PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

ทุกๆ คนต่างต้องการมีใบหน้าที่ปราศจากสิว หากแต่ไม่ใช่ทุกคนที่เต็มใจที่จะทำสิ่งต่างๆ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรก ความมัน และอาการอักเสบออกไปจากใบหน้า อย่างไรก็ตาม เราทุกคนสามารถมีใบหน้าที่ปราศจากสิวได้ในที่สุด ลองอ่านบทความด้านล่าง แล้วนำเทคนิคดีๆ ต่างๆ มาใช้เพื่อให้ใบหน้าของคุณห่างไกลจากสิวกันนะคะ

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 2:

เคล็ดลับทั่วไป

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. นี่ถือเป็นกฎข้อแรก! เพราะในสิวมีแบคทีเรียอันตราย ดังนั้น หากคุณบีบสิว จะทำให้เชื้อแบคทีเรียมีโอกาสกระจายไปยังรูขุมขนรอบข้าง และเข้าพักโดยไม่ยอมเสียค่าเช่า คุณต้องทำให้เจ้าสิวจ่ายค่าเช่าให้ได้
  2. ข้อเสียอีกอย่างของการบีบสิวคือ จะทำให้ผิวบริเวณรอบๆ สิว รวมถึงเม็ดสิวนั้นๆ เกิดการอักเสบ. การอักเสบจะทำให้เกิดรอยแดงและปวดบริเวณสิวมากยิ่งขึ้น
  3. มือของคุณ (ไม่ว่าคุณจะล้างมันสักกี่ครั้ง) จะมีความมันและสิ่งสกปรกติดอยู่ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของเชื้อแบคทีเรีย หากคุณนำมือที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ความมัน และแบคทีเรียเช็ดไปบนผิวหน้าของคุณอย่างต่อเนื่อง นอกจากคราบเหล่านี้จะไม่หลุดออกจากใบหน้าคุณแล้ว คุณจะทำให้แบคทีเรียที่มีอยู่กระจายไปยังบริเวณอื่นๆ ของผิวหน้ามากขึ้นอีกด้วย
  4. แพทย์หลายท่านแนะนำว่าเราควรดื่มน้ำประมาณ 9-12 แก้วต่อวัน (2.2 ถึง 3 ลิตร) ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย [1] (ผู้หญิงควรดื่ม 9 แก้ว ในขณะที่ผู้ชายควรดื่ม 12 แก้ว) ผิวของคุณเป็นอวัยวะหนึ่งบนร่างกายด้วยเช่นเดียวกัน และยังต้องการน้ำในปริมาณที่เพียงพอเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับตับของคุณ
  5. ลดอาหารจำพวกของหวานและเครื่องดื่มผสมน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และสมูทตี้. แม้จะมีการถกเถียงกันถึงหลักฐานต่างๆ มาแล้วหลายศตวรรษ แต่งานวิจัยใหม่ๆ ที่ออกมาชี้ให้เห็นว่าอาหาร อันได้แก่ น้ำตาลนั้น "มี" ผลต่อการเกิดสิวด้วยเช่นเดียวกัน [2] เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นการสร้างอินซูลิน ทำให้มีการผลิตฮอร์โมนมากยิ่งขึ้นและเกิดสิวในที่สุด
  6. เมื่อเร็วๆ นี้มีการค้นพบว่านมมีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดสิวด้วยเช่นเดียวกัน เพราะนมจะไปกระตุ้นฮอร์โมนเพศชาย อันได้แก่ เทสโทสเตอโรนและแอนโดรเจน ที่ทำปฏิกิริยาร่วมกับอินซูลิน ทำให้เกิดสิวตัวร้าย [2]
  7. เพราะในชาเขียวมีสานต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากที่ช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระซึ่งมีผลกระทบต่อเซลล์ผิวและอาจเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยบนผิวหน้าของคนเรา หากคุณกำลังมองหาตัวเลือกดีๆ นอกเหนือจากน้ำเปล่า ลองดื่มชาเขียวที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพดูนะคะ
  8. อาหารสามารถช่วยให้ผิวของคุณดูดีที่สุดได้หากคุณเลือกรับประทานอย่างเหมาะสม ประโยคต่อไปนี้ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น และคุณก็คงพอจะเดาได้ว่าฉันกำลังจะพูดว่า เราควรรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ทานไขมันที่ดีต่อสุขภาพให้มากขึ้น และลองรับประทานโปรไบโอติกส์
  9. ผู้ที่รับประทานผักและผลไม้มากขึ้น และบริโภคนมและน้ำตาลให้น้อยลง มีแนวโน้มที่จะเกิดสิวได้น้อยกว่า. [2] ดังนั้น คุณจึงควรทานผักที่มีประโยชน์ (โดยเฉพาะผักใบเขียว) ให้ได้ประมาณ 5-9 จานต่อวัน
  10. ในอาหารที่เรารับประทานนั้นมีทั้งไขมันธรรมดาและไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไขมันที่เป็นประโยชน์ เช่น โอเมก้า 3 นั้นสามารถลดการอักเสบและทำให้เซลล์ผิวของเราแข็งแรงมากยิ่งขึ้น [3] ออกซิเจนสามารถทำลายโอเมก้า 3 ดังนั้น เมื่อรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ให้พยายามทานแบบไม่ผ่านการปรุง แต่หากไม่สามารถทำได้ ให้นำไปอบหรือย่าง ซึ่งจะดีกว่าการนำไปต้มหรือทอด อาหารที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3 ประกอบด้วย
    • ปลา โดยเฉพาะปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาแฮริ่ง [4]
    • เมล็ดพืชและถั่วต่างๆ โดยเฉพาะเมล็ดแฟลกซ์ [4]
    • ผักใบเขียว โดยเฉพาะผักโขมและผักอะรูกูลา [4]
  11. โปรไบโอติกส์เป็นแบคทีเรียมีประโยชน์ที่พบได้ในอาหารบางประเภท เช่น คอมบูฉะ ซึ่งช่วยเรื่องระบบทางเดินอาหารและลดอาการอักเสบได้ อย่างไรก็ตาม โปรไบโอติกส์บางชนิด เช่น แลคโตบาซิลลัสนั้นอาจทำให้เกิดสิวมากยิ่งขึ้น ลองหาซื้อโปรไบโอติกส์ตามร้านค้าใกล้บ้านหรือร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพดูนะคะ
  12. นี่เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ทำได้ง่ายมาก การรับประทานวิตามินที่เหมาะสมจะช่วยให้ผิวของคุณสวยใสและดูมีชีวิตชีวา และยังช่วยป้องกันการเกิดสิวได้อีกด้วย วิตามินเอมีคุณสมบัติพิเศษในการบำรุงผิวให้มีสุขภาพดี แต่ห้ามรับประทานวิตามินเอเป็นอันขาดหากคุณกำลังตั้งครรภ์
  13. น้ำมันจากดอกอีฟนิ่งพริมโรสมีไขมันโอเมก้า 6 ที่ช่วยต่อต้านการอักเสบ และการขาดกรดไขมันชนิดนี้อาจทำให้เกิดสิว [5] โดยปริมาณที่เหมาะสมคือ 1000 ถึง 1500 มก. สองครั้งต่อวัน
  14. ซิงค์ซิเตรสช่วยในการสังเคราะห์โปรตีน รักษาบาดแผล และช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อทั่วไป โดยควรรับประทานในปริมาณ 30 มิลลิกรัมต่อวัน
  15. วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวของคนเรา และพบว่าผู้ที่มีปัญหาสิวจำนวนมากมักขาดวิตามินอี [5] โดยควรรับประทานประมาณ 400 IU (หน่วยวัดมาตรฐาน) ต่อวัน
  16. เพราะการล้างหน้ามากเกินไปจะทำให้ผิวของคุณแห้ง เป็นเหตุให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น และนั่นก็เท่ากับการเพิ่มโอกาสในการเกิดสิว
  17. ในขณะที่โฟมล้างหน้าช่วยลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว มันก็ดึงเอาความชุ่มชื้นออกจากผิวหน้าของคุณเช่นเดียวกัน ดังนั้น คุณจึงต้องเติมความชุ่มชื้นอย่างที่ผิวของคุณต้องการ แม้โดยธรรมชาติคุณจะเป็นคนผิวมันอยู่แล้วก็ตาม
  18. ซึ่งก็หมายถึงครีมที่จะไม่อุดตันรูขุมขนของคุณนั่นเอง เพราะคุณคงไม่ต้องการให้ครีมบำรุงเข้าไปอุดตันตามรูขุมขน หลังจากคุณเพิ่งทำความสะอาดหน้าไป
  19. หากคุณมีผิวมันตามธรรมชาติ ให้ลองหาครีมบำรุงแบบเนื้อเจล. เพราะครีมบำรุงชนิดนี้จะไม่ทำให้ผิวของคุณดูมันวาว เหมือนอย่างครีมบำรุงที่มีเนื้อครีม
  20. โทนเนอร์คืออะไร? โทนเนอร์คือโลชั่นบำรุงหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ช่วยกระชับรูขุมขนไปพร้อมๆ กับการทำความสะอาดคราบและสิ่งสกปรกออกจากใบหน้าของคุณ แต่ควรระวังโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้ผิวของคุณสูญเสียความมันมากเกินไป เป็นเหตุให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น คุณจึงควรหาซื้อโทนเนอร์มี่มีแอลกอฮอล์ต่ำแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง
  21. แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่บรรดาแพทย์ก็รู้ว่ามีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างความเครียดและการเสื่อมสภาพของผิวคนเรา โดยเฉพาะความเครียดและสิว ด้วยเหตุผลบางประการ เซลล์ต่างๆ ที่ทำหน้าที่ผลิตซีบัมซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดสิวได้ในที่สุดนั้น จะถูกกระตุ้นในขณะที่คนเรามีความเครียดสูง [6]
  22. บางคนเลือกที่จะออกมาจากสถานการณ์เครียดๆ โดยการออกไปเดินเล่น บางคนชอบระบายความเครียดของพวกเขาลงบนผืนผ้า ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีการใดในการลดความเครียด ให้ทำแต่เนิ่นๆ และทำบ่อยๆ
  23. การทำสมาธิมีอยู่มากมายหลากหลายวิธี คุณสามารถลองค้นหาเทคนิคที่เหมาะสำหรับคุณ บางคนเลือกที่จะเล่นโยคะเพื่อทำสมาธิ
  24. เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้เกิดความเครียดและเพิ่มโอกาสในการเกิดสิว [7] และอย่างที่เราได้เรียนรู้ไป ความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวของคนเราเสื่อมสภาพและสามารถทำให้เกิดสิว เมื่อพูดถึงการนอนหลับ คุณควรเปลี่ยนปลอกหมอนอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน หรือลองนำผ้าขนดูมาห่อปลอกหมอนเพื่อช่วยดูดซับความมัน คุณยังสามารถกลับด้านผ้าขนหนูได้ในคืนถัดไป
  25. เด็กและผู้สูงอายุต้องการการพักผ่อนมากกว่าผู้ใหญ่. วัยรุ่นควรนอนให้ได้ 10-11 ชั่วโมงต่อวัน [8]
  26. นอกจากจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกแล้ว การออกกำลังกายยังนับเป็นยาครอบจักรวาล การออกกำลังกายเป็นวิธีการที่ดีในการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และสิ่งใดก็ตามที่สามารถกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตก็ล้วนแล้วแต่ช่วยให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีและดูมีชีวิตชีวา [9] สิ่งที่ควรจดจำเมื่อคุณออกกำลังกายคือ:
  27. ทาครีมกันแดดเป็นประจำเมื่อออกกำลังกายกลายแจ้ง. หากไม่ระมัดระวัง ประโยชน์ที่ได้รับจากการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตอาจถูกกลบด้วยผลเสียที่เกิดจากแสงแดดแผดเผา โดยควรเลือกครีมกันแดดที่เนื้อเบาบาง และไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือผิวแสบร้อน
  28. อาบน้ำหรือชำระล้างร่างกายทุกครั้งหลังออกกำลังกาย. เพราะเมื่อคุณเหงื่อออก คราบเกลือหรือสิ่งสกปรกที่หลงเหลือจากการออกกำลังกายอาจเข้าไปอุดตันในรูขุมขน คุณจึงควรชำระล้างร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้าของคุณทุกครั้งหลังการออกกำลังกาย
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 2:

การรักษาสิว

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. เบนซิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide) เป็นยาที่ใช้สำหรับฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ยาทาชนิดนี้มีความเข้มข้นหลายระดับ แต่ความจริงแล้ว เบนซิลเพอร์ออกไซด์ที่มีความเข้มข้น 2.5% ก็มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับสูตรที่มีความเข้มข้น 5-10% และยังก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวน้อยกว่า นอกจากนี้ เบนซิลเพอร์ออกไซด์ยังช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้ผิวของคุณดูใสและอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น
  2. เช่นเดียวกับเบนซิลเพอร์ออกไซด์ กรดซาลิซิลิกมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว กรดชนิดนี้ยังช่วยให้ผิวหน้าผลัดเซลล์ผิวได้เร็วขึ้น จึงช่วยเผยผิวใหม่ให้กับคุณ วิธีการใช้คือ หลังจากล้างหน้า ให้ทากรดซาลิซิลิกปริมาณเล็กน้อยลงบนผิวบริเวณที่เป็นสิวก่อนเข้านอน
  3. ยาสีฟันมีสารซิลิกาซึ่งเป็นสารดูดซับความชื้นที่พบในอาหารประเภทต่างๆ เช่น เนื้อแดดเดียว พูดง่ายๆ ก็คือ ยาสีฟันจะดูดเอาความชื้นออกจากสิวเมื่อคุณทาไว้ข้ามคืน ทำให้สิวของคุณมีขนาดเล็กลง
  4. ใช้ยาสีฟันที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติทุกครั้งเมื่อนำไปทาลงบนผิว. เพราะยาสีฟันบางชนิดมีสารโซเดียมลอริลซัลเฟตที่อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง จึงควรตรวจสอบให้ดีก่อนนำมาใช้
  5. ทีทรีออยล์เป็นน้ำมันหอมระเหยที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย จึงสามารถทำลายเชื้อจุลินทรีย์ที่เริ่มเข้าไปทำรังอยู่ในผิวของคุณ โดยให้หยดทีทรีออยล์เพียงเล็กน้อยลงบนสำลีก้าน แล้วทาลงบริเวณที่เป็นสิว แต่ต้องระมัดระวังอย่าทามากเกินไป
  6. ทีทรีออยล์มีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบ [10] ทำให้รอยแดงและสิวดูมีขนาดเล็กลง.
  7. บดยาแอสไพริน 1 เม็ด แล้วหยดน้ำลงไปเล็กน้อยแค่พอให้เป็นเนื้อครีม จากนั้นใช้สำลีก้านแตะแอสไพริน แล้วทาลงบนสิวของคุณบางๆ แค่ให้ปิดสิวจนมิด จากนั้นทิ้งให้แห้ง แอสไพรินเป็นยาต้านการอักเสบชนิดหนึ่ง จึงสามารถลดอาการอักเสบของผิวและทำให้สิวดูเล็กลงได้ โดยปล่อยให้ตัวยาแอสไพรินสู้กับสิวของคุณเป็นเวลา 1 คืน
  8. ยาสมานแผลเป็นยาที่ทำให้ผิวหดตัวหรือดูเล็กลง ยาสมานแผลบางประเภทจะมีสารปฏิชีวนะที่นอกจากจะช่วยลดขนาดสิวแล้วยังช่วยต่อต้านการเกิดสิวอีกด้วย นี่เป็นตัวอย่างยาสมานแผลที่คุณสามารถนำมาใช้ได้
  9. ซึ่งมีอยู่หลายชนิดหลายขนาด ให้คุณมองหาชนิดที่มีเบนซิลเพอร์ออกไซด์หรือกรดซาลิซิลิกเป็นส่วนประกอบ และลองถามหายาสมานแผลที่อ่อนโยนต่อผิว
  10. คุณสามารถใช้ยาสมานแผลจากธรรมชาติแทนได้เช่นเดียวกัน. ซึ่งประกอบด้วย
  11. คนจำนวนมากกล่าวว่ากรดซิตริกในน้ำมะนาวมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว และยังช่วยให้ผิวของคุณดูกระชับขึ้น โดยให้คุณฝานมะนาวเป็นแผ่นบางๆ แล้วนำมาถูบริเวณที่เป็นสิวเบาๆ
  12. เปลือกกล้วยมีประโยชน์ในการรักษาแผลยุงกัดหรือแมลงกัดต่อย และยังสามารถลดขนาดของสิวบางประเภทได้อีกด้วย โดยให้นำเปลือกกล้วยมาถูบริเวณที่เป็นสิวเบาๆ
  13. เป็นอีกหนึ่งยาสมานแผลที่มีคุณประโยชน์นานับประการ มองหาวิชฮาเซลที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ แต้มเพียงเล็กน้อยลงบริเวณที่เป็นสิว แล้วทิ้งให้แห้ง
  14. ชาเขียวเป็นยาสมานแผลที่เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก จึงสามารถลดการเกิดริ้วรอยได้ โดยให้คุณหย่อนถุงชาเขียวลงไปในน้ำร้อน หยิบถุงขึ้นมาโดยให้มีน้ำทั้งหมดติดมาด้วย จากนั้นจึงวางลงบนบริเวณที่เป็นสิวเพียงชั่วครู่
  15. นำก้อนน้ำแข็งมาถูบริเวณที่เป็นสิวบนใบหน้าของคุณ จนกระทั่งบริเวณนั้นรู้สึกชา เมื่อรู้สึกชาบนใบหน้า ให้หยุดทันที แล้วปล่อยผิวไว้จนกระทั่งเริ่มรู้สึกอุ่นอีกครั้ง
  16. ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ น้ำแข็งจะช่วยลดขนาดรูขุมขนโดยการทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังเกิดการหดตัว. และหากคุณรู้สึกปวดบริเวณสิว น้ำแข็งสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้เช่นเดียวกัน
  17. เมื่อส่วนหนึ่งเริ่มชาแล้ว ให้ย้ายไปทำส่วนถัดไป
  18. ยาหยอดตา เช่น ชนิดที่ช่วยลดอาการตาแดงนั้นสามารถช่วยลดรอยแดงและอาการระคายเคืองจากสิวได้ โดยให้หยดยาหยอดตา 2-3 หยดลงบนสำลีก้าน แล้วทาลงบนสิวในปริมาณที่เหมาะสม
  19. เนื่องจากความเย็นสามารถลดอาการอักเสบของสิว ให้คุณจุ่มสำลีก้านลงในยาหยอดตา แล้วนำไปแช่ในช่องแช่แข็งเป็นเวลา 1 ชั่วโมงก่อนนำมาทา. สำลีก้านเย็นๆ จะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นเนื่องจากสามารถลดอาการอักเสบได้
  20. ยาแก้แพ้สามารถลดอาการบวมในเนื้อเยื่อผิวของเราได้ โดยยาแก้แพ้ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบเม็ด แต่ก็มีบางประเภทที่สามารถดื่มเป็นชาหรือใช้เป็นยาทาเฉพาะที่ ยาแก้แพ้ต่างๆ เหล่านี้จะมีคุณสมบัติในการลดรอยแดง ยาแก้แพ้ที่ทำจากสมุนไพรธรรมชาติประกอบด้วย:
  21. วิธีการนี้อาจจะฟังดูประหลาดสักหน่อย เพราะการโดนใบตำแยในป่าจะทำให้เราเกิดผื่นคันเหมือนสิวเม็ดเล็กๆ อย่างไรก็ตาม แพทย์แนะนำให้ใช้ใบตำแยแห้งแช่เย็น ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าสามารถลดปริมาณสารฮิสตามีนที่ร่างกายผลิตขึ้นมาได้
  22. ปีแปะเอี๊ยะ (Coltsfoot) เป็นเป็นยาแก้แพ้ตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูง. ชาวยุโรปใช้พืชชนิดนี้ในการรักษาอาการทางผิวหนังมาอย่างยาวนาน โดยคุณสามารถนำใบมาบดเป็นยาป้าย หรือรับประทานสารสกัดจากใบปีแปะเอี๊ยะที่มาในรูปของเม็ด
  23. ใบโหระพา (Basil) มีฤทธิ์เป็นยาแก้แพ้ตามธรรมชาติด้วยเช่นเดียวกัน. นำใบโหระพาสด 2-3 ใบมาอบใต้ไอน้ำ แล้วทาเบาๆ ลงบริเวณที่เป็นสิว ใบโหระพาจะช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่ผิว ทำให้สิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่ทำให้เกิดสิวมีฤทธิ์น้อยลง
  24. หากทำตามวิธีการต่างๆ เหล่านี้แล้วคุณยังคงมีสิวหลงเหลืออยู่ ให้ลองปรึกษาแพทย์ผิวหนัง. มียาปฏิชีวนะและยารักษาสิวแบบรับประทานอื่นๆ ที่สามารถแก้ปัญหาผิวหนังได้อย่างตรงจุด และทำให้สิวหายได้อย่างรวดเร็ว
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • แม้สิวจะหายไปหมดแล้ว แต่คุณควรดูแลรักษาผิวเช่นเดิมเป็นเวลาอย่างน้อย 30 วันหรืออาจนานกว่านั้น เพราะคุณสามารถกลับมาเป็นสิวได้อีกหลังจากวัยหนุ่มสาว และหากเกิดสิวอีก ให้คุณทำตามวิธีการเดิม
  • ผลัดเซลล์ผิวทุกๆ 4 วัน ด้วยการสครับเพื่อผลัดเอาเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป
  • เมื่อสามารถกำจัดสิวได้ทั้งหมดแล้ว อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจ เพราะมันอาจจะกลับมา
  • สิวเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ และแต่ละคนก็มีสิ่งที่ใช้ได้ผลไม่เหมือนกัน หากสิ่งหนึ่งไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร ลองใช้วิธีการใหม่ และคิดแง่บวกเข้าไว้!
  • เพื่อล้างสิ่งสกปรกและความมันออกจากผิวของคุณอย่างหมดจด ให้สบู่/โฟมล้างหน้าของคุณได้ทำงานสัก 2 นาที โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องถูอยู่ตลอดเวลา แต่มันช่วยได้จริงๆ
  • หากต้องการคลายความเบื่อหน่าย ให้เปิดวิทยุหรือทำกิจกรรมอื่นๆ (อาจจะแปรงฟัน หรือนอนลงแล้วผ่อนคลายด้วยการทำสปาง่ายๆ)
  • ล้างหน้าแล้วก็ล้างหน้า การล้างหน้าครั้งสุดท้ายให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือการเติมน้ำร้อนลงในอ่างล่างหน้าจนเต็ม แล้วจุ่มหน้าลงไปพร้อมถูเบาๆ จนกระทั่งล้างโฟมออกจนหมด ใช่แล้ว คุณจำเป็นต้องจุ่มหน้าลงไปในน้ำ
  • หากคุณใช้โฟมล้างหน้าในปริมาณมาก คุณอาจจำเป็นต้องล้างหน้าอีกครั้ง โดยให้ล้างอีกครั้งด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดรูขุมขนของคุณ บางคนอาจเลือกใช้โทนเนอร์สำหรับขั้นตอนสุดท้ายนี้
  • โฟมล้างหน้าที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการสะสมของคราบสกปรกและความมันอีกครั้ง
  • เทคนิคนี้จะได้ผลดีที่สุดหากทำในช่วงเช้าและก่อนนอน คอยสังเกตว่าผิวเกิดรอยแดงหรือผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นหรือไม่ เพราะนี่เป็นสัญญาณชัดเจนที่บ่งบอกว่าคุณอาจต้องใช้โฟมล้างหน้าที่อ่อนโยนมากขึ้น สำหรับเทคนิคนี้ การเลือกใช้โฟมล้างหน้าที่อ่อนโยนที่สุดที่มีขายตามท้องตลาดจะสามารถทำความสะอาดผิวที่มันที่สุดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าโฟมล้างหน้าแรงๆ
  • ในช่วง 2 สัปดาห์แรก สิวของคุณอาจเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรูขุมขนที่อุดตันถูกเปิดออกจนทำให้เกิดสิว จงเชื่อมั่น และคอยให้กำลังใจตัวเอง ในท้ายที่สุด คุณจะทำได้ และสิวของคุณก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
  • เจลเบนซิลเพอร์ออกไซด์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามร้านขายยานั้นให้ผลดีมาก #ลองปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้
  • นำน้ำแข็งมาถูบริเวณที่สิวกำลังจะเกิด และถูให้ทั่วบริเวณใบหน้าเพื่อป้องกันการเกิดสิวในอนาคต
  • อย่าใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวมากเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและอาจทำให้สิวเห่อ จำไว้ว่า ผลิตภัณฑ์บำรุงและทำความสะอาดผิวหน้าต่างๆ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในช่วงเริ่มแรก แต่เนื่องจากมีสารที่ทำให้ผิวติด สิวจึงไม่หายไปจริงๆ ซะทีเดียว นั่นก็เพื่อให้คุณจำเป็นต้องซื้อผลิตภัณฑ์ของพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ
  • เมื่อเกิดสิวขึ้นบนใบหน้า ต้องพยายามล้างมือบ่อยๆ
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่าบีบสิว! เพราะสิวใหม่อาจโผล่ขึ้นมาอีก
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 8,549 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา