารถในการฟังความถี่เสียงที่แตกต่างกันได้ดี ทำให้คุณสามารถแยกแยะที่ออกเสียงได้เหมือนกับคนรอบๆ ตัว ในการเรียนสำเนียงใหม่ๆ ให้ได้ผลนั้น คุณต้องเพิ่มความสามารถการฟังของคุณด้วยการฟังตัวอย่างสำเนียงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
  • เมื่อคุณเรียนรู้เคล็ดลับและฟังเสียงสำเนียงอังกฤษได้แล้ว ให้ลองอ่านหนังสือในขณะที่อ่านเป็นภาษาถิ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนุกและเป็นการฝึกฝนที่
  • ในการฟังสำเนียงอังกฤษทางฝั่งตะวันออกนั้น ให้ลองดูละคร "EastEnders" และซิทคอม "Only Fools and Horses" ทางช่องบีบีซีดู คนส่วนใหญ่จะพูดแบบนี้ โดยเฉพาะชนชั้นทำงานที่อยู่ทางตะวันออกของกรุงลอนดอนและบางส่วนในเมืองเอสเซกซ์และเคนท์ แม้ว่าจะสังเกตได้ง่ายถ้าฟังจากปากคนแก่
  • จำไว้ว่าสำเนียงของจูลี่ แอนดริวส์ (Julie Andrews) หรือ เอ็มม่า วัตสัน ((Emma Watson) นักแสดงที่เล่นเป็นเฮอร์ไมโอนี่ในภาพยนตร์ชุด "Harry Potter") นั้นแตกต่างกับเจมี่ โอลิเวอร์ (Jamie Oliver) และไซม่อน คาวล์ (Simon Cowell)
  • ถ้าคุณรู้จักคนอังกฤษ ลองเรียนรู้จากสิ่งที่พวกเขาพูด
  • อย่าพูดสำเนียงอังกฤษมากเกินไป เพราะบางคนที่รู้ว่าพื้นเพคุณเป็นอย่างไรจะมองว่าน่ารำคาญ
  • ดูรายการโทรทัศน์ของอังกฤษและลองใช้คำใหม่ๆ ที่เรียนรู้มาพัฒนาคำศัพท์ของคุณ และการคอยสังเกตอยู่เสมอจะช่วยให้คุณออกเสียงสำเนียงอังกฤษได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
  • ถ้าคุณต้องการออกเสียงแบบอังกฤษจริงๆ ให้ลองมุ้งเน้นศึกษาภาษาถิ่นดู
  • ออกเสียง “T” (ที) ให้ชัดเจน
  • ดูภาพยนตร์เรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ (Harry Potter) และฟังวิธีการพูดของตัวละคร ตัวละครจะพูดสำเนียงอังกฤษที่ชักเจน แล้วลองแสร้งว่าเป็นตัวละครนั้นและเลียนแบบดู การทำแบบนี้จะช่วยให้คุณพูดเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น
  • ลองดูหรือฟังภาพยนตร์ฮอลลีวูดของอังกฤษหรือบีบีซีที่มีคำบรรยายภาพ เพื่อให้คุณเข้าใจสิ่งที่นักแสดงพูดได้มากยิ่งขึ้น การฝึกคำภาษาอังกฤษเหล่านี้จะช่วยให้สำเนียงอังกฤษของคุณดีขึ้นเรื่อยๆ
  • ลองดูรายการโทรทัศน์ของอังกฤษ เช่น เชอร์ล็อค (Sherlock) ก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่หาดูได้ที่ Netflix แล้วลองฟังดู หยุดแล้วย้อนไปดูประโยคนั้นๆ เรากำลังเรียนรู้ แต่นั่นให้เราได้มากกว่านั้น
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าคิดว่าคุณจะทำได้อย่างรวดเร็ว เพราะว่าคนอังกฤษที่แท้จริงจะรู้ว่าคุณกำลังแสร้งพูด แต่คนที่ไม่ใช่คนอังกฤษอาจจะยอมรับว่าคุณพูดได้จริง
  • อย่ามั่นใจว่าคุณพูดสำเนียงอังกฤษได้ดี การเลียนแบบสำเนียงที่แท้จริงของเจ้าของภาษาเป็นสิ่งที่หาได้ยาก
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • โทรทัศน์
  • เครื่องเล่นแผ่นดีวีดี

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 35,731 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา