ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ความมั่นใจเป็นสิ่งเล็กๆ ที่ไม่น่ารัก เพราะควบคุมยากเสียนี่กระไร การให้ความคิดของคนอื่นเป็นตัวตัดสินว่าคุณจะรู้สึกดีกับตัวเองรึเปล่าอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่มันควรจะขึ้นอยู่กับตัวคุณเองมากกว่ามิใช่หรือ ข่าวดีก็คือ คุณกำลังนั่งอยู่บนขบวนรถไฟสายความเชื่อมั่น และมันก็พร้อมที่จะออกจากชานชาลาแล้ว

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

ทำตัวเป็นคนมั่นใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. หรืออย่างที่เขาเรียกกันว่า “แสร้งทำจนกลายเป็นจริง” นั่นล่ะ เพราะถ้าคุณรู้ว่าตัวเองดูเป็นคนมีความสามารถและมั่นใจในตัวเอง ถึงแม้จะเป็นแค่ภายนอก แต่ท้ายที่สุดคุณจะเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณจึงต้องแต่งตัวด้วยชุดที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองดูดีที่สุด ไม่ใช่ชุดที่คิดว่าคนมั่นใจเขาจะใส่กัน ลองนำกลเม็ดต่อไปนี้ไปใช้ดูหน่อยเป็นไง
    • เจียดเวลาเล็กๆ ในแต่ละวันเพื่อดูแลสุขภาพอนามัยของตัวคุณเอง เพราะคุณต้องแน่ใจว่าคนอื่นมองเห็นคุณในแบบที่ดีๆ เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มต้นด้วยการอาบน้ำทุกวัน แปรงฟันขัดฟันกันสักหน่อย ปิดท้ายด้วยการดูแลผมประทินผิวอีกสักนิด
    • แต่งตัวเสริมความมั่นใจ รู้รึเปล่าว่าคุณไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ยกตู้ก็รู้สึกดีกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้ ขอแค่ทำให้ตัวเองสะอาด สบายเนื้อสบายตัว และรู้สึกดี เพียงเท่านี้คุณก็พร้อมที่จะก้าวออกไปอย่างมั่นใจแล้ว!
    • แต่ก็ไม่ต้องถึงขนาดใส่ชุดสูท 3 ชิ้นไปส่งพิซซ่าหรอกจริงไหม เอาเป็นว่าถ้าคุณคิดว่าคุณดูดี คุณก็น่าจะดูดีจริงๆ นั่นล่ะ
  2. วิธีการวางตัวสื่อให้คนอื่นเห็นถึงอะไรหลายๆ อย่างในตัวคุณ คุณจึงต้องแน่ใจว่าคุณกำลังบอกพวกเขากลายๆ ว่าคุณเป็นคนมั่นใจและควบคุมสถานการณ์ได้ อย่าห่อไหล่ ให้ยืดหลังตรงเข้าไว้ และไม่ก้มหน้าก้มตา ก้าวเท้าฉับๆ อย่างมั่นใจแทนที่จะเดินลากขา และต้องนั่งหลังตรง ถ้าภายนอกคุณดูเป็นคนมั่นใจแล้วล่ะก็ คนทั้งโลกก็จะมองว่าคุณเป็นคนมั่นใจคนหนึ่ง
    • คุณไม่ได้หลอกแค่คนอื่น แต่คุณกำลังหลอกตัวเองด้วยเช่นกัน งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ชี้ให้เห็นว่าการจัดวางลำตัวมีส่วนในการทำให้ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจ ดังนั้นการจัดวางลำตัวอย่างมั่นใจจะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์อย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ภาษากายอย่างมั่นใจยังมีส่วนช่วยในการลดระดับความเครียดอีกด้วย [1]
  3. ฉีกยิ้มให้เป็นนิสัย แล้วคุณจะตกใจเมื่อพบว่าแม้เพียงรอยยิ้มเล็กๆ ก็สามารถลดความขุ่นเคืองในหลายๆ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมได้ แถมยังทำให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นอีกต่างหาก ลองคิดดูสิว่าคุณจะเดินเข้าไปหาคนที่กำลังทำหน้าบึ้งตึงหรือเปล่า คงไม่ล่ะ บายเถอะค่ะ
    • ถ้ากังวลว่ายิ้มของคุณจะดูหลอก ลองเปลี่ยนเป็นยิ้มเล็กๆ แทนก็ได้นะ เพราะการเสแสร้งแกล้งยิ้มอาจจะถูกจับได้แม้เพื่อนจะอยู่ห่างออกไปเป็นกิโล แต่ถ้าคุณรู้สึกดีใจจริงๆ ที่ได้เจอเพื่อน หรือมีความสุขที่ได้ฝึกทักษะใหม่ๆ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ก็จัดไปอย่าให้เสีย จงฉีกยิ้มยิงฟันขาวดุจไข่มุกให้ส่องประกายไปทั่วทั้งโลกหล้า!
  4. นี่อาจจะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ แต่ขอบอกเลยว่ามันสามารถเปลี่ยนความรู้สึกที่คนอื่นมองคุณได้อย่างน่าอัศจรรย์ จงอย่ากลัวการสบตากับคนอื่น เพราะนอกจากมันจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าคุณเป็นคนที่น่าคุยด้วยแล้ว มันจะสื่อให้พวกเขาเห็นว่าคุณเคารพพวกเขา รับรู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้น และสนใจในบทสนทนานั้นอย่างแท้จริง เพราะคุณคงไม่อยากทำกิริยาหยาบคายหรอกจริงไหม
    • ดวงตาเป็นอวัยวะที่ต่างจากอวัยวะทั่วไป เพราะมันเป็นหน้าต่างของหัวใจที่เผยให้เห็นความสนใจและความรู้สึกของเรา (ถ้าเรายินดีที่จะเปิดเผย) การสบตาคู่สนทนานั้นนอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพในการปฏิสัมพันธ์แล้ว ยังช่วยให้เราดูเป็นคนมั่นอกมั่นใจมากขึ้น ทำให้คุณดูเป็นคนน่าไว้ใจและน่าคบหามากยิ่งขึ้น และทำให้คู่สนทนารู้สึกว่าคุณเห็นคุณค่าในตัวเขา [2] ถ้าคุณไม่อยากทำเพื่อตัวเอง อย่างน้อยก็ทำเพื่อพวกเขาหน่อยนะ!
  5. ลองนึกภาพว่า ถ้าคุณเห็นใครสักคนกำลังยืนห่อตัวอยู่ที่มุมตึกและแกล้งทำเป็นเล่นเกมมือถือ คุณจะเดินเข้าไปทักเขารึเปล่า? คงไม่ใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้คนอื่นเข้าหา ก็อย่าลืมทำตัวให้น่าเข้าหาเข้าไว้!
    • เปิดลำตัวออก เพราะการที่คุณนั่งกอดอกไขว้ขวา คุณกำลังบอกคนทั้งโลกว่าคุณไม่สนใจที่จะต้อนรับพวกเขา สีหน้าและมือของคุณก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอื่น (อาจจะคิดเรื่องอื่นอยู่หรือวุ่นอยู่กับหน้าจอ iPhone) พวกเขาก็จะเชื่อในคำใบ้ที่คุณสื่อออกมา
    • อย่าระวังภาษากายของตัวเองจนเกินเหตุ เมื่อเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ก็จะเริ่มพัฒนาท่วงท่าขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ [3]
  6. เมื่อคุณเริ่มเข้าใจในศาสตร์แห่งการสบตาแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาลงสนามฝึก คุณรู้รึเปล่าว่าคนอื่นก็รู้สึกเขินอายกับการสบตาเหมือนอย่างคุณนั่นแหละ เรามาหาอะไรเล่นเพื่อพิสูจน์กันดีกว่า ลองจ้องตากับใครสักคนแข่งกันดูสิว่าใครจะจ้องได้นานกว่ากัน เขาหลบตาไปก่อนใช่ไหม? เห็นมั๊ยล่ะ! เขาก็รู้สึกไม่สะดวกใจเหมือนกันนั่นล่ะ!
    • อ๊ะ อ๊ะ คุณรู้ใช่มั๊ยว่า WikiHow ไม่ได้กำลังเชียร์ให้คุณจ้องเขม็งจนเขาต้องหลบสายตา เพราะการจ้องถลึงเพื่อให้เขารู้สึกไม่ดีและต้องหลบตาเพราะความรู้สึกอึดอัดมันชัดเกินไปไม่ใช่เป้าหมายของเรา เป้าหมายที่แท้จริงของเราคือทำให้ตัวคุณเองเห็นว่า คนอื่นเขาก็รู้สึกประหม่าเมื่อคุณมองตาเขา เหมือนอย่างที่คุณประหม่าเมื่อเขามองตาคุณนั่นล่ะ และถ้าคุณเกิดถูกจับได้ว่าประหม่า ก็ไม่ต้องหวาดกลัวไป แค่สมายล์หวานๆ ค่ะ นั่นล่ะคนเจ๋งตัวจริง!
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

คิดอย่างคนมั่นใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. รับรู้พรสวรรค์และคุณสมบัติดีๆ ของตัวเอง และจดลงไปให้หมด. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกหดหู่ห่อเหี่ยวขนาดไหน ลองยื่นมือไปตบบ่าให้กำลังใจตัวเองสักนิด แล้วคิดถึงพรสวรรค์อันเลอค่าของคุณเข้าไว้ การโฟกัสแต่ด้านดีๆ ของตัวเองจะดึงคุณออกมาจากข้อบกพร่องที่คุณมองเห็น และทำให้คุณเห็นคุณค่าของตัวเองมากขึ้น ลองคิดถึงข้อดีต่างๆ ของคุณ อาจจะเป็นเรื่องหน้าตา มิตรภาพ ความสามารถพิเศษ และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือบุคลิกของคุณ
    • คิดย้อนไปถึงคำชื่นชมที่คนอื่นเคยมอบให้ มีอะไรบ้างที่พวกเขาบอกเกี่ยวกับตัวคุณที่คุณไม่เคยสังเกตหรือรู้ตัวมาก่อน พวกเขาอาจพูดถึงความโดดเด่นในรอยยิ้มของคุณ หรือการที่คุณใจเย็นและสามารถควบคุมสติได้แม้ในสถานการณ์สุดเคร่งเครียด
    • นึกถึงความสำเร็จในอดีต อาจจะเป็นสิ่งที่คนอื่นสังเกตเห็นได้ เช่น ได้ที่ 1 ในวิชาเรียน หรืออาจจะเป็นสิ่งที่มีแค่คุณที่รู้ เช่น การให้ความช่วยเหลือใครสักคนอยู่เงียบๆ เพื่อให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้น จงรับรู้ว่าสิ่งที่คุณทำมันยิ่งใหญ่แค่ไหน สู้ๆ!
    • คิดถึงนิสัยที่คุณกำลังพยายามสร้าง โลกนี้ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบ แต่คุณยังตั้งใจและมุ่งมั่นพยายามทำให้ตัวเองเป็นคนดี เป็นคนน่านับถือ เพราะฉะนั้นเรามาให้เครดิตกับความพยายามของเรากันหน่อยเป็นไง อีกอย่าง การที่คุณคิดที่จะปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น แสดงว่าคุณเป็นคนถ่อมตัวและจิตใจดีในระดับหนึ่งเลยล่ะ แถมยังเป็นลักษณะนิสัยเชิงบวกอีกต่างหาก
      • เอาล่ะ ทีนี้เรามาลองจดข้อดีทั้งหมดของคุณที่คุณคิดออกลงไป เมื่อไหร่ที่จิตใจห่อเหี่ยวขึ้นมาอีกครั้งก็ให้นึกย้อนถึงรายการเหล่านี้ และอย่าลืมใส่รายการทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อได้ทำ
  2. คิดถึงอุปสรรคที่ขวางกั้นเส้นทางแห่งความมั่นใจของคุณ. หยิบกระดาษมาสักแผ่นและจดรายการทุกสิ่งที่คิดว่าเป็นตัวการทำให้คุณขาดความมั่นใจ อาจจะเป็นเกรดแย่ๆ การเป็นคนชอบเก็บตัว มีเพื่อนน้อย ฯลฯ จากนั้นให้ถามตัวเองดูว่าการที่คุณเอาเรื่องพวกนี้มาปิดกั้นตัวเองมันเข้าท่าหรือสมเหตุสมผลรึเปล่า? หรือความคิดเหล่านี้อาจจะเป็นแค่สิ่งที่ฉันคิดเองเออเอง? เราขอเฉลยคำตอบให้เลยว่าคำตอบสำหรับข้อแรกคือ “ไม่” และ “ใช่” สำหรับข้อสอง เพราะมันสมเหตุสมผลรึเปล่าที่เราจะยอมให้สิ่งหนึ่งสิ่งเดียวตัดสินคุณค่าของตัวเรา? ไม่อย่างแน่นอน!
    • เราลองมาดูตัวอย่างกัน: คุณได้คะแนนไม่ดีในการสอบวิชาคณิตครั้งล่าสุด คุณก็เลยไม่มั่นใจในการสอบครั้งถัดมา แต่ลองถามตัวเองดูสิว่าถ้าคุณมุ่งมั่นตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ หมั่นปรึกษาครูเกี่ยวกับบทเรียน และเตรียมตัวพร้อมสำหรับการสอบ คุณจะทำได้ดีขึ้นรึเปล่า? คำตอบคือแน่นอน! เพราะการสอบครั้งแรกเป็นแค่ “หนึ่งเหตุการณ์” ที่บังเอิญผ่านเข้ามา มัน “ไม่ได้มี” ผลกระทบกับชีวิตคุณขนาดนั้น มันจึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะทำให้คุณไม่มั่นใจในตัวเอง
  3. จำไว้เลยว่าทุกคนล้วนมีปัญหาเกี่ยวกับความมั่นใจ. บางคนอาจจะปกปิดได้เก่ง แต่เกือบทุกคนต้องเคยผ่านจุดหนึ่งในชีวิตที่ความมั่นใจของเขาหรือเธอถูกสั่นคลอน คุณไม่ใช่คนเดียวอย่างแน่นอน! และถ้าคุณลองคิดถึงใครสักคนที่ดูมั่นอกมั่นใจอยู่ตลอดเวลา ความจริงก็คงมีบางสถานการณ์ที่ทำให้เขาหรือเธอขาดความมั่นใจอยู่เหมือนกันนั่นล่ะ เพราะความมั่นใจไม่ได้อยู่กับที่ตลอดเวลา
    • เรามีหนึ่งข้อเท็จจริงมาฝากกัน: คนส่วนใหญ่หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าพวกเขาดูเหมือนตัดสินคุณอยู่ตลอดเวลา สังเกตรึเปล่าว่าคนเราชอบพูดคุยและมองเข้าไปในสิ่งที่แทบจะไม่สะท้อนให้เห็นอะไร? นั่นเพราะ 99% ของคนเราชอบครุ่นคิด ลองถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและบอกตัวเองว่าฉันไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์เพอร์เฟคอยู่ตลอดเวลาก็ได้
    • หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เราไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันในทุกสิ่งอย่าง ที่สำคัญ การมองชีวิตในแบบนั้นพาลจะทำให้คุณเหนื่อยเองเสียเปล่าๆ คุณมีความสุขได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด สวยที่สุด หรือป๊อปที่สุด แต่ถ้าคุณเสพติดการแข่งขันชนิดที่ขาดไม่ได้ ลองเปลี่ยนเป็นแข่งกับตัวเองหน่อยเป็นไง โดยการพยายามทำให้ตัวเองเก่งขึ้นในทุกๆ วัน
  4. มองความมั่นใจเป็นสิ่งที่คุณต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ความสำเร็จเพียงครั้งเดียว. การมีความมั่นใจไม่ใช่เส้นชัยที่คุณข้ามได้เพียงครั้งเดียว และเส้นทางแห่งการสร้างความมั่นใจก็ไม่ได้มีเพียงการเดินหน้าเสมอไป อาจจะมีบางวันที่คุณรู้สึกเหมือนตัวเองกลับมาเริ่มต้นใหม่ ซึ่งไม่เป็นไร ให้สูดหายใจเข้าลึกๆ นึกถึงอุปสรรคขวางกั้นความมั่นใจที่คุณเคยทลายได้สำเร็จ และบอกตัวเองให้ก้าวต่อไป ในช่วงเวลาที่ปัญหาถาโถมเข้ามามากที่สุด หน้าที่ของคุณคือคอยตบบ่าให้กำลังใจตัวเองแม้คุณจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลยก็ตาม
    • ส่วนใหญ่เราจะไม่รู้หรอกว่าความจริงเราเองก็มีความมั่นอกมั่นใจกับเขาเหมือนกันจนกว่าเราจะกลายเป็นคนมั่นใจแบบเต็มตัว มีวันไหนที่คุณรู้สึกว่าตัวเองก็ฉลาด ตลก หัวดี หรือตรงต่อเวลากับเขาเหมือนกันบ้างรึเปล่า? อาจจะไม่ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณพยายามเปลี่ยนแปลงตัวแต่ไม่เคยเห็นความเปลี่ยนแปลงในทันที ให้รู้ไว้ว่านั่นเพราะคุณอยู่ใกล้ภาพวาดเกินไป คุณไม่อาจมองเห็นป่าหากจ้องไปที่ต้นไม้ อะไรทำนองนี้แหละ พอจะได้ไอเดียใช่ไหม
  5. (ไม่ใช่โฆษณาเมย์เบอร์ลีนนะคะ) ในวันที่คุณออกมาจากท้องแม่ คุณก็ไม่ได้แคร์ว่าใครจะได้ยินเสียงร้องของคุณ หรือหัวของคุณจะนุ่มนิ่มแค่ไหน คุณก็แค่เกิดมาและมีชีวิต เป็นสังคมต่างหากที่มาคอยชี้นิ้วสั่งและทำให้คุณรู้สึกว่าฉันต้องพิสูจน์ความสามารถให้คนอื่นเห็น มันเป็นสิ่งที่คุณ “เรียนรู้” มาจากสังคม และคุณก็รู้ใช่ไหมว่าเขาพูดถึงสิ่งที่เราเรียนรู้มาว่ายังไง? คุณสามารถ “ลืม” มันได้ยังไงล่ะ
    • ใช้ประโยชน์จากความมั่นใจที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด มันมีอยู่ในตัวคุณอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่อาจถูกฝังลึกลงไปหลังจากปีแล้วปีเล่าที่คุณต้องพบเจอทั้งการสรรเสริญเยินยอ การคุมคาม หรือคำวิพากย์วิจารย์ต่างๆ นานา ลองลบภาพคนอื่นออกไปจากหัวให้หมด ชีวิตเป็นของคุณ ไม่เกี่ยวกับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรขนาดนั้น “คุณ” เป็นคนเก่ง และชีวิตของ “คุณ” ก็ไม่จำเป็นต้องผูกติดอยู่กับคำวิจารย์ของคนอื่น
  6. ต้นเหตุที่แท้จริงของการขาดความมั่นใจไม่ใช่โลกภายนอก แต่เป็นความคิดของคุณเอง เพราะฉะนั้นจงออกมาจากหัวของคุณซะ เมื่อไหร่ที่จับได้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว “จงหยุดคิด” โลกกำลังหมุนรอบตัวคุณ ทำไมไม่ลองเริงระบำไปกับมันหน่อยล่ะ เวลาที่มีอยู่จริงมีเพียงช่วงเวลาขณะปัจจุบัน คุณไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลานี้หรอกหรือ
    • มีอะไรหลายอย่างในโลกอยู่นอกสมองของคุณ (ถ้าคุณออกไปด้วยความเชื่อที่ว่าความจริงเป็นอย่างที่เห็น) การมัวแต่คิดถึงความรู้สึกหรือรูปร่างหน้าตาของตัวเองจะทำให้คุณไม่ได้ใช้เวลาในปัจจุบัน พยายามฝึกหยุดคิดถึงเรื่องราวในอดีตหรืออนาคต และสนใจแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันอาจจะมีอะไรน่าตื่นเต้นรออยู่ก็ได้
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

ฝึกความมั่นใจ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณมีกีฬาหรืองานอดิเรกที่อยากทำได้เก่งๆ มาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ล่ะคือเวลาของคุณ! การพัฒนาทักษะต่างๆ จะช่วยเสริมสร้างความคิดที่ว่าคุณ “มี” ความสามารถพิเศษ และช่วยเพิ่มความมั่นใจให้คุณได้ในที่สุด อาจจะลองหัดเล่นเครื่องดนตรีหรือเรียนภาษาต่างประเทศ หรือลงมือสร้างงานศิลปะ เช่น วาดภาพ หรือเริ่มโปรเจคสร้างอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ที่คุณสนใจ
    • อย่าท้อถ้าคุณไม่รู้สึกเจ๋งขึ้นมาในทันทีทันใด ให้จำไว้ว่าการเรียนรู้มันมีขั้นมีตอน และคุณเริ่มต้นการเรียนรู้เพื่อชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ และเพื่อใช้เวลาที่มีไปกับการพักผ่อนอย่างสนุกสนานเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อทำให้ตัวเองเป็นคนเก่งเหนือใคร
    • หางานอดิเรกที่ทำเป็นกลุ่มได้ การได้พบกับใครสักคนที่คิดอะไรเหมือนๆ กัน สนใจอะไรเหมือนๆ กันเป็นอีกหนึ่งวิธีการง่ายๆ ที่จะทำให้คุณได้เพื่อนใหม่และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเอง ลองมองหากลุ่มหรือชมรมรอบๆ ตัวที่คุณสามารถเข้าร่วม หรือมองหาญาติๆ ที่ชื่นชอบงานอดิเรกเหมือนๆ กัน
  2. พูดตรงๆ ก็คือ.. ความมั่นใจไม่ได้เป็นแค่ภาวะหนึ่งของจิตใจ มันเป็นนิสัย มนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้าอยากมีความมั่นใจ คุณจะต้องทำสิ่งที่ต้องอาศัยความมั่นใจ และหนึ่งในนั้นก็คือการเริ่มบทสนทนากับคนแปลกหน้า ครั้งแรกๆ มันอาจจะน่าประหวั่นพรั่นพรึงไปบ้าง แต่คุณจะรู้สึกประหม่าน้อยลงและน้อยลงในทุกครั้ง
    • รับประกันว่ามันจะไม่ทำให้คนแปลกหน้าที่คุณเข้าไปทักรู้สึกหวาดกลัว เว้นแต่คุณจะเป็นสมาชิกกลุ่มเหยียดสีผิวที่หน้าตาเหมือนแก้วหน้าม้า แถมยังก้าวร้าวและกลิ่นตัวเหม็นตุตะ เพราะฉะนั้นถ้ามีใครยิ้มให้และพูดว่า “สวัสดี” และถามว่าเขาควรจะไปสเวนเซ่นส์หรือแดรี่ควีนดี คุณจะรู้สึกยังไง? คงจะรู้สึกดีใช่ไหม เพราะใครๆ ก็อยากเป็นฮีโร่ และอยากคุยกับคนอื่นๆ ได้แบบลื่นไหล [4] ที่สำคัญ คุณกำลังทำให้วันอันแสนหดหู่ของพวกเขาสดใสขึ้นมา
    • ไม่รู้จะหาโอกาสคุยกับคนแปลกหน้าได้ที่ไหน? ลองเริ่มจากบาริสต้าที่ร้านกาแฟเจ้าประจำหรือสาวน้อยตรงเคาท์เตอร์ร้านขายของหน่อยเป็นไง หรืออาจจะเป็นคนแปลกหน้าที่บังเอิญเดินสวนกันบนถนนก็ได้นะ
  3. การกล้าที่จะพูดขอโทษถือเป็นคุณสมบัติที่ดี (และยังเป็นสิ่งที่หลายคนยังประสบปัญหา) แต่จงใช้คำๆ นี้อย่างระมัดระวังและเมื่อจำเป็นเท่านั้น การพูดขอโทษเมื่อคุณละเลยหรือสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นถือเป็นมารยาทที่ดี แต่การพูดขอโทษเมื่อคุณไม่ได้ทำอะไรผิดอาจทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยจนคุณ “ควร” จะรู้สึกขอโทษไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะพูดคำนี้ออกจากปาก ลองฉุกคิดสักนิดให้แน่ใจว่าคุณจำเป็นต้องขอโทษสำหรับเหตุการณ์นั้นจริงๆ รึเปล่า
    • แก้ปัญหาเฉพาะหน้า คุณสามารถแสดงความเห็นใจหรือความรู้สึกเสียใจโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอโทษ ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังกังวลว่าตัวเองทำให้คนอื่นเดือดร้อน คุณอาจจะพูดว่า “หวังว่ามันจะไม่ทำให้เกิดปัญหานะ” แทนที่จะพูดว่า “ฉันขอโทษ” โดยอัตโนมัติเหมือนอย่างเคย
    • การพูดขอโทษไม่จำเป็นต้องสั่นคลอนความเชื่อมั่นในตัวคุณ มันไม่มีเหตุผลให้ต้องคิดเช่นนั้นเพราะคุณไม่ได้ต้อยต่ำไปกว่าใครๆ เพราะฉะนั้นคุณจะขอโทษทำไมในเมื่อคุณไม่ได้ทำอะไรผิด ที่สำคัญ ถึงคุณจะพูดขอโทษออกไป แต่คุณก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ และถ้าคุณพูดขอโทษอยู่ตลอดเวลา คำขอโทษของคุณจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า เพราะการรู้สึกเสียใจกับทุกสิ่งหมายความว่าคุณไม่ได้รู้สึกเสียใจกับอะไรจริงๆ สักอย่าง ลองหันมาพูดว่า “ฉันขอโทษ” ให้เหมือนกับเมื่อพูดว่า “ฉันรักเธอ” นั่นคือ คุณจะต้องพูดออกมาด้วยใจจริง
  4. อย่าเอาแต่กลอกตาหรือยักไหล่ จงรับมันมา! เพราะคุณคู่ควรที่จะได้รับมัน! ลองสบตากลับไป ยิ้มให้ และพูดว่า “ขอบคุณ” การตอบรับเมื่อใครสักคนอยากชมเชยคุณไม่ได้ทำให้ความถ่อมตนของคุณลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด แต่มันแสดงให้เห็นว่าคุณมีมารยาทและรับรู้คุณค่าในตัวเองอย่างแท้จริง
    • ชมตอบกลับไปบ้าง ถ้าคุณยังรู้สึกไม่สะดวกใจกับการตอบรับคำชม ลองส่งคำชมตอบกลับไปบ้างหลังจากได้รับมันมา วิธีการนี้จะช่วยให้คุณรู้สึกว่าพวกเรามีแต้มต่อ “เท่าๆ กัน” และคุณไม่ได้กำลังทำตัวหยิ่งยโสจนเกินไป
  5. เสริมสร้างความมั่นใจด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น. มองหาจังหวะเวลาเพื่อมอบคำชมให้ผู้อื่น หรือทำสิ่งดีๆ โดยไม่ต้องป่าวประกาศ คุณจะทำให้วันของพวกเขาสดใสขึ้นมาในทันใด และในขณะเดียวกันก็ทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น เมื่อคุณกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความคิดเชิงบวก คนอื่นๆ จะอยากมาอยู่รอบตัวคุณ เพื่อจับยึดความรู้สึกดีๆ เหล่านั้น
    • คนจำนวนมากไม่เก่งในการตอบรับคำชม ส่วนใหญ่เมื่อคุณให้คำชมแก่ใคร เขามักจะชมตอบกลับด้วยเช่นกัน เพียงแต่ต้องแน่ใจว่าคุณหมายความอย่างที่พูดจริงๆ เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาอาจจะตอบกลับมาด้วยความเคลือบแคลงใจ คำชมอย่าง “ฉันชอบเสื้อที่เธอใส่จัง ผลิตที่จีนรึเปล่า” คงจะไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีเท่าไหร่แน่ๆ
  6. ตัดเพื่อนที่ทำให้คุณรู้สึกต่ำต้อยทิ้งไปให้หมด. การอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนตัวเองถูกวิพากย์วิจารย์อยู่ตลอดเวลาคงจะทำให้คุณมั่นใจในตัวเองได้ยาก ความจริงคุณอาจเป็นคนเปิดเผย มั่นใจ พูดอะไรเสียงดังฟังชัด แต่เมื่ออยู่กับคนเหล่านี้ คุณกลับกลายเป็นเหมือนลูกหมาที่ไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นคุณจะต้องตัดเพื่อนเหล่านี้ทิ้งไปเหมือนที่คุณตัดนิสัยแย่ๆ ทิ้ง และต้องทำตอนนี้เลย!
    • สิ่งสำคัญคือ คุณจะต้องนำตัวเองไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ทำให้คุณรู้สึกชอบตัวเองมากที่สุด เพราะคุณจะพัฒนาตนได้อย่างที่ต้องการ (และก็ทำได้จริง!) ก็ต่อเมื่อคุณอยู่ท่ามกลางบุคคลเหล่านี้
  7. ผู้คนมากมายไม่ถูกโฉลกกับการอยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก และอีกมากมายเข้าไปอีกที่ไม่ถูกกับการพูดในที่สาธารณะ ถ้าคุณเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านี้ล่ะก็ การทำสิ่งต่างๆ ให้ช้าลงถือเป็นเคล็ดลับสำคัญสำหรับคุณ เพราะเมื่อเรารู้สึกประหม่า เรามักจะเร่งรีบทำทุกอย่างให้มันเสร็จๆ ไป แต่คุณต้องไม่ทำอย่างนั้นเป็นอันขาด! เพราะมันเป็นการบอกใบ้ให้คนอื่นเห็นว่าคุณกำลังประหม่าและบอกย้ำกับตัวเองว่าคุณกำลังประหม่าอย่างรุนแรง!
    • วิธีแก้ขั้นที่หนึ่ง คือ “หายใจเข้าลึกๆ” เพราะเมื่อไหร่ที่เราหายใจแรงๆ สั้นๆ เรากำลังส่งสัญญาณบอกตัวเองให้พร้อมสำหรับการต่อสู้หรือการบิน หยุดทำเช่นนั้น แล้วคุณจะรู้สึกสงบและผ่อนคลายขึ้นโดยอัตโนมัติ โชคดีที่มนุษย์เราไม่ได้เข้าใจยากมากมายนัก
    • วิธีแก้ขั้นที่สอง คือ พยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ช้าลง ลองคิดถึงเด็กที่เพิ่งอายุ 6 ขวบแต่มีระดับน้ำตาลสูง นั่นล่ะคือสิ่งที่คุณกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ คุณควรให้การกระทำของคุณเป็นไปในทิศทางเดียวกับจังหวะการหายใจ ใช่แล้ว! ทำทุกอย่างอย่างใจเย็นนั่นเอง
  8. เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิตเกิดจากคำทำนายของเราเอง เพราะเมื่อเราคิดว่าเราจะล้มเหลว เราจะไม่พยายามอย่างสุดความสามารถ และเมื่อเราคิดว่าเราไม่เก่งพอ เรามักจะทำมันออกไปไม่เต็มที่ แต่เมื่อคุณคาดหวังความสำเร็จ คุณกำลังวาดภาพมันขึ้นมา ที่สำคัญการมองโลกในแง่ร้ายก็เป็นการดูถูกความสามารถของตัวคุณเอง [5]
    • ตอนนี้คุณอาจจะพูดว่า “ฉันไม่ใช่หมอดูทำนายอนาคตสักหน่อย! ฉันจะไปคาดหวังความสำเร็จได้ยังไง ไม่เห็นจะสมเหตุสมผล คุณกำลังบอกให้ฉันทิ้งเหตุทิ้งผลไปรึไง?!” ความจริงก็ใช่ แต่ถ้าคุณลองมองกลับกันว่า ถ้าปกติฉันชอบคาดว่าสิ่งต่างๆ จะล้มเหลว ทำไมฉันจะลองคาดว่ามันจะสำเร็จดูบ้างไม่ได้? เพราะสองสิ่งนี้ล้วนมีความเป็นไปได้ในทุกเหตุการณ์ และส่วนใหญ่ก็ไม่มีสิ่งไหนจะเป็นไปได้มากกว่ากัน โป๊ะเชะ! รับทราบ!
    • โฟกัสในสิ่งที่คุณต้องการมากกว่าสิ่งที่คุณไม่ต้องการ
  9. บางครั้งคุณอาจต้องเดินฝ่าไปจึงจะเจอทางออก ถ้าอยากเก่งในการใช้ชีวิต คุณจะต้องเผชิญหน้ากับประสบการณ์ที่บีบบังคับให้คุณต้องเรียนรู้ เพราะจู่ๆ คุณจะกลายเป็นคนเจ๋งขึ้นมาเลยมันเป็นไปไม่ได้ และถ้าคุณทำแต่สิ่งเดิมๆ คุณจะไม่เก่งขึ้นไม่ว่าจะในด้านใดก็ตาม คุณจึงต้องไขว่คว้าโอกาสที่จะทำให้คุณได้เติบโต
    • ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ มันจะเกิดขึ้นเสมอ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเรื่องเดียวที่สำคัญคือคุณจะต้องลุกขึ้นมาใหม่ ทุกคนล้วนเคยล้มลุกคลุกคลาน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะลุกขึ้นมาใหม่ และการลุกขึ้นสู้นี่ล่ะที่จะทำให้คุณได้เรียนรู้และเสริมสร้างความมั่นใจ แต่คุณจะต้องล้มลงไปก่อนที่จะได้เรียนรู้สิ่งนี้
    • ออกจากคอมฟอร์ทโซนเพื่อช่วยให้ตัวเองได้เรียนรู้จากประสบการณ์และมีความมั่นใจมากขึ้น
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ฝึกเสียงในความคิดของคุณเสียใหม่ ในสถานการณ์ที่คุณเชื่อว่าตัวเองไม่มีความมั่นใจ ให้ตระหนักไว้เลยว่านั่นเพราะเจ้าเสียงในหัวกำลังกรอกความคิดลบๆ ใส่หูคุณ และคุณจะต้องฝึกให้เจ้าเสียงในหัวนี้คิดบวกเข้าไว้เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้อีก
  • ในทุกๆ วัน ให้ลองคิดถึงรายการสิ่งดีๆ ทั้งหมดเกี่ยวกับตัวคุณ พูดขอบคุณเงียบๆ ในความคิดสำหรับสิ่งต่างๆ ในรายการของคุณ
  • จงสร้างเป้าหมาย ไม่ใช่เพียงความคาดหวัง
  • พูดบวกเข้าไว้ เมื่อไหร่ที่ได้ยินตัวเองพูดความคิดลบๆ เกี่ยวกับตัวเองล่ะก็ รีบลบมันออกไปและแทนที่ด้วยความคิดบวกๆ ในทันที
  • ขอบคุณกับสิ่งที่คุณมี บ่อยครั้งที่ความไม่มั่นคงและขาดความมั่นใจมีต้นตอมาจากความรู้สึกที่ว่าคุณขาดอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความฉลาดทางอารมณ์ โชคดี เงินทอง ฯลฯ แต่เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะยอมรับและเห็นคุณค่าในสิ่งที่คุณมี คุณจะสามารถต่อต้านความรู้สึกขาดและไม่พอใจกับชีวิตนี้ได้ การค้นหาความสงบทางใจช่วยเสริมสร้างความมั่นใจได้อย่างน่าอัศจรรย์เชียวล่ะ
  • หยุดพยายามทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะไม่มีอะไรหรือใครสมบูรณ์แบบ 100% การมีมาตรฐานสูงถือเป็นสิ่งที่ดี แต่คุณจะต้องพบกับกับดับและจุดบกพร่องต่างๆ ในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณจึงควรยอมรับสิ่งเหล่านั้นเป็นประสบการณ์ในการเรียนรู้และก้าวต่อไป
  • ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ต่างๆ และสร้างตัวคุณในจินตนาการให้เป็นคนมีความมั่นใจ สติปัญญา และความเป็นผู้นำ การจินตนาการถึงสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกคุ้นชินกับการเป็นคนมั่นใจมากยิ่งขึ้น และทำให้ตัวเองเริ่มเชื่อว่าคุณสามารถทำได้จริง
  • อย่าลืมใช้ชีวิตทุกวันให้เหมือนเป็นวันสุดท้ายของคุณ ใครจะไปรู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปสนใจว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไงตราบใดที่คุณคิดบวกและรู้สึกดีกับตัวเอง
  • ทุกครั้งที่ส่องกระจกดูตัวเอง ลองชมตัวเองเงียบๆ สักหน่อยเป็นไง และทำไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะเชื่อในคำชมนั้นจริงๆ
  • เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ให้มองไปที่กระจกและบอกตัวเองว่าคุณสู้อุตส่าห์มาไกลขนาดนี้ คุณจะไม่ยอมให้อะไรหรือใครมาดูถูกคุณเป็นอันขาด
  • คนบางคนพูดจาแย่ๆ ใส่คุณ นั่นเพราะพวกเขาอิจฉาคุณ! ไม่ต้องไปใส่ใจ แค่ส่งยิ้มพริ้มกลับไปและมีความสุขกับชีวิตต่อ
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าสละเวลาทั้งชีวิตให้กับภารกิจเสริมสร้างความมั่นใจ คุณควรทำสิ่งที่จะทำให้คุณมีความสุข เพราะในความสุข คุณจะได้พบกับความมั่นใจ
  • ความหยิ่งทะนงกับความมั่นใจนั้นต่างกันนะ การเป็นคนหยิ่งไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ ในขณะที่การเป็นคนมั่นใจเป็นสิ่งที่ควรทำ คุณรู้เส้นแบ่งใช่ไหม


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 9,928 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา