ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

คุณหยุดคิดถึงของหวานไม่ได้ใช่ไหม? หรือกำลังรู้สึกว่าตัวเองมีอาการติดน้ำตาล? ผลวิจัยในปัจจุบันพบว่าน้ำตาลส่งผลต่อสารเคมีในสมองให้สร้างความอยากขึ้นมา และความอยากนี้มักจะทำให้ผลกระทบของสิ่งอื่นๆ อย่างเช่นไขมันรุนแรงขึ้น สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะว่าน้ำตาลจะไปกระตุ้นการหลั่งสารเคมีในสมองที่ทำให้รู้สึกดี อย่างเซโรโทนิน (serotonin) และเอ็นดอร์ฟิน (endorphins) สารเหล่านี้จะทำให้มีพลังในช่วงสั้นๆ และทำให้อารมณ์ดีขึ้น สาเหตุของอาการอยากของหวานอาจแตกต่างไปตามแต่ละคน แต่มักจะเกี่ยวกับอารมณ์และพลังงานที่เพิ่มขึ้นเมื่อได้กินของหวาน [1] อย่างไรก็ตาม เรามีวิธีที่จะช่วยให้คุณต่อสู้กับอาการอยากของหวานนี้ได้

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

สืบหาสาเหตุของความอยาก

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อาการอยากของหวานจะเกิดขึ้นเมื่อคุณหิว ความอยากนี้มักจะเป็นความอยากที่เกิดจากอารมณ์ความรู้สึก ลองนึกถึงครั้งล่าสุดที่คุณอยากกินของหวานดูสิ ตอนนั้นคุณกำลังรู้สึกอะไรอยู่? บางทีคุณอาจจะเบื่อ เครียด เหงา กำลังฉลอง หรือกังวลกับบางอย่าง [2] การเข้าใจสาเหตุทางอารมณ์จะช่วยในการวางแผนจัดการกับความอยากของหวานเหล่านั้นให้ได้ดีที่สุด
    • ใช้วิธีตามรอยเมื่อคุณมีอาการอยากของหวานเพื่อหาต้นตอของความอยากที่เกิดจากอารมณ์ ทุกครั้งที่คุณอยากกินหรือได้กินของหวาน ให้เขียนบันทึกว่าคุณรู้สึกอย่างไรในตอนนั้น ควรแน่ใจว่าได้จดทุกอย่างที่คุณรู้สึก
    • ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากกินของหวานหลังจากสอบได้เกรดไม่ดี อาการอยากของหวานนั้นอาจเป็นผลมาจากความเศร้าหรือความผิดหวัง
  2. ความอยากของหวานอาจเกิดจากความเครียดได้เช่นกัน เมื่อมีความเครียดจะเกิดการหลั่งสารเคมีที่เรียกว่าคอร์ติซอล (cortisol) หรือฮอร์โมนความเครียด (stress hormone) คอร์ติซอลจะมาพร้อมกับผลเสียมากมายที่มีต่อร่างกาย ตั้งแต่น้ำหนักขึ้น ไปจนถึงระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมลง ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อมีปัญหา และวิธีการที่คุณมักจะใช้จัดการความเครียดคือการกินของหวาน เพราะมันช่วยทำให้ปฏิกิริยานี้สงบลงได้ [3]
    • เมื่อคุณรู้สึกเครียด พยายามหลีกเลี่ยงของหวาน ให้หาทางออกด้วยวิธีอื่นแทน เช่น ออกกำลังกาย หรือสูดลมหายใจลึกๆ
  3. เมื่อใดก็ตามที่คุณเหนื่อย คุณจะเริ่มหาตัวช่วยเพิ่มพลังงานที่รวดเร็วและง่ายที่สุด น้ำตาลสามารถเพิ่มพลังงานชั่วคราวได้ แต่มันจะไม่คงอยู่นานนัก และผลข้างเคียงของน้ำตาลก็คือ พลังงานของคุณจะยิ่งลดลงหลังจากนั้นเพราะมันไม่ใช่แหล่งพลังงานที่ยั่งยืน น้ำตาลเป็นหนึ่งในสารที่ร่างกายสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นพลังงานได้เร็วที่สุด
    • อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือน้ำตาลเป็นเพียงตัวช่วยเพิ่มพลังงานได้อย่างรวดเร็วและภายในเวลาสั้นๆ แต่มักจะทำให้รู้สึกแย่ลงได้หลังจากช่วงเพิ่มพลังนั้นหมดลง
  4. สำหรับผู้หญิง อาการอยากของหวานอาจเป็นอาการก่อนมีประจำเดือน ซึ่งเกิดจากอัตราการผลิตสารเอ็นดอร์ฟินที่ลดลง การกินน้ำตาลจะไปเพิ่มการหลั่งสารเคมีในสมองที่ทำให้รู้สึกดี ผลดีอีกอย่างของน้ำตาลก็คือจะช่วยหลั่งสารเคมีในร่างกายที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด
    • ปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับฮอร์โมนอาจทำให้เกิดความอยากของหวานได้ เพราะฮอร์โมนมีส่วนสำคัญในกระบวนการเกี่ยวกับพลังงานในร่างกาย ถ้าคุณกำลังมีปัญหาหรือคิดว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการเสียสมดุลหรือความบกพร่องของฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

เปลี่ยนวิธีการกิน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าคุณมีอาการอยากของหวาน ให้ลองสำรวจตัวเองว่าคุณแค่หิวหรือเปล่า การกินอาหารเป็นมื้อและมีประโยชน์ สามารถลดความอยากของหวานที่เกิดจากการสูญเสียพลังงานได้ [4] การเลือกอาหารในแต่ละมื้อ ควรเลือกของที่ดีต่อสุขภาพและให้พลังงาน เช่น โปรตีน ไฟเบอร์ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
    • เพิ่มโปรตีนให้มื้ออาหาร อย่างเช่น เนื้อปลา ไก่ เนื้อแดงไม่ติดมัน และถั่วเปลือกแข็ง
    • หลีกเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและส่วนผสมที่ไม่ดีต่อสุขภาพอย่างเกลือ
  2. ไฟเบอร์หรือเส้นใยมีส่วนช่วยรักษาระดับน้ำตาลในปริมาณที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งจะลดการเกิดภาวะน้ำตาลต่ำที่ทำให้คุณอยากของหวาน นอกจากนี้ไฟเบอร์ยังช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้น ลองมองหาอาหารที่มีไฟเบอร์สูงเพื่อช่วยให้คุณอิ่มท้อง
  3. เมื่อความอยากของหวานเกิดจากการที่มีพลังงานต่ำระหว่างวัน วิธีการแก้ก็คือกระจายมื้ออาหารให้เป็นหลายมื้อตลอดวัน มันจะช่วยให้คุณไม่ต้องเจอปัญหาพลังงานถดถอยในช่วงที่ไม่ได้กินอะไร
    • ผลวิจัยบางงานแนะนำว่าการกินอาหาร 5-6 มื้อเล็กต่อวัน แทนที่จะเป็น 3 มื้อใหญ่ จะช่วยให้รู้สึกอิ่มได้ตลอดวัน ลองเพิ่มปริมาณแคลอรี่ที่มีประโยชน์ โดยการเพิ่มมื้ออาหารที่กินในแต่ละวัน แต่อย่ากินอาหาร 5-6 มื้อในปริมาณเยอะเท่าเดิมล่ะ ไม่อย่างนั้นอาจกลายเป็นการเพิ่มแคลอรี่เข้าไปสูงเกินได้ [8]
  4. อาหารแปรรูปส่วนใหญ่ล้วนมีน้ำตาลซ่อนอยู่ ถ้าคุณไม่สามารถอ่านส่วนผสมทั้งหมดได้ หรือมันมีเยอะเกินไป เป็นไปได้ว่ามันมีน้ำตาลสูง ชื่ออื่นของน้ำตาลประเภทต่างๆ เช่น น้ำเชื่อมอากาเว่ (agave syrup), น้ำตาลแดง (brown sugar), น้ำตาลข้าวโพด (corn sweetener), น้ำเชื่อมข้าวโพด (corn syrup), เด็กซ์โทรส (dextrose), ฟรุกโตส (fructose), กลูโคส (glucose), แลคโตส (lactose), มอลโทส (maltose), ซูโครส (sucrose), น้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง (high-fructose corn syrup), น้ำผลไม้เข้มข้น (fruit juice concentrate), น้ำผึ้ง (honey), น้ำตาลอินเวิร์ต (invert sugar), น้ำตาลมอลต์ (malt sugar), กากน้ำตาล (molasses), น้ำตาลทรายดิบ (raw sugar), น้ำตาลทราย (sugar) และ น้ำเชื่อม (syrup) [9]
  5. ของหวานนั้นไม่จำเป็นต้องซับซ้อน หรูหรา หรือเป็นชุดใหญ่ มันอาจจะดีกว่าถ้าเลือกของหวานเรียบง่ายที่ไม่ได้ปรุงแต่งด้วยส่วนผสมแปลกๆ การกินของหวานธรรมดาๆ ยังหมายความถึงการหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปต่างๆ ที่มักจะมีน้ำตาลสูงอีกด้วย [10] ลองตัวเลือกอื่นอย่างผลไม้หรือดาร์กช็อกโกแลตดูสิ
  6. หนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้คุณหยุดกินของหวานและลดความอยากของหวานได้ คือการดื่มน้ำเปล่าให้มากขึ้น วิธีนี้จะช่วยให้คุณเลี่ยงน้ำหวานต่างๆ และยังทำให้ร่างกายชุ่มชื้น ไม่ขาดน้ำ สุขภาพดีขึ้นอีกด้วย ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงอย่างเครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำอัดลม และน้ำผลไม้บางชนิด [12]
    • ถ้าคุณไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ลองดื่มน้ำแร่ที่มีรสจากธรรมชาติแทน
  7. สารสังเคราะห์ให้ความหวานแทนน้ำตาลไม่ใช่ทางที่จะใช้เลี่ยงหรือลดความอยากของหวาน อีกทั้งยังมีผลวิจัยแบบผสมเกี่ยวกับผลกระทบจากสารให้ความหวานสังเคราะห์กับการเพิ่มโอกาสเสี่ยงของโรคมะเร็งด้วย ตัวอย่างสารให้ความหวานสังเคราะห์ เช่น แซ็กคาริน (saccharin), แอสพาร์แทม (aspartame), อะซิซัลเฟม โพแทสเซียม (acesulfame potassium), ซูคราโลส (sucralose), ไซคลาเมต โซเดียม (cyclamate sodium), และ นีโอแทม (neotame) [13]
    • เลือกสารให้ความหวานที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าอย่างสารสกัดจากหญ้าหวาน (stevia) เพราะปราศจากแคลอรี่และมาจากธรรมชาติ คือมาจากหญ้าหวานซึ่งเป็นพืช แทนที่จะมาจากสารเคมีเหมือนกับสารให้ความหวานสังเคราะห์อื่นๆ หญ้าหวานยังมีประสิทธิภาพในการรักษาความดันโลหิตสูงและอาการปวดท้องด้วย แต่อย่างไรก็ตาม มีการค้นพบว่าหญ้าหวานมีปฏิกิริยากับยาบางตัว เช่น ยาต้านอาการอักเสบ และยาต้านเชื้อรา ถ้าคุณกินยาเหล่านี้อยู่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่าจะปลอดภัยหรือไม่หากกินหญ้าหวาน [14]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การฝึกสติขณะกินอาหารไม่ใช่การควบคุมอาหาร แต่เป็นวิธีที่จะทำให้อยู่กับปัจจุบันขณะกินอาหาร หยุดพฤติกรรมที่ไม่ดี และทำให้ระวังในการกิน การมีสติจะทำให้คุณรู้ตัวว่าเมื่อไหร่ที่คุณอิ่มจริงๆ และรู้ถึงสัญญาณบอกของร่างกายเมื่อคุณอิ่มแล้ว การกินอย่างมีสติส่งผลดีคือช่วยลดการกินมากเกินไป ทั้งอาหารคาวและของหวาน [15] [16]
    • การลองอะไรใหม่ๆ จะช่วยให้มีสติมากขึ้นได้ บ่อยครั้งที่คนเราจะชอบกินอาหารแบบเดิมๆ ทั้งมื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็น ลองเปลี่ยนเป็นเมนูใหม่ๆ หรือใส่ผักหรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ค่อยได้กินดูบ้าง
    • มุ่งความสนใจไปที่อาหารแต่ละคำ หมายถึงการมองไปที่อาหารและพอใจกับมัน ลิ้มรสชาติ และใช้เวลาดื่มด่ำกับอาหารเหล่านั้น ปิดโทรทัศน์และหลีกเลี่ยงสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจ เพื่อที่คุณจะได้เพลิดเพลินกับอาหารแต่ละคำได้เต็มที่ [17]
  2. สมองของคุณต้องการเวลาก่อนจะสั่งการให้รู้สึกอิ่มหลังมื้ออาหาร มันต้องใช้เวลาในการรับสัญญาณจากฮอร์โมนในระบบย่อยอาหาร [18] ช่วงเวลาอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่แนะนำให้รอประมาณ 20-30 นาที ก่อนกินของหวาน
  3. ถ้าคุณกำลังอยากของหวาน ลองทำกิจกรรมอื่นๆ เพื่อลดความอยากที่เกิดจากอารมณ์ หรือเพื่อให้เวลาตัวเองพักระหว่างมื้ออาหารกับของหวาน [19] ถ้าคุณรู้สึกเบื่อและอยากจะหยิบถุงขนมมากินเล่นฆ่าเวลา ลองเปลี่ยนไปทำกิจกรรมต่อไปนี้แทน
    • เดินเล่น
    • ทำสมาธิ
    • เขียนบันทึก
    • เคี้ยวหมากฝรั่งสูตรไม่มีน้ำตาล
  4. อีกหนึ่งวิธีหลีกเลี่ยงของหวานคือการจำกัดการเข้าถึงสิ่งล่อใจเหล่านั้น วิธีนี้อาจหมายถึงการนำไปทิ้งให้หมดหรือแค่เก็บให้พ้นสายตาก็ได้ ผลวิจัยพบว่าการกำจัดของหวานหรืออย่างน้อยก็ทำให้เข้าถึงยากขึ้นนั้นจะช่วยลดปริมาณการบริโภคลงได้ วิธีนี้ให้เวลาคุณคิดมากขึ้นว่าคุณต้องการมันจริงๆ หรือเป็นแค่ความอยากของหวานเท่านั้น [20] คุณอาจจะลอง
    • เอาของหวานและน้ำตาลในบ้านไปทิ้งให้หมด
    • ซ่อนของหวานทั้งหลายไว้ในตู้ชั้นบนสุดเพื่อให้หยิบยากขึ้น
    • วางของกินที่มีประโยชน์ไว้ให้เห็นง่าย อย่างเช่น วางชามใส่ผลไม้ไว้บนเคาน์เตอร์ แทนที่จะเป็นโหลคุกกี้
    โฆษณา

บทความวิกิฮาวอื่น ๆ ที่่เกี่ยวข้อง

ลดน้ำหนัก 20 กิโลกรัมภายใน 2 เดือน
ผอมด้วยวิธีธรรมชาติ
จดไดอารี่อาหาร
รับประทานอาหารแบบแบรทไดเอท (BRAT Diet)
คำนวณแคลอรี่จากโปรตีน
ลดน้ำหนัก 5 กิโลกรัมภายใน 1 เดือน
เก็บกล้วยไม่ให้สุกเร็วเกินไป
ลดน้ำหนักใน 1 อาทิตย์
ลดน้ำหนัก 7 กิโลกรัมใน 2 สัปดาห์
รักษาหุ่นโดยที่ยังดื่มแอลกอฮอล์ได้
เผาผลาญไขมันและมีสุขภาพดี
ทำให้หน้าท้องแบนเรียบในหนึ่งสัปดาห์
วิธีทานอาหารเสริมจากส้มแขก: ความเสี่ยง, คุณประโยชน์ และข้อมูลด้านความปลอดภัย
ลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำ
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 21,704 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา