ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
บทความวิกิฮาวนี้จะแนะนำวิธีการเปลี่ยนสถานะ "Read Only" ให้สามารถแก้ไขเอกสาร Microsoft Word ได้ ถึงจะปลดล็อค read-only ของเอกสาร Word ที่ระบุผู้ใช้ไม่ได้ถ้าไม่มีรหัสผ่าน แต่คุณก็ copy ข้อความในเอกสาร Word นั้น แล้วเอาไปใส่ในไฟล์ Word ใหม่ได้อย่างง่ายดาย
ขั้นตอน
-
เอกสารประเภทไหนที่มักมีการป้องกัน. ปกติเอกสาร Microsoft Word ที่ดาวน์โหลดมาจากในเน็ต (เช่น เป็นไฟล์แนบในอีเมล หรือไฟล์ในเว็บ) ถ้าเปิดขึ้นมาจะเห็นว่าถูกล็อคเป็น read-only ไว้ ให้ปิดการป้องกันนี้ได้ตอนเปิดเอกสารครั้งแรก
-
เปิดเอกสาร Word. ดับเบิลคลิกเอกสาร Word ที่จะปลดล็อค read-only
- ถ้าเปิดเอกสาร Word อยู่ ให้ปิดซะก่อน แล้วเปิดขึ้นมาใหม่
-
มองหาแบนเนอร์สีเหลืองอ่อน. ถ้าเห็นแถบสีเหลืองที่มีข้อความ "Files from the Internet can contain viruses" ทางด้านบนของเอกสาร Word แสดงว่าคุณปลดล็อค read-only ของเอกสารได้ด้วยวิธีนี้
- ถ้าไม่มีแถบสีเหลืองนี้ ทั้งๆ ที่ปิดและเปิดเอกสาร Word ขึ้นมาใหม่แล้ว ให้ลองใช้วิธีการอื่นๆ ในบทความนี้แทน
-
คลิก Enable Editing . ที่เป็นปุ่มทางขวาของแถบเหลือง เพื่อรีเฟรชเอกสาร Word และปลดล็อคสถานะ read-only เท่านี้ก็แก้ไขเอกสารได้ตามปกติโฆษณา
-
เปิดเอกสาร Word. ดับเบิลคลิกเอกสาร Word ที่จะปลดล็อค เอกสารนั้นจะเปิดขึ้นมาใน Word
-
คลิก tab Review . tab นี้จะอยู่มุมขวาบนของหน้าต่าง Word คลิกแล้ว toolbar Review จะเปิดขึ้นมาทางด้านบนของหน้าต่าง Word
-
คลิก Restrict Editing . ที่เป็นตัวเลือกด้านขวาสุดของ toolbar Review แล้วเมนูจะโผล่มาทางขวาของหน้าต่าง
-
คลิก Stop Protection . ท้ายเมนูที่โผล่มา แล้วจะเห็นหน้าต่าง pop-up โผล่มาแทน
- ถ้าคุณหรือ user อื่นที่ใช้บัญชีของคอมนั้น ล็อคเอกสารไว้โดยไม่ได้ใส่รหัสผ่าน ก็ให้คลิก Stop Protection เพื่อปลดล็อคเอกสารอัตโนมัติ
-
พิมพ์รหัสผ่านตอนที่ขึ้น. พิมพ์รหัสผ่านของเอกสารในช่อง "Password" แล้วคลิก OK เพื่อปลดล็อค read-only ของเอกสาร Word นั้นทันที ถ้ารหัสผ่านถูกต้อง
- ถ้าไม่รู้รหัสผ่าน ก็ต้อง copy แล้ว paste เนื้อหาจากไฟล์นั้น แทน
-
เซฟค่าใหม่. โดยกด Ctrl + S (Windows) หรือ ⌘ Command + S (Mac) เท่านี้ก็ปลดล็อคสถานะ read-only ของไฟล์นั้นได้แล้ว เว้นแต่คุณจะเป็นฝ่ายล็อคการแก้ไขเอกสารนั้นอีกทีโฆษณา
-
ไปที่เอกสาร Word. หาโฟลเดอร์ที่เซฟเอกสาร Word นั้นไว้
- ถ้าไฟล์นั้นไม่ได้อยู่ในคอม (เช่น อยู่ในแฟลชไดรฟ์หรือแผ่น CD) ให้เซฟไฟล์ลงคอมก่อน
-
เปิด properties ของไฟล์ Word. โดยขั้นตอนจะต่างกันไปตามระบบปฏิบัติการที่ใช้
- Windows — คลิกไฟล์ Word จากนั้นคลิกขวาที่ไฟล์ Word แล้วคลิก Properties ในเมนูที่ขยายลงมา
- Mac — คลิกไฟล์ Word คลิกเมนู File ที่ด้านซ้ายบนของหน้าจอ Mac แล้วคลิก Get Info
-
หาหัวข้อ "Permissions". ใน Windows จะมีตัวเลือกที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ "Attributes" ทางด้านล่างของหน้าต่าง Properties
- ถ้าใช้ Mac ให้คลิกหัวข้อ Sharing & Permissions ทางด้านล่างของหน้าต่าง
-
ปิดสถานะ read-only. เหมือนเดิมคือขั้นตอนจะต่างกันไปตามระบบปฏิบัติการ ว่าใช้ Windows หรือ Mac
- Windows — เอาติ๊กออกจากช่อง "Read-only" ทางด้านล่างของหน้าต่าง คลิก Apply แล้วคลิก OK
- Mac
— คลิกตัวเลือก Read
ทางขวาของชื่อคุณ แล้วคลิก Read & Write
ในเมนูที่โผล่มา
- อาจจะต้องคลิกไอคอนแม่กุญแจที่มุมซ้ายล่างของหน้าต่าง Get Info ซะก่อน แล้วค่อยพิมพ์รหัสผ่านของ Mac ถึงจะทำตามขั้นตอนได้
- ถ้าตัวเลือกนี้จาง ไม่ได้ติ๊กไว้ หรือไม่ได้เป็น "Read-only" อาจจะต้อง copy แล้ว paste แทน
-
ลองแก้ไขไฟล์. เปิดเอกสาร Word โดยดับเบิลคลิก แล้วลองแก้ไขดู แต่บางทีก็ต้อง ปลดล็อคเอกสารออนไลน์ ก่อนทำตามขั้นตอนโฆษณา
-
วิธีนี้ใช้ยังไง. ถ้าเป้าหมายหลักคือจะแก้ไขเอกสาร Word ก็ให้ copy ข้อความในเอกสาร Word ไป paste ในเอกสาร Word ใหม่แทน จากนั้นเซฟเอกสารใหม่ลงคอม ถึงจะใช้วิธีนี้ปลดล็อค read-only ในเอกสารต้นฉบับไม่ได้ อย่างน้อยก็สร้างสำเนาแบบแก้ไขได้มาแทน
-
เปิดเอกสาร Word ที่มีการป้องกัน. โดยดับเบิลคลิกเอกสาร Word นั้น
-
คลิกตรงไหนก็ได้ในเอกสาร. เพื่อให้เคอร์เซอร์ขึ้นในหน้าเอกสาร
-
เลือกทั้งเอกสาร. โดยกด Ctrl + A (Windows) หรือ ⌘ Command + A (Mac) จะเห็นเนื้อหาของทั้งเอกสารถูกเลือก เน้นข้อความไว้
-
copy ข้อความที่เลือกไว้. กด Ctrl + C (Windows) หรือ ⌘ Command + C (Mac) เพื่อ copy ข้อความในเอกสารลง clipboard ของคอม
-
เปิดเอกสาร Word ไฟล์ใหม่. คลิก File ที่ด้านซ้ายบนของหน้าต่าง Word คลิก New ทางซ้ายของหน้าต่าง แล้วคลิก Blank document เพื่อเปิดเอกสาร Word ว่างๆ
- ถ้าใช้ Mac ให้คลิกเมนู File แล้วคลิก New Blank Document ทางด้านบนของเมนูที่ขยายลงมา
-
paste ข้อความที่ copy มา. ให้กด Ctrl + V (Windows) หรือ ⌘ Command + V (Mac) เพื่อ paste ข้อความจากเอกสาร Word ที่ถูกล็อค ลงเอกสารใหม่ว่างๆ
- อาจจะต้องรอ 2 - 3 วินาที ถ้าเอกสารต้นฉบับมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ หรือมีรูปด้วย
-
เซฟเอกสารเป็นไฟล์ใหม่. กด Ctrl + S (Windows) หรือ ⌘ Command + S (Mac) แล้วตั้งชื่อเอกสาร จากนั้นคลิก Save เท่านี้ก็แก้ไขเอกสารที่เพิ่งสร้างได้ตามปกติโฆษณา
เคล็ดลับ
- อีกวิธีใช้ปลดล็อคเอกสาร Microsoft Word ที่เป็น read-only ก็คือแปลงเอกสาร Word นั้นเป็นไฟล์ PDF ด้วยเว็บ SmallPDF พอแปลงไฟล์เสร็จแล้วให้ดาวน์โหลดไฟล์ PDF แล้วเปลี่ยนกลับเป็นเอกสาร Word ด้วย SmallPDF ได้เลย
โฆษณา
คำเตือน
- จะง่ายที่สุด ถ้า copy ข้อความจากเอกสารที่มีการป้องกัน แล้วเอาไป paste ลงเอกสารใหม่ ไม่ต้องมานั่ง crack รหัสที่ล็อคเอกสารไว้
โฆษณา
โฆษณา