ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ทุกคนต่างก็ต้องเคยเผชิญกับปัญหาผิวแบบต่างๆ ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิว ผิวแห้ง ผิวบอบบางระคายเคืองง่าย ผิวมัน สีผิวไม่สม่ำเสมอ หรือบรรดาริ้วรอยต่างๆ ค่อยยังชั่วที่ปัญหาเหล่านี้แก้ไขได้ง่ายมากหากคุณพร้อมที่จะรักและใส่ใจดูแลผิวหน้าของคุณเอง เริ่มต้นด้วยขั้นตอนที่ 1 ข้างล่างนี้สำหรับขั้นตอนอันเป็นประโยชน์เรื่องการดูแลใบหน้าของคุณอย่างถูกวิธีเพื่อผิวที่สดใส ชุ่มชื้น และสมบูรณ์แบบ!

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

กำหนดขั้นตอนการดูแลผิว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    ขั้นตอนแรกสู่ผิวที่เพอร์เฟ็กต์คือการกำหนดขั้นตอนการดูแลผิวที่เหมาะสำหรับคุณ. ผิวของทุกคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นบางอย่างที่ได้ผลกับคนอื่น อาจไม่ได้ผลกับคุณ ลองพิจารณาผิวของคุณอย่างละเอียดแล้วตัดสินดูว่าคุณมีผิวธรรมดา ผิวบอบบาง ผิวแห้ง ผิวผสม ผิวเป็นสิวง่าย หรือว่าผิวมัน
    • คุณเป็นคนโชคดีมากหากว่าคุณมีผิวธรรมดา! ผิวของคุณไม่มัน รูขุมขนเล็ก สีผิวแลดูสม่ำเสมอ และนานๆ ทีคุณถึงจะมีปัญหาสิวมากวนใจ
    • “ผิวบอบบาง” มักจะตอบสนองไวต่อสิ่งต่างๆ ผิวอาจจะแห้ง คัน หรือระคายเคืองได้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต หรือผลิตภัณฑ์ที่คุณใช้
    • คนที่ “ผิวแห้ง” มักจะรู้สึกตึงหน้าหลังจากล้างหน้าเสร็จใหม่ๆ และอาจต้องทรมานไปกับความแห้งกร้านและปัญหาผิวลอกเป็นแผ่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเจอกับอากาศที่หนาวหรือแห้ง
    • หากคุณมี “ผิวผสม” แสดงว่าผิวของคุณทั้งแห้งและมัน โดยที่ผิวอาจลอกเป็นแผ่นๆ และหยาบกร้านบริเวณรอบๆ กรอบหน้า แต่ว่าผิวจะมันในช่วงทีโซน
    • “ผิวเป็นสิวง่าย” ก็คือผิวที่สามารถเกิดสิวชนิดต่างๆ ได้ง่าย ทั้งสิวหัวดำ สิวอุดตัน รวมถึงมีความมันส่วนเกินด้วย แม้ว่าคุณจะพยายามรักษาความสะอาด แต่ก็ยังต้องทุกข์ทนไปกับสิวที่เห่อขึ้นมาอยู่ดี
    • “ผิวมัน" สามารถมันแผล็บและดูมันวาวได้แม้ว่าคุณจะเพิ่งล้างหน้าได้ไม่ถึงชั่วโมง ความมันบนใบหน้าอาจจะซึมเยิ้มทะลุเครื่องสำอางและทำให้เครื่องสำอางคุณไหลเละได้
    • นอกจากนี้ ไม่ว่าคุณจะมีสีผิวโทนไหน สีผิวก็มีส่วนในการกำหนดปัญหาผิวของคุณด้วย ดังนั้นคุณจึงควรคำนึงเรื่องสีผิวด้วยเวลาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
  2. 2
    ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้. การทำความสะอาดหน้า มีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยล้างเอาสิ่งสกปรก น้ำมัน แบคทีเรีย และร่องรอยเครื่องสำอางที่ตกค้างอยู่ออกไป
    • อย่างไรก็ตาม บางคนก็เชื่อว่ายิ่งล้างหน้าบ่อยเท่าไหร่ยิ่งดี แต่นี่เป็นความเชื่อที่ผิด การล้างหน้ามากเกินไปเลวร้ายมากพอๆ กับการไม่ล้างหน้าเลย เพราะว่าการล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้ผิวแห้ง แดง และระคายเคืองได้
    • ยึดหลักว่าล้างหน้า 2 ครั้งต่อวันก็พอ โดยล้างหน้า 1 ครั้งในตอนเช้าเพื่อล้างเอาความมันที่สะสมในตอนกลางคืนออกไป และล้างหน้าอีก 1 ครั้งในตอนเย็นเพื่อล้างเอาสิ่งสกปรกและเครื่องสำอางที่สะสมในระหว่างวันออกไป
    • ใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะกับประเภทผิวของคุณ (ข้างหลอดควรจะบอกเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว) หากเป็นไปได้ พยายามหลีกเลี่ยงโฟมล้างหน้าที่ใส่น้ำหอม ใส่สี หรือใส่สารเคมีเต็มไปหมด เพราะว่าสารเหล่านี้อาจทำให้ผิดระคายเคืองได้ หรืออย่างน้อยๆ สารเหล่านี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใดกับผิวของคุณเลย เมื่อใดที่ต้องเลือกผลิตภัณฑ์มาใช้กับหน้า ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายไว้ก่อนจะเป็นดี
    • ในการล้างหน้า พรมใบหน้าด้วยน้ำอุ่น หากใช้น้ำร้อนก็ออกจะรุนแรงกับผิวมากไปเสียหน่อยและอาจทำให้ผิวแห้งได้ แต่หากใช้น้ำอุ่นจะพอเหมาะพอเจาะมากเพราะอุณหภูมิของน้ำจะช่วยเปิดรูขุมขน บีบโฟมล้างหน้าปริมาณเล็กน้อยใส่มือและใช้นิ้วนวดโฟมลงบนใบหน้า โดยให้นวดเบาๆ วนเป็นวงกลม
    • จากนั้นล้างโฟมออกด้วยน้ำเย็น (เพื่อปิดรูขุมขน) โดยทำให้แน่ใจว่าคุณล้างโฟมออกจนสะอาดหมดจด ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับน้ำออกจากใบหน้าเบาๆ จนแห้ง (อย่าถูไปมา เพราะมันรุนแรงไปสำหรับผิวหน้า) หรือจะดีไปกว่านั้นอีกถ้าคุณปล่อยให้หน้าของคุณแห้งเองโดยธรรมชาติ
  3. 3
    โทนเนอร์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนมักมองข้ามมากที่สุด และผู้หญิงหลายคนมักข้ามขั้นตอนนี้ไป. ถึงแม้ขั้นตอนการดูแลผิวขั้นตอนนี้จะไม่ได้สำคัญจำเป็นมากนัก แต่การใช้โทนเนอร์ก็มีข้อดีมากมาย
    • ประการแรก โทนเนอร์ช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกตกค้าง เครื่องสำอาง หรือเซลล์ผิวตายแล้วที่คุณอาจล้างออกไม่หมด ทำให้ใบหน้าของคุณสะอาดหมดจดจริงๆ ประการที่ 2 โทนเนอร์ช่วยทำให้ค่า pH ของผิวคืนสู่ความสมดุลในอุดมคติซึ่งคือมีค่าเป็นกรดเล็กน้อย และประการที่ 3 โทนเนอร์ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นกำลังดี ซึ่งจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่คุณจะใช้ต่อ (เช่น ครีมบำรุงผิว เซรั่ม หรือครีมกันแดด) ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น
    • นอกจากนี้ การใช้โทนเนอร์ยังเป็นวิธีการที่ดีในการเติมสารออกฤทธิ์ต่างๆ ให้กับผิวของคุณ ซึ่งสารออกฤทธิ์เหล่านี้ควรเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับประเภทผิวของคุณ คนที่มีผิวไวต่อการเกิดสิวเหมาะกับโทนเนอร์ที่มีส่วนประกอบของ AHA หรือ BHA ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ส่วนคนผิวแห้งควรเลือกใช้โทนเนอร์ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยส่วนประกอบเช่นวิตามินอี หรือสารสกัดจากว่านหางจระเข้ ส่วนคนที่ต้องการโทนเนอร์ที่ช่วยชะลออายุผิวควรเลือกโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของสารต้านอนมูลอิสระ (เพื่อช่วยฟื้นบำรุงผิว) และเรตินอยด์ (เพื่อต่อต้านริ้วรอย) อย่างไรก็ดี คนที่มีผิวแห้งหรือผิวบอกบบางควรหลีกเลี่ยงโทนเนอร์ที่มีเบสเป็นแอลกอฮอล์เพราะแอลกอฮอล์รุนแรงเกินไปสำหรับผิวและอาจทำให้ผิวแห้งได้ [1]
    • โทนเนอร์ส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบน้ำซึ่งใช้ได้ง่าย เพียงเทโทนเนอร์ปริมาณเล็กน้อยใส่สำลีและใช้เช็ดให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ เสร็จแล้วทิ้งไว้โดยไม่ต้องล้างโทนเนอร์ออก
  4. 4
    ไม่ว่าคุณจะมีผิวประเภทไหน การเลือกครีมบำรุงผิวเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่งในการดูแลผิว. ครีมบำรุงผิวช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวโดนการเก็บกักน้ำที่บริเวณผิวชั้นนอกเอาไว้ นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิว และช่วยให้ผิวเรียบเนียนกระจ่างใสขึ้นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เหมือนกันกับสกินแคร์อื่นๆ ครีมบำรุงผิวที่คุณเลือกจะขึ้นอยู่กับประเภทผิวของคุณ
    • คนที่มี “ผิวธรรมดา” ควรเลือกใช้ครีมบำรุงที่มีเบสเป็นน้ำ ซึ่งจะช่วยคงความสมดุลของผิวเอาไว้ ครีมบำรุงที่คุณเลือกควรมีเนื้อบางเบา และไม่ทำให้ผิวหน้ารู้สึกเหนียวเหนอะหนะ ครีมบำรุงผิวสำหรับคนผิวธรรมดามักจะมีส่วนผสมของน้ำมันเนื้อเบา เช่น เซตทิล แอลกอฮอล์ และไซโคลเมทิโคน
    • คนที่มี “ผิวแห้ง” ต้องใช้ครีมบำรุงผิวที่มีเนื้อหนาหนักเพื่อความชุ่มชื้นสูงสุด ดังนั้นครีมบำรุงผิวสำหรับคนผิวแห้งจึงมักมีเบสเป็นน้ำมัน ซึ่งสามารถเก็บล็อคความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดี มองหาครีมที่มีส่วนประกอบของสารที่ให้ความชุ่มชิ้นได้สูง เช่น น้ำมันเมล็ดองุ่น และไดเมทิโคน (น้ำมันซิลิโคนประเภทหนึ่ง)
    • “ผิวมันและเป็นสิวง่าย” ก็ต้องการการบำรุงเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้โฟมล้างหน้าและโทนเนอร์ที่ทำให้หน้าแห้ง เลือกครีมบำรุงที่มีเนื้อบางเบา มีเบสเป็นน้ำ และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ติดฉลากว่า “non-comedogenic” ซึ่งหมายความว่าครีมนั้นจะไม่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน
    • “ผิวบอบบางแพ้ง่าย” ต้องใช้ครีมบำรุงที่อ่อนโยนและไม่ระคายเคืองผิว หลีกเลี่ยงครีมบำรุงที่ใส่สีหรือน้ำหอม และห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของกรด แต่ให้เลือกใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนประกอบที่ช่วยปลอบประโลมผิว อย่างเช่น ว่านหางจระเข้ คาโมไมล์ หรือแตงกวา
    • “ผิวเหี่ยวย่นมีริ้วรอย” มักจะแห้งกร้านได้ง่าย ดังนั้นให้เลือกใช้ครีมบำรุงที่มีเนื้อหนา เบสเป็นน้ำมันหรือปิโตรเลียม และควรมองหาคุณประโยชน์จากส่วนผสมอย่างสารต้านอนุมูลอิสระ สารในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ และกรด AHA ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งและลดเลือนริ้วรอย [2]
  5. 5
    การสครับผิวเป็นประจำจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป. ช่วยให้ผิวสดชื่น เรียบเนียน และเปล่งปลั่ง ดังนั้นจึงสำคัญมากที่ต้องสครับผิวอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง หรืออาจมากกว่านั้นก็ได้ขึ้นอยู่กับประเภทผิวของคุณ
    • อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนมากเชื่อว่าต้องสครับผิวแรงๆ ซึ่งความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง เพราะอาจจะทำร้ายผิวของคุณได้ เพราะว่าการสครับผิวแรงๆ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์สครับผิวที่หยาบจะทำให้ผิวหนังเป็นแผลเล็กๆ จำนวนมาก [3]
    • ผิว (โดยเฉพาะผิวหน้า) นั้นบอบบางและต้องใช้ความรักและการดูแลเอาใจใส่มากกว่าที่คนส่วนใหญ่คิด ดังนั้นถ้าคุณจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สครับผิว ให้เลือกอันที่เม็ดสครับมีขนาดเล็ก และหลีกเลี่ยงอันที่มีเม็ดสครับขนาดใหญ่
    • หรือไม่คุณสามารถซื้อโฟมล้างหน้าที่มีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น กรด AHA ซึ่งจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วโดยไม่ต้องสครับ อีกอย่างหนึ่งคุณสามารถใช้ผ้าขนหนูสะอาดชุบน้ำหมาดๆ ถูใบหน้าเบาๆวิธีนี้ใช้ได้ผลเหมือนกับใช้ผลิตภัณฑ์สครับผิว แต่คุณไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเลย
    • อีกทางเลือกหนึ่งคือการลงทุนซื้ออุปกรณ์ล้างหน้าและสครับหน้า เช่น เครื่อง Clarisonic ซึ่งมีแปรงหมุนได้เพื่อการล้างหน้าและทำความสะอาดรูขุมขนอย่างเกลี้ยงเกลา ผู้ใช้เครื่อง Clarisonic หลายคนยืนยันว่าเครื่องนี้ดีจริงๆ แต่ด้วยราคาที่แพงมากๆ (ตั้งแต่ประมาณ 3,200-7,300 บาท) เครื่องนี้จึงไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน
    • วิธีผลัดเซลล์ผิวอย่างสุดท้ายคือการทำสครับใช้เองที่บ้าน วิธีนี้ทำได้ง่ายและให้ผลลัพธ์ดีพอๆ กันกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อจากร้าน ข้อดีของการทำสครับใช้เองคือคุณสามารถเลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ธรรมชาติกับผิวหน้าของคุณ คุณสามารถลองผสมน้ำตาลทรายไม่ฟอกสีกับน้ำมันมะกอก หรือเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่า หรือส่วนผสมอื่นๆ ก็ได้
  6. 6
    ลบเครื่องสำอางทุกครั้ง. นี่อาจจะฟังดูเหมือนวิธีที่ง่ายที่สุดในโลก แต่คุณไม่ควรละเลยความสำคัญของการลบเครื่องสำอางออกให้หมด “ทุกคืน” มันวุ่นวายและจะมีบางคืนที่ที่คุณขี้เกียจทำแน่ๆ แต่ผิวหน้าของคุณจะรู้สึกขอบคุณคุณมากๆ ที่ช่วยลบเครื่องสำอางออก!
    • หากเครื่องสำอางค้างอยู่บนใบหน้าของคุณตลอดทั้งคืน มันอาจจะอุดตันรูขุมขนของคุณได้ แถมยังขัดขวางผิวไม่ให้ซ่อมแซมตัวเองจากความเครียดที่สะสมมาทั้งวันด้วย อีกทั้งยังทำให้คุณมีสิวหัวดำ สิวอุดตัน น้ำมันส่วนเกิน และปัญหาผิวอีกมากมายเต็มไปหมด!
    • นอกจากนี้ เครื่องสำอางยังอาจจะเก็บเอาอนุมูลอิสระที่ผิวของคุณได้รับมาในระหว่างวัน ถ้าคุณล้างหน้าไม่เกลี้ยงตอนกลางคืนอนุมูลอิสระพวกนี้จะคงอยู่บนผิว ซึ่งไม่ดีเลยเพราะอนุมูลอิสระทำลายคอลลาเจนในผิวของคุณ ทำให้ผิวของคุณมีริ้วรอยได้ [4]
    • แม้ว่าการปฏิบัติตามขั้นตอนล้างหน้า ทาโทนเนอร์ และทาครีมบำรุงจะดีที่สุด แต่คุณควรเก็บคลีนซิ่งไวป์สำหรับหน้าและสำหรับตาโดยเฉพาะไว้ใกล้เตียง คุณจะได้เช็ดเครื่องสำอางออกได้อย่างรวดเร็วก่อนเข้านอน
    • ถ้าเป็นไปได้ นานๆ ทีคุณก็ควรจะพักหน้าและไม่แต่งหน้าบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปกติคุณทารองพื้นแบบหนา คุณอาจจะรู้สึกไม่มั่นใจและกลัวแต่ว่าผิวหน้าของคุณจะรู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าคุณไม่กล้าโชว์หน้าสดจริงๆ คุณอาจลองเปลี่ยนไปใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แบบผสมสี (tinted moisturizer) แทนก็ได้ เพราะว่ามันบางเบากว่าการใช้รองพื้นทั่วไป แต่ก็ยังช่วยปกปิดอยู่
    • สุดท้าย ทุกๆ 6 เดือนคุณควรไล่ดูว่าเครื่องสำอางในกระเป๋าของคุณอันไหนอยู่มานานมากๆ แล้วบ้าง เครื่องสำอางเป็นที่อยู่อาศัยชั้นดีสำหรับแบคทีเรีย ดังนั้นการใช้รองพื้นที่เริ่มจับตัวเป็นก้อน หรือมาสคาร่าเหนียวเหนอะอาจทำให้รูขุมขนอุดตันและสิวเห่อได้
  7. 7
    ทากันแดด. สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด หลังจากคุณอ่านบทความนี้จบ อย่างหนึ่งที่คุณต้องเพิ่มเข้าไปในขั้นตอนบำรุงผิวของคุณคือการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เพราะการปกป้องผิวคุณจากแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญมาก
    • ครีมกันแดดช่วยปกป้องผิวของคุณจากอันตรายของรังสี UVA และ UVB ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาผิวมากมายนับไม่ถ้วน ประการแรก มีการพิสูจน์แล้วว่าการทาครีมกันแดดช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ ซึ่งจริงๆ แค่เหตุผลข้อเดียวนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้คุณหันมาทาครีมกันแดดทุกวัน
    • ประการที่ 2 ครีมกันแดดช่วยคงความอ่อนเยาว์ของผิวเอาไว้ยามคุณแก่ตัว จริงๆ แล้วแสงแดดเป็นตัวการสำคัญเบื้องหลังปัญหาผิวมากมาย ทั้งร่องลึก ริ้วรอย ฝ้า รอยเส้นเลือดแดง และผิวหมองคล้ำ การทาครีมกันแดดเป็นประจำจะช่วยชะลอการเกิดขึ้นของปัญหาผิวที่มาพร้อมกับแสงแดดและอายุเหล่านี้ได้ ทำให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์
    • คุณควรเลือกซื้อครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 โดยเฉพาะหากคุณมีผิวขาวและมีผมสีบลอนด์หรือแดง หรือไม่ก็เลือกครีมบำรุงหรือรองพื้นหลายๆ รุ่นก็มีค่า SPF อยู่ในตัวแล้วด้วย ซึ่งจะช่วยให้ขั้นตอนบำรุงผิวขามเช้าของคุณง่ายดายขึ้น
    • อย่าลืมทาครีมกันแดด “ทุกวัน” ไม่ใช่ทาเฉพาะหน้าร้อนหรือวันที่แดดจ้าเท่านั้น รังสี UV ยังคงทำร้ายผิวคุณได้แม้ในหน้าหนาวหรือในวันที่ฝนตกหรือมีเมฆมาก และคุณยังสามารถใส่แว่นกันแดดและหมวกเก๋ๆ เพื่อช่วยป้องกันแดดอีกขั้นด้วย
    • อย่าใช้ครีมกันแดดที่เก่าหรือหมดอายุแล้ว เพราะว่าประสิทธิภาพในการกันแดดของมันจะหายไป จึงไม่สามารถป้องกันผิวจากการเกรียมแดดได้ นอกจากนี้ ครีมกันแดดที่หมดอายุแล้วจะเปลี่ยนสูตรไปจากเดิมจนอาจทำให้ผิวของคุณระคายเคืองหรือเป็นผื่นคันได้ [5]
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

วิธีแก้ปัญหาผิวแบบต่างๆ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    ปัญหาสิวเป็น 1 ในปัญหาที่รักษายากและน่ารำคาญมากที่สุด. ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะมีปัญหาสิวในช่วงวัยรุ่น แต่ในบางคนเมื่อโตขึ้นสิวก็ยังคงไม่หาย และจริงๆ แล้วทุกคนก็อาจจะมีสิวขึ้นได้บ้างแม้ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม เพราะว่าสิวเป็นปัญหาที่แพร่หลายมากๆ ดังนั้นจึงมีวิธีรักษาสิวหลากหลายวิธี และคุณสามารถลองผิดลองถูกเพื่อให้รู้ว่าวิธีไหนเหมาะกับคุณที่สุด
    • ปฏิบัติตามขั้นตอนบำรุงผิวปกติ อันได้แก่ ล้างหน้า เช็ดด้วยโทนเนอร์ และทาครีมบำรุง โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวเป็นสิวง่ายโดยเฉพาะ เลือกใช้โฟมล้างหน้าที่มี ไตรโคลซาน, เบนซอยล์ เพร็อกไซด์ (BP) หรือกรดซาลิไซลิค เป็นส่วนผสม และใช้ครีมบำรุงที่มีเนื้อบางเบา ปราศจากน้ำมัน เพื่อบำรุงให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน
    • นอกจากนี้ คุณควรเพิ่มยาแต้มสิวเข้าไปในขั้นตอนบำรุงผิวของคุณด้วย โดยยาแต้มสิวนี้มักจะมาในรูปแบบครีมหรือขี้ผึ้ง ส่วนผสมที่ได้ผลมากที่สุด ได้แก่ เบนซอยล์ เพร็อกไซด์ (BP) กรดซาลิไซลิค ซัลเฟอร์ เรตินอยด์ และกรดอาซาเลอิค ยาเหล่านี้ส่วนใหญ่หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่ว่ายาบางตัวที่มีความเข้มข้นสูงมากจะต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งยาให้เท่านั้น
    • ถ้าการทาแต้มสิวเพียงอย่างเดียวดูจะไม่ได้ผล ลองไปหาแพทย์ผิวหนังดู แพทย์อาจจะให้ยาต่างๆ ทั้งยาทาและยากิน ขึ้นอยู่กับประเภทของสิวและต้องดูว่าเป็นหนักแค่ไหน บางคนรักษาหายได้ด้วยการกินยาฆ่าเชื้อ หรือยาคุมกำเนิด ส่วนบางคนอาจต้องใช้ยาวิตามินเอที่ออกฤทธิ์แรงหน่อย เช่น แอคคิวเทน (accutane)
  2. 2
    รักษาความอ่อนวัย. ริ้วรอย ตีนกา ความเหี่ยวย่น และจุดด่างดำ คือปัญหาผิวที่ทุกคนจะต้องเจอเมื่อมาถึงจุดหนึ่งในชีวิต แต่ด้วยการดูแลรักษาและการป้องกันที่ถูกต้อง คุณจะสามารถชะลอการเกิดปัญหาเหล่านี้ และรักษาผิวของคุณให้ดูอ่อนเยาว์ได้นานขึ้น
    • ประการแรก คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาเผื่อคนผิวที่สูงวัยขึ้น ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะมีความเข้มข้นและชุ่มชื้นกว่า ซึ่งจะช่วยได้มาก เพราะเมื่อคุณแก่ตัว ผิวมักจะแห้งลอกได้ง่าย
    • ในการต้อสู่กับริ้วรอยและความเหี่ยวย่น เลือกใช้ครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ เพราะสานต้านอนุมูลอิสระจะช่วยให้อนุมูลอิสระมีค่าเป็นกลาง ทำให้อนุมูลอิสระไม่ทำลายเซลล์ผิวหรือทำให้ผิวของคุณเหี่ยวย่น สารต้านอนุมูลอิสระที่เราคุ้นชินกันดีได้แก่ สารสกัดจากใบชา เรตินอล (อนุพันธ์วิตามินเอ) และคิเนติน (อนุพันธ์ของพืชชนิดหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่าช่วยเพิ่มคอลลาเจนในชั้นผิว) [6]
    • ในการรักษาจุดด่างดำและผิวที่คล้ำเสียจากแดด เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ BHA หรือ AHA ซึ่งจะช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป ดังนั้นผิวชั้นนอกที่ด่างดำจะค่อยๆ ลอกออกไป เผยผิวข้างในที่เนียนนุ่มใส
    • อย่างไรก็ดี หากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์สุดวิเศษที่จะช่วยรักษาทุกปัญหาริ้วรอยและตีนกา เรตินเอคือผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยคุณได้ เรตินเอ (หรือที่รู้จักกันในชื่อกรดเทรตินอยด์หรือเรตินอยด์) เป็นวิตามินเอที่มีฤทธิ์เป็นกรด ซึ่งสามารถช่วยลดริ้วร้อย ช่วยให้ผิวที่เหี่ยวย่นกระชับขึ้นด้วย รวมทั้งช่วยให้ผิวสม่ำเสมอเรียบเนียนขึ้นด้วย เนื่องจากเรตินเอช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเซลล์ใหม่ๆ เร็วขึ้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน รวมทั้งช่วยผลัดเซลล์ผิวด้วย คุณต้องให้แพทย์สั่งเรตินเอให้เท่านั้น ดังนั้นปรึกษาแพทย์ผิวหนังของคุณก่อน [7]
  3. 3
    ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ. อาจเกิดขึ้นได้หลายแบบ เช่น ฝ้า กระ หรือรอยด่างดำ
    • ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการที่ผิวของคุณผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ซึ่งอาจมีต้นเหตุได้หลายอย่าง เช่น การตากแดด การตั้งครรภ์ การเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน การกินยาคุมกำเนิด การกินยาอื่นๆ หรือการแกะสิว แม้ว่าปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอนี้อาจจะจางหายไปเองได้ แต่คุณก็สามารถเร่งให้มันจางหายเร็วขึ้นได้ด้วยหลากหลายวิธี
    • ขั้นตอนแรกในการแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของเรตินอยด์และใช้มันเป็นประจำทุกวัน เรตินอยด์คือวิตามินเอซึ่งจะช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวชั้นแรกที่มีสีไม่สม่ำเสมอหลุดออกไป เผยผิวข้างใต้ที่กระจ่างใส โดยการใช้วิธีนี้คุณจะเห็นว่าผิวของคุณดีขึ้นภายในไม่กี่เดือน แต่หากคุณต้องการได้ผลที่เร็วขึ้นอีก ให้ไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อขอให้แพทย์สั่งครีมหรือเจลที่มีกรดเรติโนอิค ซึ่งจะให้ผลที่เหมือนกับเรตินอยด์ในเวลาที่สั้นลงกว่าเดิม
    • หากคุณกำลังมองหาวิธีรักษาฝ้า ไฮโดรควิโนนเป็นทางเลือกที่ได้ผลดี ไฮโดรควิโนนช่วยให้ผิวกระจ่างใส่ขึ้นโดยการยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานิน คุณสามารถหาซื้อไฮโดรควิโนนสูตร 2% ได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่หากคุณต้องการไฮโดรควิโนนสูตร 4% คุณต้องไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อปรึกษาและให้แพทย์สั่งยาให้ ทั้งนี้ ก่อนเริ่มใช้ยาตัวนี้ คุณควรรู้ว่าไฮโดรควิโนนถูกแบนในหลายๆ พื้นที่ในทวีปเอเชียและยุโรป เนื่องจากมันสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียงคือเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง [8]
    • หากเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา คุณอาจลองรักษาผิวด้วยเลเซอร์หรือแสง หรือลอกผิวด้วยสารเคมี หรือ microdermabrasion ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อดูว่าวิธีไหนเหมาะสำหรับคุณที่สุด
    • และสุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอคือ “ทาครีมกันแดดเป็นประจำ” ครีมกันแดดสามารถช่วยป้องกันรังสี UV ไม่ให้ไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินในผิว ซึ่งจะทำให้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอของคุณแย่ลงกว่าเดิมอีก
  4. 4
    การมีผิวบอบบางระคายเคืองง่ายช่างน่าลำบาก. คุณต้องระวังมากๆ เวลาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ บนใบหน้า และเวลาบำรุงรักษาผิว ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะต้องเผชิญปัญหาผิวมากมาย เช่น ปัญหาผิวแห้งกร้าน ผิวแห้งตึง หน้าแดง ผื่นแดง หรือแม้กระทั่งตุ่มหนอง
    • การมีผิวบอบบางระคายเคืองง่ายยังทำให้คุณเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางผิวหนังเช่น ผื่นแดง, หน้าแดง, สิวเห่อและอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม คุณสามารถเรียนรู้ที่จะใจเย็นและศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แล้วคุณจะพบว่าการมีผิวบอบบางระคายเคืองง่ายเป็นเรื่องที่คุณสามารถจัดการได้โดยง่าย
    • อย่างที่กล่าวไปแล้วตอนต้น เวลาคุณเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สำหรับผิวบอบบางระคายเคืองง่ายคุณควรหลีกเลี่ยงโฟมล้างหน้า ครีมบำรุง หรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตามที่ผสมสีหรือน้ำหอม เพราะว่าผลิตภัณฑ์พวกนี้จะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย เวลาเลือกผลิตภัณฑ์ใดๆ ก็ตาม เลือกผลิตภัณฑ์ที่เรียบง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ มองหาโฟมล้างหน้าหรือครีมบำรุงที่มีส่วนประกอบไม่เกิน 10 อย่าง
    • นอกจากนี้คุณควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีสารต้านแบคทีเรีย แอลกอฮอล์ เรตินอยด์ หรือ กรด AHA แม้ว่าส่วนประกอบเหล่านี้จะมีประโยชน์กับผิวประเภทอื่น แต่มันไม่เหมาะกับผิวบอบบางเลยแม้แต่น้อย เพราะจะทำให้ผิวของคุณแห้งและระคายเคือง
    • มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ปลอบประโลมผิว และต้านการอักเสบ เช่น คาโมไมล์ ชาขาว ว่านหางจระเข้ ดอกดาวเรือง ข้าวโอ๊ต และพืชทะเลชนิดต่างๆ
    • ถ้าคุณอยากลองใช้ผลิตภัณฑ์ใดเป็นพิเศษ คุณควรทดลองก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่แพ้ผลิตภัณฑ์นั้นๆ โดยคุณสามารถลองทาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในปริมาณที่เล็กน้อยบริเวณหลังหูของคุณ ทำเช่นนี้ 5 คืนติดต่อกัน หากคุณไม่รู้สึกระคายเคือง ไม่มีผื่นขึ้น ขั้นตอนต่อไปคือให้ลองทาผลิตภัณฑ์นั้นที่ผิวข้างๆ ดวงตา ทำเช่นนี้ 5 คืนติดต่อกัน สุดท้ายหากคุณไม่รู้สึกระคายเคืองเลย แสดงว่าคุณสามารถทาครีมนั้นได้ทั้งหน้าอย่างปลอดภัย
    • ในแง่ของเครื่องสำอาง มองหารองพื้นที่มีเบสเป็นซิลิโคน เพราะว่ารองพื้นประเภทนี้จะไม่ทำให้ผิวของคุณระคายเคือง และเลือกใช้อายไลน์เนอร์แบบดินสอและใช้ดินสอเขียนคิ้ว แต่หลีกเลี่ยงอายไลน์เนอร์แบบน้ำหรือที่เขียนคิ้วแบบน้ำ เพราะว่ามันจะมีส่วนผสมของยางซึ่งอาจทำให้คุณแพ้ได้ นอกจากนี้อย่าใช้มาสคาราแบบกันน้ำ เพราะว่าคุณจะต้องใช้ที่ล้างเครื่องสำอางแบบพิเศษ ซึ่งจะแรงไปสำหรับผิวบอบบางของคุณ [9]
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. 1
    พยายามเลือกทานอาหารสุขภาพดี. เปี่ยมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ผิวของคุณต้องการ วิตามิน B, C, E, A และ K จะช่วยให้ผิวของคุณสดชื่นเปล่งปลั่ง
    • วิตามิน B เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของผิว ผม และเล็บ เลือกทานอาหารที่มีวิตามิน B สูง เช่น ข้าวโอ๊ต ไข่ ข้าว และกล้วย
    • วิตามิน C ปกป้องผิวของคุณจากแสงอาทิตย์ รวมทั้งป้องกันคุณจากมะเร็งผิวหนังด้วย วิตามิน C มีมากในผักผลไม้อย่างเช่น มะนาว ส้ม พริกหวาน แครนเบอร์รี่ องุ่น กะกล่ำดอก และผักใบเขียวชนิดต่างๆ
    • วิตามิน E ช่วยปกป้องผิวของคุณจากแสงอาทิตย์ได้เช่นกัน เลือกทานอาหารที่มีวิตามิน B สูง อันได้แก่ มะกอก ผักโขม รวมถึง ถั่ว ธัญพืช และน้ำมันพืชชนิดต่างๆ
    • วิตามิน A เป็นส่วนสำคัญในการช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวของคุณ ถ้าไม่มีวิตามิน A ผิวของคุณจะดูแห้งและลอกเป็นขุยๆ วิตามิน A พบมากในผักผลไม้ ฉะนั้นอย่าลืมทานเยอะๆ ล่ะ
    • วิตามิน K ช่วยลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา รวมทั้งลดรอยช้ำด้วย วิตามิน K พบมาในผักใบเขียว ผลิตภัณฑ์นม และเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น เนื้อหมู และตับ
  2. การดื่มน้ำมากๆ ช่วยให้ผิวของคุณกระจ่างใสและดูสุขภาพดีได้. เพราะว่าผิวหนัง รวมถึงเซลล์ต่างๆ ในร่างกายมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักนั่นเอง
    • หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ ผิวของคุณจะขาดน้ำและดูแห้งตึง รวมทั้งลอกเป็นขุย หากปล่อยไว้เช่นนี้นานๆ จะทำให้มีริ้วรอยได้
    • นอกจากนี้การดื่มน้ำมากๆ ยังช่วยขับสารพิษต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อผิวและร่างกายของคุณออกไปด้วย [10]
    • แม้ว่าจะไม่มีปริมาณที่กำหนดไว้แน่ชัดว่าคุณควรดื่มน้ำมากเท่าไหร่กันแน่ใน 1 วัน (เพราะว่าปริมาณแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคล การใช้กำลัง และสภาพอากาศ) แต่อย่างน้อยคุณควรดื่มน้ำให้ได้ 6-8 แก้วต่อวัน
    • หากคุณไม่ชอบดื่มน้ำ คุณสามารถดื่มชาเขียว ชาสมุนไพร หรือน้ำมะพร้าว (ซึ่งว่ากันว่าดีกับผิวมากๆ) แทนได้
    • นอกจากนี้คุณควรทานผักและผลไม้ที่มีส่วนประกอบของน้ำมากๆ เช่น มะเขือเทศ แตงกว่า แตงโม องุ่น ปักกาดแก้ว เซเลอรี่ และหัวแรดดิช
  3. การนอนหลับเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผิวดูสดชื่นและสุขภาพ. ระหว่างที่คุณนอน ผิวของคุณจะซ่อมแซมตัวเองโดยการผลิตเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่า
    • หากคุณนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ วันถัดมาผิวของคุณอาจดูหมอง ซีด และหย่อนคล้อยได้ เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเวลาคุณเหนื่อย เลือดจะไหลเวียนไม่ค่อยดีนัก อีกทั้งการนอนไม่พอยังจะทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังคุณบวม ทำให้ตาคุณดำเป็นแพนด้ายังไงล่ะ
    • ดังนั้นหากคุณต้องการมีผิวที่ดูสดชื่นสดใสสุขภาพดี คุณควรนอนให้ได้ 7-8 ชม.ต่อคืน และคุณควรเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดิมทุกๆ วัน แล้วร่างกายจะจดจำเวลานี้ไว้ นอกจากนี้หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอนเพราะทั้ง 2 สิ่งนี้จะทำให้คุณหลับไม่สนิท
    • นอกจากนี้ คุณยังสามารถปรับท่าทางการนอนให้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีกับผิวของคุณด้วย ยกตัวอย่างเช่น การนอนหงายดีกว่านอนคว่ำ เพราะว่าหน้าของคุณจะได้ไม่โดนกดทับแนบกับหมอน ซึ่งจะก่อให้เกิดริ้วรอยได้
    • อีกอย่างหนึ่งคือ คุณควรเปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องนอนหมอนที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมัน สิ่งสกปรก และแบคทีเรีย นอกจากนี้คุณควรเลือกใช้ปลอกหมอนสีขาวมากกว่าปลอกหมอนสีสันต่างๆ เพราะว่าสีย้อมผ้าสามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ในคนที่มีผิวบอบบาง [11]
  4. 4
    การออกกำลังกายไม่เพียงแต่ทำให้คุณหุ่นเป๊ะอยู่เสมอ. แต่ยังช่วยให้ผิวของคุณดูสดชื่น เปล่งปลั่ง สุขภาพดีได้อีกด้วย เพราะว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้ออกซิเจนไปเลี้ยงผิวได้ดีขึ้น
    • อย่าแต่งหน้าเวลาออกกำลังกาย เพราะว่าเหงื่อและคราบสกปรกจะตกค้างอยู่ในรูขุมขนของคุณและทำให้สิวขึ้นได้
    • คุณไม่ควรปล่อยเหงื่อทิ้งไว้บนใบหน้าหลังจากออกกำลังกาย เมื่อคุณออกกำลังหายเสร็จ คุณควรอาบน้ำหรืออย่างน้อยก็ล้างหน้าให้สะอาดหมดจดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
  5. 5
    ความเครียดส่งผลกระทบต่อผิวของคุณได้ในหลากลายรูปแบบ. ใบหน้าของคุณอาจจะมีน้ำมันส่วนเกิน มีสิวขึ้น มีรอยแดง มีอาการระคายเคือง หรือมีริ้วรอย นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้อาการของโรคผิวหนัง เช่น โรคหน้าแดง (rosacea) และโรคผิวหนังอักเสบ แย่ลงด้วย
    • ในแง่ของสารเคมีในร่างกาย ความเครียดยังทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้สิวขึ้นได้ง่าย อีกทั้งความเครียดยังทำให้หลอดเลือดบวม อันก่อให้เกิดรอยแดง
    • นอกจากนี้ การขมวดคิ้วหรือทำหน้าบึ้งติดต่อกันนานๆ จะทำให้คอลลาเจนในชั้นผิวลดลง ซึ่งทำให้คุณมีริ้วรอยก่อนวัยอันควร [12]
    • ดังนั้น การลดความเครียด จะช่วยทำให้สุขภาพผิวของคุณดีขึ้น คุณสามารถลดความเครียดได้ด้วยการหาเวลาว่างทำสิ่งที่คุณชอบ เช่น ไปเดินเล่น เรียนโยคะ หรือใช้เวลากับคนที่คุณรัก
  6. การสูบบุหรี่แย่สำหรับผิวของคุณมากๆ ถ้าคุณอยากมีผิวดี และไม่มีริ้วรอยก่อนวัย คุณควรจะเลิกบุหรี่ให้ได้เป็นอย่างเด็ดขาด
    • การสูบบุหรี่สามารถส่งผลเสียต่อผิวของคุณได้หลากหลายทาง ประการแรก บุหรี่มีส่วนประกอบของคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งไปจำกัดปริมาณออกซิเจนที่ไปหล่อเลี้ยงผิวของคุณ อีกทั้งยังมีนิโคตินซึ่งทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี ทั้ง 2 อย่างนี้ทำให้ผิวของคุณดูหมองเป็นสีเทา และทำให้ผิวแห้งด้วย
    • ประการที่ 2 การสูบบุหรี่ยับยังไม่ให้ร่างกายดูดซึมวิตามิน เช่น วิตามิน C ซึ่งสำคัญต่อกระบวนการซ่อมแซมตนเองของผิวและการจำเป็นต่อการผลิตเซลล์ผิวใหม่ด้วย
    • คนที่สูบบุหรี่มักจะมีริ้วรอยเหี่ยวย่นมากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ เพราะว่าบุหรี่ทำให้ผิวแก่เร็วขึ้น และทำให้เลือดไปเลี้ยงผิวได้น้อยด้วย [13]
    • การเลิกบุหรี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ขอเพียงคุณมีความตั้งใจจริง ประกอบกำลังใจจากเพื่อนและครอบครัว เลิกได้แน่ๆ
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อย่าจับหน้าตัวเอง คุณอาจจะอยากแกะสิวหรือสะเก็ดแผล แต่นิ้วของคุณเต็มไปด้วยแบคทีเรีย และการแกะเกาก็จะทำให้แบคทีเรียพวกนี้ไปโดนสิวของคุณ และทำให้สิวเห่อหนักขึ้นได้ หรือแม้กระทั่งทำให้สิวที่หายแล้วกลับเป็นขึ้นมาอีก
  • อย่าโบกครีมบำรุงใส่หน้ามากเกินไป ใช้เพียงปริมาณเท่าเม็ดถั่วจะดีที่สุด การใช้สารเคมีบนหน้ามากเกินไปจะทำให้หน้ามันและเป็นสิวอุดตันได้ พยายามมีขั้นตอนบำรุงผิวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ซับให้แห้ง และทาครีมบำรุงง่ายๆ ก็ทำให้ผิวดีได้แล้ว
  • สระผมสม่ำเสมอ โดยเฉพาะถ้าคุณไว้ผมหน้าม้า จริงๆ แล้วถ้าไม่มีผมมาปิดหน้าเลยจะดีที่สุด และถ้าคุณมีผมมัน คุณต้องพยายามไม่ให้ผมโดนหน้า แล้วต้องสระผมบ่อยๆ โดยไม่ต้องใช้ครีมนวดผมตรงผมหน้าม้า ให้ใส่ครีมนวดผมเฉพาะผมด้านหลังเท่านั้น
  • แทนที่จะทารองพื้นเยอะๆ ลองผสมรองพื้นกับครีมบำรุงดู
  • ถ้าคุณมีผิวแห้ง ทาน้ำมันมะกอก เชียบัตเตอร์ หรือน้ำมันมะพร้าว (อันนี้ดีที่สุด) ลงบนใบหน้าของคุณ โดยทิ้งน้ำมันไว้ให้เหลว แล้วทำลงบนใบหน้าหลังล้างหน้าเสร็จ คุณสามารถหาซื้อน้ำมันเหล่านี้ได้ที่ห้างสรรพสินค้าหรือซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป
  • ลองเปลี่ยนจากรองพื้นหนาๆ มาใช้เครื่องสำอางแร่ธาตุ (mineral make-up) รูขุมขนจะได้ไม่อุดตัน
  • หากครีมบำรุงทำให้คุณผื่นขึ้น ให้เลิกใช้แล้วเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นแทน และอย่าแต่งหน้าจนกว่าจะหายจากผื่นคันไปแล้ว 2-3 วัน
  • หากคุณเป็นคนที่สิวขึ้นง่าย พยายามใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Narraganset ซึ่งเป็นสารสกัดจากสาหร่ายทะเลสีแดง เพราะว่ามันอาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น และทำให้คุณเป็นสิวซีสต์ได้
  • ทดสอบการแพ้ทุกครั้งก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณสามารถทดสอบได้ง่ายๆ โดยทาผลิตภัณฑ์นั้นๆ ปริมาณไม่มากลงบนข้อมือด้านในหรือว่าท้องแขน แล้วทิ้งไว้ 24 ชม. หากไม่มีผื่น ลมพิษ หรืออาการแพ้ใดๆ แสดงว่าน่าจะปลอดภัยที่จะใช้
  • ดื่มชาเขียว 3-4 แก้วต่อวันช่วยให้คุณมีผิวกระจ่างใสเรียบเนียนได้
  • หากคุณจำเป็นต้องบีบสิวจริงๆ คุณต้องล้างมือให้สะอาดก่อน และบีบสิวเบาๆ แต่อย่าใช้เล็บจิก สิวอยู่แค่ชั่วคราว แต่รอยแผลเป็นมิสิทธิอยู่ได้ตลอดไป! ถ้าสิวไม่ออกมาง่ายๆ อย่าพยายามบีบให้แรงขึ้น เพราะนี่คือสัญญาณบอกว่าอาการอักเสบอยู่ค่อนข้างลึกลงไปในชั้นผิว ดังนั้นการบีบแรงๆ จะทำให้ผิวหน้าคุณเสียหายได้ รออีก 2-3 วันแล้วค่อยลองบีบใหม่ หรือไม่ก็ลองใช้วิธีธรรมชาติที่ทำให้สิวแห้งและหลุดออกมาเอง
  • ใช้ปลอกหมอนที่สะอาดเสมอ เพราะว่าปลอกหมอนที่สกปรกจะทำให้สิ่งสกปรกจากผมย้ายมาอยู่บนใบหน้าของคุณได้ นอกจากนี้การมัดผมตอนนอนจะช่วยป้องกันได้อีกทาง
  • การดื่มน้ำเป็นประจำจะช่วยให้ผิวดี แต่อย่าดื่มทีเป็นแกลลอนนะ ทางที่ดีคือคุณควรจิบน้ำบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน
  • ปรนเปรอตัวเองด้วยการไปสปาเดือนละครั้ง หรือสองเดือนครั้ง ไปลองล้างหน้าและนวดหน้า ผิวของคุณต้องรู้สึกดีแน่ๆ
  • ดื่มน้ำเปล่า และงดน้ำหวาน ทานผลไม้โดยเฉพาะเบอร์รี่ชนิดต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวทุกประเภท
  • ถ้าคุณมีผิวมันแต่บอบบาง คุณควรล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าที่อ่อนโยนแต่ทำความสะอาดได้ล้ำลึก และอย่าสักแต่ว่าถูๆ ล้างๆ ไปอย่างนั้น คุณควรหาผ้าขนหนูผืนเล็กๆ หรือแปรงสำหรับล้างหน้ามาใช้ด้วย เพื่อจะได้ล้างเครื่องสำอางออกไปได้หมดจดยิ่งขึ้น เพราะว่าหากคุณล้างรองพื้นออกไม่หมด มันจะค้างอยู่ในรูขุมขนแล้วทำให้หน้ามันมากขึ้น รวมทั้งก่อให้เกิดสิวหัวดำและอื่นๆ อีกสารพัน เมื่อล้างหน้าเสร็จให้บำรุงผิวด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเจลหรือเนื้อครีมที่บางเบาและปราศจากน้ำหอม
  • อย่าแกะสิวเพราะว่าเล็บของคุณเต็มไปด้วยแบคทีเรีย
  • ใช้ทิชชู่ 2 ชั้นชุบไข่ขาว 1 ฟองแล้วพอกให้ทั่วใบหน้ายกเว้นบริเวณดวงตาและริมฝีปาก
  • ถ้าคุณมีสิวขึ้น พยายามอย่าใช้ผลิตภัณฑ์หลายๆ ตัวพร้อมกัน เพราะจะทำให้ผิวของคุณระคายเคืองได้ แค่ล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าสำหรับผิวเป็นสิว และใช้โทนเนอร์กับครีมบำรุงเนื้อบางเบาก็พอ และหากจำเป็นก็ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดซาลิไซลิคแต้มสิวได้
โฆษณา

คำเตือน

  • วิธีนี้อาจใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน
  • ถ้าคุณมีสิวอย่างหนักจนคุณสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง คุณควรไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อหาวิธีลดหรือรักษาสิวที่เหมาะกับคุณ
  • ถ้าคุณมีผิวคล้ำและอาศัยอยู่ในประเทศที่ไม่ได้มีแดดส่องมากนัก คุณอาจไม่ต้องใช้ครีมกันแดดก็ได้ เพราะว่าเม็ดสีเมลานินในผิวของคุณบล็อกรังสี UV ได้เกือบทั้งหมดอยู่แล้ว ดังนั้นหากคุณทาครีมกันแดดเข้าไปอีก แล้วไปบล็อกรัง UV ทั้งหมด คุณอาจจะเสี่ยงต่อการขาดวิตามิน D ได้
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 11,918 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา