ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การยืนหยัดเพื่อตัวเองอาจเป็นเรื่องท้าทายไม่น้อยหากคุณเคยชินกับการปล่อยให้คนอื่นได้ในสิ่งที่เขาต้องการหรือคุณเป็น พวกชอบเอาใจคนอื่น เวลาที่คุณลดความเป็นตัวเองเพื่อให้เข้ากับคนอื่นๆ คุณค่าในตัวคุณก็จะหายไปได้ง่ายๆ การเรียนรู้ที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเองเป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้คนอื่นเคารพคุณและไม่พยายามข่มเหงหรือบงการคุณ การเลิกนิสัยสงบเสงี่ยมเจียมตัวและการสร้างความมั่นใจเพื่อยืนหยัดปกป้องตัวเองไม่ใช่เรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน แต่หนทางของการพัฒนาล้วนเริ่มที่ก้าวแรก

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

เชื่อมั่นในตัวเอง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การพัฒนาความรู้สึกมั่นใจในตัวเองอย่างแรงกล้าเป็นขั้นแรกของการก้าวไปสู่การยืนหยัดเพื่อตัวเอง ถ้าคุณไม่มีความมั่นใจหรือความเชื่อมั่นในตัวเอง แล้วคุณจะคาดหวังให้คนอื่นเขาเชื่อมั่นในตัวคุณได้อย่างไร
    • คนเราดูออกได้ไม่ยากว่าใครเพิ่งผ่านเรื่องซวยๆ และขาดความมั่นใจในตัวเอง จึงทำให้คุณตกเป็นเหยื่อได้ง่าย แต่ถ้าคุณมั่นใจ คนจะไม่ค่อยแกล้งหรือมองว่าคุณอ่อนแอ
    • ความมั่นใจต้องมาจากข้างใน เพราะฉะนั้นทำอะไรก็ได้ที่ทำให้คุณรู้สึกดีกับตัวเอง เรียนรู้ทักษะใหม่ ลดน้ำหนัก พูดประโยคยืนยันตัวเองทุกวัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนได้ในชั่วข้ามคืน แต่ความมั่นใจจะเพิ่มขึ้นในที่สุด
  2. เป้าหมายทำให้คุณรู้สึกถึงความหมายและอำนาจในการควบคุมชะตาชีวิตตัวเอง และช่วยให้คุณทำในสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ ให้เป็นจริงได้ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการยืนหยัดเพื่อตัวเองและการป้องกันไม่ให้คนอื่นมาเหยียบย่ำคุณ
    • สร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองด้วยการตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยานแต่ทำได้จริงในอีก 2-3 สัปดาห์ 2-3 เดือน หรืออีก 2-3 ปีข้างหน้า เป้าหมายที่ว่านี้จะเป็นอะไรก็ได้ อาจจะเป็นการเลื่อนตำแหน่งที่ทำงาน การได้เกรดสูงสุดในการเขียนงานส่งอาจารย์ครั้งถัดไป หรือวิ่งฮาฟมาราธอน ตราบใดที่มันทำให้คุณรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง
    • สุดท้ายพอคุณทำตามเป้าหมายได้แล้ว อย่าลืมหันกลับมามองสักครู่ว่าคุณมาไกลแค่ไหนและซาบซึ้งกับสิ่งที่คุณทำสำเร็จ ปฏิญาณกับตัวเองว่าคุณจะไม่มีวันถอยหลังกลับไปเป็นคนที่ชีวิตไม่ได้รับการเติมเต็มอย่างที่คุณเคยเป็นมาก่อนอีกแล้ว
  3. ทัศนคติคือทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะมันส่งผลต่อภาพรับรู้ของคนอื่นที่มีต่อคุณและแม้กระทั่งว่าคุณมองตัวเองอย่างไร ทัศนคติเป็นตัวกำหนดน้ำเสียง คุณภาพของความคิด และสะท้อนผ่านการแสดงออกทางสีหน้าและ ภาษากาย [1]
    • จำไว้ว่าทัศนคติติดต่อกันได้ ถ้าคุณร่าเริง มีความสุข และเบิกบานไปกับสิ่งต่างๆ คุณก็จะส่งเสริมให้คนที่อยู่รอบตัวคุณรู้สึกดีกับตัวเขาเองและโลกรอบตัวไปด้วย แต่ถ้าคุณปั้นปึ่ง มองโลกในแง่ร้าย และหดหู่ไปกับทุกเรื่อง ในไม่ช้าคุณก็จะพลอยทำให้คนอื่นได้รับเชื้อความคิดลบๆ แบบเดียวกันนี้ไปด้วย
    • โดยธรรมชาติเรามักจะชอบอยู่กับคนที่ทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเอง และพวกเราก็มักจะชอบฟังและโต้ตอบในแง่ดีกับคนที่มีทัศนคติที่ดีด้วย
    • ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ พวกเราก็มักจะไม่ต้อนรับคนที่พยายามเล่นบทแม่สนิมสร้อย เหยื่อ หรือพวกถูกกดขี่ตลอดกาล เลือกที่จะรู้สึกและมีทัศนคติเชิงบวก เท่านี้คุณก็อยู่บนหนทางของการยืนหยัดเพื่อตัวเองแล้ว
  4. เวลาที่คุณทำตัวเหมือนผู้ตกเป็นเหยื่อ คุณจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการยืนหยัดเพื่อตัวเอง คุณจะเหลือตัวเล็กจ้อยจากผลที่ตามมาของสถานการณ์และโยนปัญหาให้คนอื่น
    • สำหรับหลายคน การไม่สามารถยืนหยัดเพื่อตัวเองได้มีรากฐานมาจากความกลัวการถูกปฏิเสธหรือหัวเราะเยาะ ซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณ์เลวร้ายแบบเดียวกันนี้ในอดีต ถ้าคุณเลือกที่จะเก็บประสบการณ์ที่ไม่ดีมาคิดเล็กคิดน้อยและกลับไปหดหัวอยู่ในกระดองเมื่อไหร่ ก็แปลว่าคุณเลิกยืนหยัดเพื่อตัวเองและเริ่มจะเล่นบทเหยื่อแทนแล้ว
    • ถ้าคุณเจอเหตุการณ์ที่ไม่ดีในอดีต สิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำได้คือพยายามเล่าประสบการณ์เหล่านี้ให้คนที่คุณไว้ใจฟัง วิธีนี้จะช่วยให้คุณเจอต้นตอของปัญหาที่อยู่เบื้องหลังวิธีคิดแบบเหยื่อและทำให้คุณข้ามผ่านมันไปได้แทนที่จะซ่อนตัวอยู่หลังต้นตอนี้
  5. ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ต้องมีหุ่นเหมือนคนเหล็กหรือหญิงเหล็ก รูปลักษณ์ภายนอกของคุณก็สำคัญ และการมีรูปลักษณ์ที่กระฉับกระเฉง แข็งแรง และสุขภาพดีก็จะทำให้คุณมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้นและช่วยให้คุณยืนหยัดปกป้องตัวเองได้
    • เลือกกิจกรรมที่คุณชอบทำ ไม่ว่าจะเป็นเวทเทรนนิ่ง วิ่ง เต้น หรือปีนหน้าผา แล้วทำกิจกรรมเหล่านั้นให้สนุกสุดเหวี่ยง เพราะไม่เพียงแต่คุณจะดูดีและรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นในทางกายภาพเท่านั้น แต่คุณยังได้ความสนุกและกลายเป็นคนที่น่าสนใจและมีชีวิตที่เติมเต็มในระหว่างนั้นด้วย!
    • นอกจากนี้คุณอาจจะเริ่มเรียน ศิลปะการต่อสู้ หรือศิลปะการป้องกันตัว การสอนวินัยจากภายในจะเพิ่มความมั่นใจของคุณได้อย่างมหาศาล และวิธีเคลื่อนไหวที่คุณจะได้เรียนรู้เพื่อปกป้องตัวเองจะยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้คุณมากขึ้นเป็นสองเท่า และทำให้คุณยืนหยัดเพื่อตัวเองได้หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีการต่อสู้ด้วยกำลังเกิดขึ้น
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

เรียนรู้ที่จะกล้าแสดงจุดยืน

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การกล้าแสดงจุดยืน คือกุญแจสำคัญของการยืนหยัดเพื่อตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เป็นคำพูดซ้ำซากทั่วไป แต่เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการที่คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการและทำให้คนอื่นรับฟังคุณได้อย่างแท้จริง
    • การกล้าแสดงจุดยืนทำให้คุณสามารถแสดงความต้องการ ความจำเป็น และความชอบในแบบที่แสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเองโดยที่ยังคงเคารพคนอื่นอยู่ ซึ่งต้องอาศัยความใจกว้างและความซื่อสัตย์ต่อความคิดและความรู้สึก ในขณะที่ก็พยายามหาทางออกร่วมกันที่ทั้งสองฝ่ายสบายใจ
    • เวลาแสดงจุดยืนในด้านความรู้สึกและความคิดเห็น คุณควรใช้ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย "ฉัน" แทนที่จะใช้ประโยคที่ขึ้นต้นด้วย "คุณ" เพราะมันฟังดูเป็นการกล่าวโทษน้อยกว่าและป้องกันไม่ให้คนอื่นรู้สึกไม่พอใจ เช่น แทนที่จะพูดว่า "คุณไม่เคยถามความเห็นของฉันเลย" ก็ให้พูดว่า "ฉันรู้สึกเหมือนฉันถูกละเลยเวลาที่คุณตัดสินใจโดยไม่บอกฉัน" [2]
    • โดยหลักแล้วการกล้าแสดงจุดยืนเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้ เพราะฉะนั้นอย่ารู้สึกแย่ถ้าคุณไม่ได้เกิดมาเป็นคนกล้าแสดงจุดยืนตั้งแต่แรก มีหนังสือและคอร์สดีๆ มากมายที่จะฝึกให้คุณกล้าแสดงจุดยืนของตัวเองมากยิ่งขึ้น คุณอาจจะอยากเริ่มจากการอ่านเล่มคลาสสิกที่ชื่อ ไม่ผิดหรอกที่บอกปฏิเสธ โดย Manuel J Smith และหนังสือทางฝั่งเอเชียอย่าง อย่าให้ความอาย (หรือความเกรงใจ) ทำลายชีวิตคุณ โดย โจวเหวยลี่ นอกจากนี้ก็ให้อ่านบทความ วิธีการ เป็นคนกล้าแสดงจุดยืน ด้วย
  2. การฝึกพูดคำว่าไม่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำยากที่สุดแต่ก็สำคัญมากที่สุดเช่นกัน ถ้าคุณมักจะตอบรับว่า "ได้ครับ/ได้ค่ะ" เหมือนที่คนประเภทที่ไม่อยากทำให้ใครผิดหวังเขาชอบพูดกัน คุณก็เสี่ยงกับการตกเป็นกระโถนท้องพระโรงให้คนอื่นมาเหยียบย่ำและเอาเปรียบ
    • เช่น ถ้าหัวหน้าขอให้คุณเลิกงานช้าในขณะที่เพื่อนร่วมงานกลับเดินออกจากประตูออฟฟิศได้อย่างสบายใจเฉิบตอน 6 โมงเย็น คุณก็อาจจะปฏิเสธได้ยาก แต่ถ้าภาระงานที่เพิ่มมานี้เพิ่มความกดดันให้กับชีวิตส่วนตัวและความสัมพันธ์ของคุณ คุณก็ต้องยืนกรานปฏิเสธอย่างหนักแน่น อย่าให้ความต้องการของคนอื่นอยู่เหนือความต้องการของคุณเอง จงเรียนรู้ที่จะพูดคำว่าไม่เมื่อจำเป็น
    • การฝึกพูดคำว่าไม่จะช่วยให้คุณยืนหยัดเพื่อตัวเองกับเพื่อนๆ และคนที่มาคุกคามคุณได้ ลองนึกถึงเพื่อนคนที่ยืมเงินคุณตลอดๆ แต่ก็ไม่เคยคืนสิ การยืนหยัดเพื่อตัวเองจะทำให้คุณสามารถขอเงินคืนจากเพื่อนได้และสามารถปฏิเสธไม่ให้ยืมได้ในครั้งต่อๆ ไป โดยที่ยังรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ด้วย
    • คนอื่นอาจจะแปลกใจในช่วงแรก แต่พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะยอมรับความแน่วแน่ที่คุณเพิ่งค้นพบและอาจจะเริ่มเคารพจุดนี้ได้
  3. กิริยาท่าทางที่คุณยืน เดิน และนั่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับตัวคุณให้แก่คนอื่นได้อย่างมหาศาล ภาษาท่าทางเชิงบวกสามารถใช้เพื่อเรียกความเคารพ ความเห็นพ้อง และ ความเชื่อใจ ได้ ในขณะที่ภาษาท่าทางเชิงลบ (งอตัว พยายามหดตัวเหลือเล็กนิดเดียว) ในทางปฏิบัติมักเป็นเหมือนคำเชิญชวนให้ผู้อื่นมาคอยสั่งให้คุณทำโน่นทำนี่
    • การใช้ภาษาท่าทางแบบเปิดจะแสดงให้คนอื่นเห็นว่า คุณเป็นตัวของตัวเองและไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ ภาษาท่าทางแบบเปิดได้แก่การยืนโน้มตัวไปข้างหน้า สบตา ยืนเอามือวางบนสะโพกและวางเท้าแยกกัน ใช้การแสดงท่าทางแบบช้าๆ และตั้งใจ หันหัวใจเข้าหาคนอื่นขณะที่คุณเข้าหาพวกเข้าและไม่เอามือกอดอกหรือเอาขาไขว้กัน
    • ในขณะเดียวกันภาษาท่าทางแบบปิดจะส่งสัญญาณเชิงลบและเปิดโอกาสให้คุณถูกโจมตี ภาษาท่าทางแบบปิดได้แก่การกอดอก กำมือ ใช้กิริยาท่าทางที่รวดเร็วและไม่ตรงประเด็น กระสับกระส่าย หลบตา และหันด้านข้างเข้าหาคนอื่น [3]
  4. สำหรับคนขี้อายหลายๆ คน การยืนหยัดเพื่อตัวเองไม่ใช่ความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่เป็นไร ทั้งหมดที่คุณต้องทำคือฝึกฝน ไม่ช้าคุณจะมั่นใจมากขึ้นและยืนหยัดเพื่อตัวเองมากขึ้นเพื่อให้คนอื่นรับฟังเสียงของคุณ
    • บางครั้งคุณก็ยืนหยัดปกป้องตัวเองได้ไม่สำเร็จแค่เพราะว่าคุณไม่สามารถพูดในสิ่งที่ต้องพูดออกมาได้ในเวลาที่เหมาะสม ค่อยๆ ใช้เวลาเขียนคำโต้ตอบดีๆ ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและฝึกพูดกับเพื่อนโดยใช้เครื่องจับเวลา
    • ให้เพื่อนแกล้งเป็นพวกเอาใจยากหรือคนที่ดูน่ากลัวที่พ่นคำดูถูกใส่คุณรัวๆ จับเวลา 2 นาทีแล้วโต้ตอบไปเลย! ฝึกทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะทำได้
    • นอกจากนี้คุณยังสามารถยืนหยัดปกป้องตัวเองในสถานการณ์เล็กๆ ประจำวันได้ด้วย เช่น แทนที่จะรับกาแฟที่ชงมาผิดจากบาริสต้าที่ฟังคำสั่งของคุณผิดแบบเงียบๆ ให้เรียนรู้ที่จะพูดว่า "ขอโทษนะคะ ดิฉันสั่งนมขาดมันเนยค่ะ ทำให้ใหม่ได้ไหมคะ" ในไม่ช้าคุณก็จะเริ่มมีความมั่นใจในการรับมือกับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นและสำคัญกว่านี้!
  5. อีกด้านหนึ่งของการยืนหยัดเพื่อตัวเองคือ เชื่อสัญชาตญาณของตัวเองที่มีต่อคนอื่นและเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อสัญชาตญาณนั้น เช่น
    • ถ้าอีกฝ่ายทำให้คุณรู้สึกแย่ด้วยคำพูดเชิงลบต่างๆ อย่าไปคลุกคลีกับพวกเขา เริ่มถอยห่างออกมาอย่างสุภาพแต่หนักแน่น คุณไม่ได้ติดค้างคำอธิบายว่าทำไมคุณถึงใช้เวลากับพวกคนเอาใจยากพวกนี้น้อยลง
    • อยู่ให้ห่างจากพวกอันธพาล มองโลกในแง่ร้าย และพวกชอบกระแนะกระแหน เพราะคุณไม่ได้อะไรเลยจากการอยู่กับคนพวกนี้และคุณก็ไม่ได้กำลังทำประโยชน์ให้พวกเขาด้วยการอดทนกับความไร้สาระหรือให้รางวัลสำหรับพฤติกรรมแย่ๆ ของพวกเขาด้วย
    • จำไว้ว่าการอยู่ให้ห่างจากแหล่งที่มาของความอึดอัดและปัญหาไม่เหมือนกับการวิ่งหนี แต่เป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้ที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเอง เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคุณจะไม่ปล่อยให้เรื่องไร้สาระและความน่ารังเกียจต่างๆ มามีผลกับชีวิตของคุณ
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

คลี่คลายความขัดแย้ง

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ปกป้องตัวเองด้วยคำพูดเมื่อถูกโจมตี ยั่วยุ หรือกีดกัน และดูแลตัวเองเมื่อมีคนพยายามดูถูก ตีกรอบ หรือแม้กระทั่งทำร้ายร่างกายคุณ
    • อย่าแค่ยืนแล้วเก็บอารมณ์ไว้ข้างใน การพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปนั้นดีกว่ามาก แม้ว่าผลสุดท้ายอาจจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่คุณก็ได้แสดงให้ตัวเองและคนอื่นเห็นว่า คุณจะไม่ทนต่อการไม่ให้เกียรติ
    • บ่อยครั้งการอธิบายความคิดเห็นหรือพฤติกรรมที่แสดงถึงการไม่ให้เกียรติอย่างสุภาพแต่หนักแน่นนั้นเพียงพอต่อการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีคนฟัง เช่น "ขอโทษนะคะ แต่คิวถัดไปถึงตาฉันแล้วค่ะ แล้วฉันก็รีบพอๆ กับคนที่แทรกเข้ามานะคะ"
    • อย่ากระซิบกระซาบ ขมุบขมิบ หรือพูดเร็วเกินไป น้ำเสียงและความเร็วในการพูดเป็นส่วนสำคัญของการอธิบายว่าคุณต้องการอะไรและคุณรู้สึกมั่นใจแค่ไหน
    • โดยธรรมชาติแล้วท่าทางที่คุณใช้ในการปกป้องตัวเองจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และอยู่ที่ว่าคนๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นอันตรายหรือไม่ ให้เอาสวัสดิภาพของตัวเองมาก่อนเสมอ
  2. คุณไม่ควรใช้ความก้าวร้าวแบบไม่มีการยับยั้งในกระบวนการยืนหยัดเพื่อตัวเอง การเป็นคนก้าวร้าวหรือแม้กระทั่งพวกชอบใช้กำลังนั้นไม่ใช่สิ่งดีและจะไม่ทำให้คุณได้ใจเพื่อนๆ ด้วย
    • การแสดงความก้าวร้าวไม่ว่าทางวาจาหรืออื่นๆ เป็นเหมือนการแสดงความเจ็บปวดแบบชัดเจนระดับฟูลเฮชดี ซึ่งไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำให้คุณได้ในสิ่งที่คุณต้องการและมีแต่จะทำให้คนอื่นต่อต้านคุณด้วย
    • คุณมีแนวโน้มที่จะได้ผลลัพธ์เชิงบวกมากกว่าหากคุณจัดการปัญหาอย่างใจเย็นและเป็นกลางมากที่สุด คุณสามารถมั่นคงในเหตุผลของตัวเอง หนักแน่น และยืนหยัดเพื่อตัวเองได้โดยไม่ต้องขึ้นเสียงหรือโกรธ [4]
  3. ระวังอย่าตอบโต้ผู้คนและสถานการณ์ด้วยพฤติกรรมดื้อเงียบ
    • การตอบโต้ด้วยพฤติกรรมดื้อเงียบคือการที่คุณกะฟัดกะเฟียดทำในสิ่งที่คุณไม่อยากทำและสุดท้ายก็เต็มไปด้วยอารมณ์ไม่พอใจและ ความโกรธ เกลียดคนที่ "ทำให้" คุณต้องรู้สึกแบบนี้ คือรู้สึกหดหู่และไร้ที่พึ่ง
    • พฤติกรรมเช่นนี้ส่งผลกระทบในทางที่ไม่ดีต่อความสัมพันธ์และอาจส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตอย่างใหญ่หลวง ที่สำคัญที่สุดคือการรับมือกับสถานการณ์ในชีวิตด้วยพฤติกรรมดื้อเงียบไม่อาจทำให้คุณยืนหยัดเพื่อตัวเองได้เลย
  4. พยายามปรับมุมมองที่มีต่อเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นเรื่องบวก. การยืนหยัดเพื่อตัวเองอีกวิธีหนึ่งคือการเปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตให้กลายเป็นเรื่องดีๆ ในระหว่างการเปลี่ยนการโจมตีจากภายในสู่ภายนอกเพื่อหาเรื่องดีๆ ที่ซ่อนอยู่ คุณมักจะพบว่าความรู้สึก อิจฉา หรือความรู้สึกไม่มั่นคงนั้นเป็นต้นตอของการโจมตี เช่น
    • ถ้ามีคนบอกว่าคุณเป็นพวกเจ้ากี้เจ้าการ แทนที่จะปล่อยให้คำพูดคนอื่นมาทำให้คุณหดเหลือตัวนิดเดียว ให้มองว่านี่คือหลักฐานที่บ่งบอกว่าคุณเกิดมาเป็น ผู้นำ สามารถจัดการกับคนและโปรเจ็กต์ได้ดี และยังเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงรุกอีกด้วย
    • ถ้ามีคนบอกว่าคุณขี้อาย ให้มองว่าเป็นคำชมที่หมายความว่าคุณไม่ใช่คนที่จู่ๆ จะเห่อทำอะไรที่คนอื่นเขาเพิ่งทำตามๆ กัน แต่คุณชอบที่จะคิดทบทวนผลที่ตามมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ
    • ถ้ามีคนบอกว่าคุณอ่อนไหวง่ายหรือใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ให้คำพูดนี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณมีจิตใจเมตตาและไม่กลัวที่จะให้ใครเห็นด้านนี้ของคุณด้วย
    • หรืออาจจะมีคนบอกว่าคุณไม่ค่อยสนใจความก้าวหน้าด้านการงานมากพอ สำหรับคุณแล้วนั่นยืนยันว่าคุณมีชีวิตที่ปราศจากความเครียดที่ทำให้คุณมีชีวิตที่ยืนยาวกว่า
  5. ไม่ว่าคุณจะพยายามเพิ่มความมั่นใจมากแค่ไหน แต่ก็ต้องมีบ้างบางวันที่คุณรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีเท่าไหร่
    • แทนที่จะมองว่ามันเป็นความล้มเหลวของความพยายามในการเรียนรู้ที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเอง ให้มองสิ่งที่เกิดขึ้นในแบบที่มันเป็น คือมองว่ามันก็เป็นแค่วันๆ หนึ่งที่อะไรๆ มันไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ชั่วคราวก่อนที่คุณจะกลับมารู้สึกดีอีกครั้งและดีดตัวกลับไปได้ เคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณดีดตัวกลับไปได้อีกครั้งได้แก่
    • แสร้งทำจนกว่าจะทำได้ แม้ว่าคุณจะรู้สึกไม่มั่นใจเลย ก็ให้ทำเป็นว่าคุณมั่นใจ
    • รักษาพฤติกรรมให้คงเส้นคงว่า คนจะเริ่มคาดหวังว่าคนที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้คือคนที่พร้อมจะยืนหยัดเพื่อตัวเอง
    • เตรียมใจไว้เลยว่าบางคนจะมองจุดยืนที่แน่วแน่กว่าแต่ก่อนของคุณว่าเป็นเรื่องท้าทาย มันอาจต้องใช้เวลาสักพักในการสร้างรูปแบบพฤติกรรมใหม่แทนพฤติกรรมก่อนหน้าให้คนที่เคยเหยียบย่ำคุณได้รับรู้ และบางครั้งคุณอาจจะพบว่าคุณไม่ได้อยากอยู่ในชีวิตพวกเขาอีกต่อไป จงยอมรับทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • คุณต้องคิดว่าจะพูดหรือทำอะไรก่อนเสมอ
  • รักตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าละอายที่กลัว แต่ให้รู้ไว้ว่าคุณจะค่อยๆ กลัวน้อยลงไปทีละนิดๆ
  • ยิ้ม ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกกลัวหรือถูกคุกคาม ให้ยิ้ม และนั่นจะทำให้คนเห็นบางสิ่งในตัวคุณ นั่นก็คือคุณไม่กลัว
  • ใช้น้ำเสียงที่แสดงความมั่นใจ เข้มแข็ง และมั่นคง พูดด้วยพลังและความมั่นใจ มันจะช่วยให้คุณพูดความคิดและไอเดียออกมาได้
  • อย่าตะคอกหรือตะโกนใส่คนอื่น เพราะจะทำให้คนที่คุกคามคุณมีเหตุผลที่จะหัวเราะเยาะใส่คุณหรือทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม และมันก็เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าคุณเสียการควบคุม แม้แต่คนที่กลัวจริงๆ สุดท้ายก็ยังตอบโต้ด้วยความรังเกียจได้
  • ความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนการรับรู้ของคนอื่นที่มีต่อคุณและวิธีที่คุณโต้ตอบคนพวกนี้คือสิ่งสำคัญ ถ้าคุณเบื่อที่จะเป็นกระโถนท้องพระโรง คนชอบเอาใจคนอื่น คนขี้กลัว และถูกคนอื่นคุกคาม ก็แปลว่าคุณพร้อมที่จะเริ่มการเปลี่ยนแปลงนี้แล้ว
  • ถ้าคุณลังเลที่จะปกป้องตัวเอง ให้ปกป้องตัวเองไปก่อนแล้วค่อยกลับไปคิดทบทวนทีหลัง เพราะขณะที่การยืนหยัดเพื่อตัวเองต่อหน้าคนอื่นกำลังถึงจุดเข้มข้น ความสงสัยมีแต่จะทำให้คุณชะงัก คุณมีเวลาทบทวนอีกมากมายหลังจากปกป้องตัวเองไปแล้ว
  • พยายามแก้ไขความเสียหายที่เกิดจากความยากลำบากในชีวิต เพราะในความเป็นจริงแล้วทุกคนต่างประสบกับการเปลี่ยนแปลงและความยุ่งยากในชีวิตมากมาย แต่สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ก็คือวิธีการที่เราตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น การลงมือทำนั้นง่ายพอๆ กับการตัดสินใจที่จะเลิกเก็บเรื่องร้ายๆ มาคิดเล็กคิดน้อย แต่สำหรับคนส่วนใหญ่มันต้องใช้ความพยายามที่จะก้าวข้ามรูปแบบการคิดลบที่เป็นผลตามมา และเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนทิศทางรูปแบบการคิดนั้นๆ
  • คิดว่าคุณไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร แต่คุณเทียบเท่ากับคนอื่นๆ
  • พึ่งพาเพื่อนๆ และคนที่คุณไว้ใจหากคุณรู้สึกว่าตัวเองทำคนเดียวไม่ได้ การยืนหยัดปกป้องตัวเองไม่จำเป็นต้องเป็นหนทางที่โดดเดี่ยวเสมอไป
  • ยืนหยัดปกป้องตัวเองในแบบที่ทำให้คนอื่นคิดว่าคุณเข้มแข็ง จำไว้ว่ามันมีเส้นบางๆ ระหว่างการยืนหยัดเพื่อตัวเองกับการหยาบคาย และให้ยืนหยัดเพื่อคนอื่นด้วย การยืนหยัดเพื่อตัวเองทำให้คุณดูเป็นคนเข้มแข็ง แต่การยืนหยัดเพื่อคนอื่นทำให้คุณดูเข้มแข็งยิ่งกว่า ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นและช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณได้เรียนรู้ที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเองและคนอื่นเท่านั้น แต่คุณยังได้เปลี่ยนแปลงโลกอย่างช้าๆ ไปพร้อมกันด้วย
  • อย่าเลือกที่รักมักที่ชัง ถ้าเพื่อนสนิทของคุณทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น ระรานคนอื่น คุณก็ควรยืนหยัดเพื่อปกป้องคนที่ถูกรังแก แม้ว่าคนที่ระรานเขาจะเป็นเพื่อนสนิทของคุณก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องของคุณอีกต่อไป! จงยุติธรรมเสมอ
โฆษณา

คำเตือน

  • อย่ากังวลว่าคนอื่นจะมองคุณในแบบที่กล้าแสดงจุดยืนมากขึ้นว่าเป็นคนแข็งกร้าว คุณสามารถเสนอแนะสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อให้พวกเขาได้ช่วยเหลือตัวเอง แต่คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายตัวเอง ขอโทษ หรือติดแหง็กอยู่กับเขา นี่เป็นชีวิตของคุณ จงยืนหยัดเพื่อตัวเองต่อไป!
  • อย่าพูดว่า "ฉันต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง" เพราะมันเป็นการบอกคนอื่นว่าคุณกำลังอยู่ในระหว่างการฝึกฝนแต่ก็ยังไม่มั่นใจพอ อย่าแย้มพรายให้พวกเขารู้ ปล่อยให้เขาเข้าใจไปว่าคุณได้ยืนหยัดเพื่อตัวเองแล้ว
  • อย่าพยายามปรับตัวเองให้เข้ากับคนที่พยายามจะเปลี่ยนคุณ หาเพื่อนที่ยอมรับคุณในแบบที่คุณเป็น และต้องแน่ใจด้วยว่าพวกเขาเป็นเพื่อนที่ดี
  • บทความนี้เป็นแค่แนวทาง ไม่ใช่กฎ กฎควรอยู่ในใจของคุณ สร้างจากประสบการณ์และความพอใจของคุณ เชื่อบทความนี้ในส่วนที่คุณอยากเชื่อ และไม่ต้องสนใจส่วนที่ไม่เป็นประโยชน์กับคุณ
  • รู้ว่าบางครั้งคนอื่นๆ ที่มีปัญหาเรื่องยืนหยัดเพื่อตัวเองอาจเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่สร้างปัญหาไม่จบไม่สิ้น คุณจะสัมผัสความเจ็บปวดและความอ่อนแอของพวกเขาได้จากสัญชาตญาณ เพราะว่าพวกเขาสะท้อนประสบการณ์ของคุณเอง แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะต้องอ่อนข้อให้พวกเขาและปล่อยให้เขาทำให้คุณเจ็บปวดหรือไม่ให้เกียรติคุณ ถ้าทำได้ให้ช่วยชี้ทางให้พวกเขาเห็นหนทางที่จะก้าวข้าวพฤติกรรมที่แสดงถึงความไม่มั่นคง แต่ก็อย่าไปวนอยู่ในลูปของความทุกข์ไปกับเขาด้วย
โฆษณา

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Nicholas Boothman, How to Make People Like You in 90 Seconds or Less , Chapter 4, (2000), ISBN 0-9578081-8-6
  2. http://www.everydayhealth.com/emotional-health/standing-up-for-yourself.aspx
  3. Nicholas Boothman, How to Make People Like You in 90 Seconds or Less , pp. 49-50, (2000), ISBN 0-9578081-8-6
  4. http://www.psychologytoday.com/blog/evolution-the-self/201209/how-and-how-not-stand-yourself

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 3,437 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา