PDF download ดาวน์โหลดบทความ PDF download ดาวน์โหลดบทความ

สันในหมูนั้น เป็นเนื้อส่วนที่ไม่ติดมัน นำไปทำอาหารได้หลากหลาย โดยเหมาะกับการนำไปย่างสุดๆ การย่างเนื้อสันในหมูอย่างถูกต้องจะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ในเนื้อ อันซึ่งสำคัญมาก เพราะเนื้อหมูปกติจะแห้งง่ายและสุกเร็ว คุณสามารถเรียนรู้วิธีการเตรียมเนื้อหมูด้วยการหมัก และเตรียมด้วยการหมักเครื่องเทศหลายๆ ประเภท หรือทำแซนด์วิชเนื้อสันในหมูย่าง แม้กระทั่งการนำเบคอนมาพันแล้วยัดไส้เนื้อสันในเอาไว้ ที่จะทำให้ครอบครัวคุณอิ่มหนำสำราญอย่างมีความสุข ไปดูขั้นตอนแรกเพื่อข้อมูลเพิ่มเติมกันเลย

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

การเตรียมเนื้อหมู

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ซื้อเนื้อหมูสดที่เป็นสีชมพูสุขภาพดีเพื่อนำมาย่าง. เนื้อสันในเป็นเนื้อที่แทบจะไม่ติดมันเลย ทำให้เนื้อส่วนนี้แห้งง่ายและสุกไว ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม โดยเฉพาะถ้าหากคุณกังวลว่าจะเผลอทำให้เนื้อสุกทั้งๆ ที่ยังอยากให้มีความสดอีกสักหน่อย นั่นจะดีมากในการย่างหมูให้สุกระดับกลาง และจะยิ่งรสชาติดีกว่าเดิมถ้าหากว่าซื้อเนื้อหมูมาขณะที่มันกำลังสดใหม่
    • อย่าไปสนใจเนื้อที่ดูสีซีดเทาหรือสีคล้ำกว่าปกติ รวมถึงมีกลิ่นแปลกๆ โชยออกมาด้วย เนื้อหมูสดๆ ควรเป็นสีชมพูสดใส และไร้กลิ่นไม่พึงประสงค์
    • ทริคิโนซิส เป็นปรสิตที่มักจะอยู่ในเนื้อหมูที่ยังไม่สุกหรือยังดิบอยู่ โดยจะถูกกำจัดไปหมดแล้วในเนื้อหมูที่ขายตามห้างร้าน ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น มีรายงานเกี่ยวกับทริคิโนซิสอยู่ประมาณ 11 กรณีต่อปี ส่วนมากจะมาจากเนื้อหมูป่าที่ถูกล่า ไม่ใช่เนื้อหมูที่ซื้อมาจากร้านแต่อย่างใด ขณะเดียวกันจึงไม่จำเป็นต้องย่างจนเนื้อหมูไหม้เกรียมเพราะกลัวปรสิตนี่หรอก เนื้อหมูก็เน่าเสียง่ายเหมือนกับเนื้อชนิดอื่นๆ นั่นแหละ [1]
  2. ทำความสะอาดเนื้อและหั่นเล็มในส่วนที่ไม่ต้องการออก. เนื้อสันในควรเป็นสีชมพูและสะอาด มีเนื้อเยื่อเกี่ยวกันและไขมันติดอยู่เล็กน้อย ถ้าหากว่าคุณได้ชิ้นที่มีส่วนที่ไม่ต้องการเหล่านั้นล่ะก็ ให้เล็มออกและทิ้งไปซะ
    • ห้ามล้างเนื้อดิบๆ ในอ่าง ซึ่งมันจะแพร่กระจายแบคทีเรียไปรอบๆ ครัวที่สะอาดของคุณได้ และให้ใช้ผ้าขนหนูซับให้เนื้อแห้ง ถ้าหากว่ายังมีเศษสิ่งสกปรกติดอยู่
  3. เพราะเนื้อสันในเป็นเนื้อที่ไร้มัน จึงยิ่งควรหมัก, คลุก และผสมรวมเข้ากับเรื่องเทศที่แตกต่างกัน ให้คลุกเนื้อกับส่วนผสมที่ต้องการจะหมัก นั่นรวมถึงเครื่องเทศที่คุณทำขึ้นมาเอง หรือแบบสำเร็จรูปที่ขายตามร้านก็ได้ โดยให้หมักเอาไว้ในชามที่มีฝาปิด หรือถุงซิปล็อค จากนั้นก็นำไปแช่ตู้เย็นไว้ค้างคืน หรืออย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนที่จะย่างมัน ส่วนผสมที่เข้ากับรสชาติของสันในหมูมีดังต่อไปนี้:
    • สำหรับซอสหมักรสเปรี้ยวหวานแบบดั้งเดิม ให้ผสมน้ำมันมะกอก ¼ ถ้วย เข้ากับกระเทียมตำละเอียด 1 กลีบ และมัสตาร์ดสีน้ำตาล, ซอสถั่วเหลือง, น้ำตาลทรายอย่างละ1 ช้อนโต๊ะ กับพริกแดงป่นอีก 1 ช้อนชาตามที่ต้องการ ทั้งหมดนี่จะได้รสชาติที่แตกต่างกัน ให้คลุกเคล้าส่วนผสมเข้ากับเนื้อหมู จากนั้นทำไปแช่ในตู้เย็นค้างคืนเอาไว้ โดยคอยกลับเนื้อเป็นระยะ
    • สำหรับซอสหมักรสเผ็ดหวาน ผมน้ำส้ม 1 ถ้วย เข้ากับซอสมะเขือเทศและดิจองมัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะ และกระเทียมป่น, พริกป่น, น้ำตาลทรายขาว, ปาปริก้า และวูสเตอร์ซอสอีกอย่างละ 1 ช้อนชา รวมถึงผสมผักชีสับละเอียดสักกำมือลงในส่วนผสมด้วย
    • สำหรับซอสหมักรสหวานแบบบาร์บีคิว ผสมกากน้ำตาล 2/3 ถ้วย กับน้ำตาลทรายครึ่งถ้วย เข้ากับพริกไทยป่น, ออลสไปซ์, เกลือ และพริกไทยอย่างละครึ่งช้อนชา จากนั้นก็เติมด้วยน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิลอีก 2-4 ช้อนโต๊ะ
  4. หลักจากที่ทำการหมักเนื้อหมูเอาไว้ในตู้เย็นเย็นๆ ทั้งคืนแล้ว ก็จำเป็นต้องนำมาวางพักไว้บนเคาน์เตอร์สักชั่วโมงหนึ่งก่อนที่จะใช้ความร้อนกับมัน เพื่อที่จะทำให้อุณหภูมิเหมาะสม และแน่ใจว่าจะย่างหมูได้สุกทั่วทั้งชิ้น หากว่าเนื้อหมูมีอุณหภูมิต่ำก่อนที่จะใส่เข้าไปในเตาย่าง มันจะสุกไม่ทั่ว และยากที่จะทำให้มันสุกได้ถ้าไม่ทำมันไหม้เสียก่อน
    • เมื่อคุณกำลังจะออกไปจุดเตาย่างข้างนอก ขอให้แน่ใจว่าได้นำเนื้อหมูออกมาวางบนเคาน์เตอร์แล้วเช่นกัน ควรให้เวลาเนื้อค่อยๆ อุ่นขึ้นดีกว่านำไปย่างทั้งๆ ที่มันยังเย็นอยู่
  5. บางคนที่ชอบกินเนื้อสันใน ก็ชอบที่จะนำเนื้อหมูออกจากน้ำหมักแล้วปรุงด้วยเครื่องเทศแห้งก่อนที่จะนำไปวางบนเตาย่าง ขึ้นอยู่กับว่าคุณได้หมักเนื้อไปกับซอสอะไร หรือว่าเมื่อหมักเนื้อแล้ว ก็อาจต้องเลือกที่จะใช้เครื่องเทศที่รสชาติเข้มข้นกว่าหรือรสธรรมดาๆ การคลุกกับเครื่องเทศแห้งจะช่วยให้เกิดคราบคาราเมลที่สามารถเพิ่มรสชาติที่แตกต่างให้กับเนื้อหมูได้ คุณจะเลือกใช้เครื่องเทศแห้งที่ซื้อมาหรือทำเองก็ได้ ไม่ว่าจะใช้แบบไหน ให้ตักมาประมาณกำมือแล้วถูลงไปบนเนื้อหลังจากที่ทาน้ำมันมะกอกบนผิวเนื้อแล้ว เครื่องเทศจะได้ติดกับเนื้อได้ [2]
    • ปรุงด้วยเครื่องเทศธรรมดา : คลุกเนื้อสันในเข้ากับน้ำมันมะกอกประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นให้ใช้เกลือโคเชอร์และพริกไทยดำสดโรยบนผิวของเนื้อ
    • ปรุงด้วยเครื่องเทศแบบแห้ง : คลุกน้ำมันมะกอกกับเนื้อสันใดประมาณหนึ่งถึงสองช้อนโต๊ะ กับออริกาโน่, ผงยี่หร่า, กระเทียมป่น และโหระพาอีกอย่างละหนึ่งช้อนชา
    • ปรุงด้วยสมุนไพรสด : คลุกเนื้อสันในเข้ากับน้ำมันมะกอกประมาณหนึ่งหรือสองช้อนโต๊ะ จากนั้นคั่วเมล็ดเทียนข้าวเปลือก (พืชจำพวกยี่หร่า), เมล็ดมัสตาร์ด และลูกผักชีอย่างละหนึ่งช้อนโต๊ะให้แห้ง เมื่อสมุนไพรเหล่านี้มีกลิ่นหอมออกมาแล้ว ให้นำออกจากกระทะแล้วตำด้วยครกและสาด หรือบดขยี้ด้วยด้านที่แบนของมีดทำครัว ผสมเข้ากับพริกแดงป่นหนึ่งช้อนชา โรสแมรี่สับสดๆ สองช้อนชา และเกลือกับพริกไทยเพื่อเพิ่มรสชาติ จากนั้นให้นำไปนวดกับเนื้อหมู
  6. เริ่มวอร์มเตาย่างเป็นเวลา 20 หรือ 30 นาทีก่อนจะย่างเนื้อสันใน. เมื่อเตรียมเนื้อพร้อมย่างแล้ว ก็ควรใช้เตาย่างประมาณชั่วโมงหนึ่งก่อนที่จะเริ่มทำการรับประทานมัน โดยต้องวอร์มก่อนประมาณ 20 หรือ 30 นาทีเพื่อเตรียมอุณหภูมิให้เหมาะสม (การใช้เตาแก๊สจะใช้เวลาเร็วกว่า) และใช้เวลาย่างเนื้อทั้งหมดอีกประมาณ 20 นาที จากนั้นก็พักเนื้อไว้บนเตาต่ออีก 10 นาที ให้เริ่มใช้เวลาทำสักชั่วโมงหนึ่งก่อนที่คุณจะเริ่มหิว เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรีบทำมากนัก
    • สำหรับการย่างบนเตาแก๊ส คุณจะวอร์มเตาเอาไว้ไม่กี่นาทีก่อนจะขึ้นเนื้อย่างบนเตาก็ได้ โดยที่ต้องเว้นบางจุดในเตาย่างให้เป็นบริเวณที่เย็นกว่าบริเวณอื่น และให้บริเวณที่ร้อนอยู่อีกด้านหนึ่ง จะได้สามารถเคลื่อนย้ายเนื้อไปบริเวณไหนก็ได้ และใช้เวลาช้ากว่าด้วยความร้อนที่จะให้มาทางอ้อม
    • สำหรับการย่างบนเตาถ่าน สุมถ่านไว้ด้านหนึ่งของเตา แล้วจุดไฟให้ถ่านไหม้และคุไฟออกมาก่อนที่จะวางเนื้อลงไปย่าง ด้วยวิธีนี้คุณจะได้สามารถย่างผิวด้านหนึ่งให้ค่อนข้างสุกกว่าเหนือถ่าน และย้ายไปยังอีกด้านของเตาเพื่อย่างต่อให้เสร็จสิ้น
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

การย่างเนื้อสันในทั้งชิ้น

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. วางชิ้นเนื้อสันในหมูลงไปบนด้านที่ร้อนที่สุดในเตาก่อน จากนั้นให้ปิดฝาแล้วทิ้งไว้ให้ย่างประมาณ 2 นาทีจากความร้อนโดยตรง ปล่อยมันไว้อย่างนั้น หลังจากเวลาผ่านไปแล้ว ให้กลับเนื้อ 90 องศา เพื่อย่างเนื้อด้านต่อไป คุณอาจต้องทำแบบนี้ประมาณ 4 ครั้ง หรือน้อยกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปร่างของชิ้นเนื้อสันในที่คุณเตรียมมา เมื่อขอบนอกของเนื้อกลายเป็นสีน้ำตาลสวยแล้ว ก็สามารถนำไปวางบนเตาย่างในส่วนที่เย็นกว่าแล้วทิ้งไว้ต่อที่อุณหูมิค่อนข้างต่ำกว่าเล็กน้อย
  2. สำหรับบนเตาถ่านย่างนั้น ให้ย้ายเนื้อไปวางไว้บริเวณที่ไม่ได้สุมถ่านเอาไว้ คือต้องวางเนื้อไว้ยังตำแหน่งที่ไม่ได้สัมผัสกับความร้อนโดยตรง สำหรับเตาไฟฟ้า ให้วางเนื้อไว้ถัดจากตะแกรงอุ่น ปิดฝาเพื่อให้ความร้อนวนอยู่ในเตา โดยเปิดช่องระบายบนเตาออกสักครึ่งหนึ่ง ถ้าหากว่าเตาของคุณมีมัน [3]
    • ผู้ที่ย่างเนื้อด้วยเตาส่วนใหญ่มักจะกังวลเกี่ยวกับการปิดฝา และคิดไปต่างๆ นานาว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นหากปิดมันเอาไว้ตลอดเวลาในการย่าง ขอให้เลิกคิดมากซะ การย่างด้วยอุณหภูมิสูงมากขณะที่เปิดฝาเตาอยู่จะทำให้เนื้อออกมาไม่มีประสิทธิภาพและสุกไม่เท่ากัน และจะทำให้เนื้อแห้งและไหม้ได้ง่ายอีกด้วย ให้ใช้เตาย่างด้วยวิธีที่ควรจะใช้มัน: ปิดฝา จับเวลาเอาไว้ แล้วค่อยกลับมาดูขณะที่กำลังย่างเนื้ออยู่ก็พอ
  3. เมื่อทำการย่างผ่านไประยะหนึ่ง คุณจะเปิดเตาย่างสักครั้งสองครั้งเพื่อกลับด้านของเนื้อหมู และดูว่ามันยังไม่แห้งมากนัก คอยจับตาดูถ่านที่ใช้ย่างเพื่อให้แน่ใจว่ายังคงร้อนอยู่ และอุณหภูมิในเตาย่างยังค่อนข้างคงที่ แต่อย่าไปเปิดดูมันบ่อยเกินไปก็พอ ปล่อยให้เนื้ออยู่ในเตาย่างต่อไป พอครบ 20 นาทีแล้ว เนื้อก็ควรจะใกล้สุกได้แล้ว
    • หากคุณใช้เทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดอุณหภูมิเนื้อ อุณหภูมิภายในเนื้อควรอยู่ประมาณ 68 องศาเซลเซียส [4]
  4. นำเนื้อสันในออกมาจากเตาย่าง แล้วปล่อยพักเอาไว้ประมาณ 15 นาที. วางเนื้อไว้บนเขียงหรือจานยาว แล้วนำแผ่นฟอยล์มาหุ้มเอาไว้ เพื่อพักเนื้อก่อนที่จะหั่นมันออก เนื้อจะฉ่ำน้ำและมีความนุ่มมากขึ้นหากว่าคุณพักมันไว้ประมาณสองสามนาที อย่ารีบหั่นมันก่อนซะล่ะ!
    • เราไม่ได้พักเนื้อเพราะว่ามันร้อนเกินกว่าที่จะกินได้ แต่พักเพื่อให้มันมีรสชาติที่ดีขึ้นต่างหากล่ะ เนื้อควรได้รับการพักเพื่อให้ส่วนด้านนอกของเนื้อค่อยๆ เย็นตัวลง ซึ่งน้ำในเนื้อจะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในชิ้นเนื้อ ทำให้เนื้อมีรสชาติที่ล้ำลึกยิ่งขึ้นนั่นเอง หากว่าคุณหั่นเนื้อก่อนที่จะพักมัน น้ำในเนื้อก็จะไหลลงจานหมด แล้วก็จะสูญเสียรสชาติหลักๆ ของเนื้อไปมากเลยทีเดียว [5]
  5. และรีบเสิร์ฟทันที. หลังจากที่พักเนื้อเรียบร้อยแล้ว ให้หั่นเนื้อสันในหมูในส่วนที่หนา หนาแทบเป็นนิ้ว จากนั้นก็ให้จัดจานเสิร์ฟได้ทันที โดยที่เนื้อสันในหมูเหมาะกับการกินคู่กับ:
    • ถั่วแขกย่าง
    • มันฝรั่งอบ
    • ข้าวโพดหวานย่าง
    • ซอสแอปเปิลทำเอง
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

การย่างสเต็กเนื้อสันในหมู

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. หั่นเนื้อสันในหมูให้ได้เป็นชิ้นสเต็กหนาประมาณนิ้วครึ่งขณะที่เนื้อยังเย็นอยู่. หากคุณต้องการที่จะย่างเนื้อส่วนที่ต่างกันเพื่อรสชาติที่แตกต่าง อยากย่างเนื้อสันในเพื่อมาทำเบอร์เกอร์ หรือแค่อยากลองปรุงรสให้ต่างกันสักเล็กน้อย คุณสามารถนำเนื้อสันในหมูออกมาจากน้ำที่หมักไว้แล้วหั่นเป็นชิ้นก่อนที่จะนำไปย่าง โดยหั่นให้หนาประมาณชิ้นละ ¾ นิ้ว
    • ใช้ค้อนทุบเนื้อทุบเนื้อสเต็กแบนลงประมาณครึ่งนิ้ว วางเนื้อสเต็กไว้ใต้ผ้าสะอาด จากนั้นให้ใช้ค้อนทุบเนื้อทุบจนเนื้อแบน ในภูมิภาคมิดเวสต์ของประเทศสหรัฐอเมริกา จะทุบเนื้อจนมีขนาดใหญ่แทบจะเท่าจาน แล้วใส่เนื้อไปในขนมปัง จะได้แฮมเบอร์เกอร์ที่ดูคล้ายกับดาวเสาร์เลยล่ะ ถือว่าเป็นอะไรที่พอดีอย่างที่มีความดั้งเดิม
    • การหั่นเนื้อสเต็กและทุบมันควรทำหลังจากที่หมักเนื้อเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่คุณจะนำมันไปย่างนั่นแหละ อย่าพยายามที่จะหมักเนื้อสันในที่ถูกทุบแล้วเลย
  2. ก่อนที่จะนำเนื้อไปย่าง ให้โรยเครื่องปรุงที่ต้องการลงทั้งสองด้านของเนื้อสเต็ก หรือแค่ใช้น้ำมันมะกอกทาลงไป ตามด้วยเกลือ และพริกไทยเพื่อทำแฮมเบอร์เกอร์เนื้อสันในหมูที่สมบูรณ์แบบและเรียบง่ายก็ได้เช่นกัน
  3. รสชาติส่วนมากจะออกมาจากการย่างเนื้อ และการทำมีขีดเป็นสัญลักษณ์ที่ผิวด้านนอกของสเต็ก จากนั้นให้ย้ายสเต็กออกจากส่วนที่ให้ความร้อนโดยตรงในเตาและปิดฝาเตาย่างเพื่อปล่อยให้มันย่างต่อไปอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เพื่อย่างเนื้อให้เสร็จสมบูรณ์
    • ย่างประมาณ 4 ถึง 6 นาทีในแต่ละด้านของเนื้อ. หากต้องการวัดอุณหภูมิของเนื้อ อุณหภูมิควรอยู่ในช่วง 68 องศาเซลเซียส ถึงจะถึงเวลาที่จะนำเนื้อสเต็กออกมาจากเตาได้
  4. เสิร์ฟเนื้อย่างบนขนมปังให้เป็นรูปแบบของแฮมเบอร์เกอร์. หลังจากที่พักเนื้อไว้ประมาณ 10-15 นาทีแล้ว ให้เสิร์ฟเป็นแฮมเบอร์เกอร์เนื้อสันในวางบนฟอยล์ และมีแตงกวาดอง มัสตาร์ดสีน้ำตาล และหัวหอมใหญ่สดๆ เป็นเครื่องเคียง จากนั้นก็รับประทานได้เลย
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

การย่างเนื้อสันในหมูยัดไส้

PDF download ดาวน์โหลดบทความ
  1. ใช้มีดคมๆ ผ่าเนื้อหมูตามแนวยาว ให้ลึกประมาณ ¾ ของเนื้อ จากนั้นแผ่รอยผ่าออกแล้วทำให้เนื้อแบนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
    • หากคุณต้องการ จะใช้ค้อนทุบเนื้อหมูเบาๆ เพื่อเปิดให้เนื้อหมูสามารถรองรับวัตถุดิบได้ทั้งหมดก็ได้ ซึ่งมันค่อนข้างจำเป็น ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำไส้ไว้มากเท่าไร อย่างไรคุณก็ต้องมาผูกมันทีหลัง ฉะนั้นทำให้มันแผ่ออกมาแบนๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลเลย
  2. ยัดไส้เนื้อสันในหมูด้วยส่วนผสมของขนมปังแห้ง ชีส เบคอน และผักต่างๆ จะช่วยให้มีรสชาติขึ้นมาก หากคุณต้องการให้เนื้อสันในมีเนื้อสัมผัสสักหน่อยก็ควรที่จะยัดไส้มันซะ คุณสามารถลองใช้วัตถุดิบที่ชอบ หรือดูตามมาตรฐานที่ได้รับการทดลองมาแล้วดังต่อไปนี้ก็ได้เช่นกัน
    • ไส้เบคอนเห็ด : ทอดเบคอน 3-4 แผ่นในกระทะ จากนั้นให้เติมเห็ดแชมปิญองสีขาวลงไปสองถ้วย ตามด้วยเกลือหยิบนิ้วหนึ่ง รอให้เห็ดคลายตัวออกจากกันประมาณหนึ่งนาที จากนั้นคนและปรุงจนส่วนผสมนุ่ม ตามด้วยกระเทียมสับละเอียด 2 กลีบ แล้วคนให้นุ่มอีก ใส่เกล็ดขนมปังแห้งลงไป 2-3 ช้อนโต๊ะ และผักชีฝรั่งสดๆ หั่นแล้วกำมือหนึ่งเพื่อทำส่วนผสมของไส้ให้สมบูรณ์
    • ไส้ผักโขมอิตาลี : ใส่ใบผักโขมอ่อนลงไปในเครื่องผสมอาหารหนึ่งถ้วย ตามด้วยกะเพราสดหนึ่งถ้วย กระเทียมสองกลีบ และชีสพาเมซานขูดฝอย 2-4 ช้อนโต๊ะ ใส่พริกป่นลงไปหนึ่งหยิบนิ้ว เครื่องเทศอิตาลี และโปรยน้ำส้มสายชูบัลซามิกลงไปอีกนิดหน่อยเพื่อการทำไส้ที่เสร็จสมบูรณ์
    • เนื้อสันในยัดไส้พันด้วยเบคอน : ผสมหัวหอมสับจำนวนเล็กน้อยเข้ากับผักคึ่นช่าย 1-2 ต้นในชาม ขนมปังแห้ง 1-2 แผ่น ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ เนยละลายแล้ว 3 ช้อนโต๊ะ และเกลือ พริกไทย อเมริกาโน่ ให้ใส่ส่วนผสมเหล่านี้เป็นไส้ของเนื้อสันใน จากนั้นห่อและรวบทั้งหมดนี้ด้วยเบคอน 6-8 แผ่น ตามแนวกว้างของเนื้อสันใน ผูกเอาไว้และย่างตามปกติ มันจะอร่อยมากขึ้นไปอีกสองเท่าเลยล่ะ
  3. หลังจากที่แผ่เนื้อจนแบนแล้ว คุณก็สามารถกระจายไส้ใดๆ ก็ตามที่คุณผสมไว้ ใส่ลงไปในเนื้อหมูให้เป็นชั้นเท่าๆ กัน จากนั้นก็ม้วนและมัดเนื้อเอาไว้ ขึ้นอยู่กับความแบนของเนื้อและความหนาของไส้ที่ยัดเข้าไว้ข้างใน
    • หากคุณต้องการม้วนเนื้อสันใน ให้แผ่ไส้ที่จะยัดในเนื้อไว้ให้เป็นชั้นบางๆ ไม่หนากว่า ¼ นิ้วหรือประมาณนั้น แล้วเริ่มม้วนจากด้านที่แบนและยาว เก็บไส้เอาไว้ข้างใน ซึ่งมันจะกลายเป็นม้วนขดก้นหอย หลังจากที่ม้วนเรียบร้อย ก็ให้ผูกเอาไว้เพื่อให้มันติดกัน
    • หากคุณต้องการให้มีพื้นที่ของเนื้อสันในมากขึ้น ก็ไม่ต้องไปทุบมันในตอนแรก แล้วยัดไส้ไว้ในรอยผ่าตามใจชอบ จากนั้นใช้พลาสติกแรปหุ้มเอาไว้ตามรูปร่างของมัน จากนั้นก็ผูกไว้ด้วยเชือกเกลียวก่อนที่จะเริ่มทำการย่าง
  4. ใช้เชือกเกลียวสำหรับทำอาหารผูกตามแนวกว้างของเนื้อเพื่อปิดรอยผ่า ไม่จำเป็นต้องตกแต่งให้มันสวยงาม เพียงแค่ใช้เชือกเส้นสั้นๆ ผูกเอาไว้อย่างน้อย 3 รอบรอบๆ ชิ้นเนื้อ เส้นหนึ่งผูกตรงกลาง และอีกสองเส้นผูกตรงปลายทั้งสองด้าน
    • ถ้าคุณไม่มีเชือกสำหรับทำอาหาร จะใช้ไม้เสียบเคบับเสียบ 2 ด้านของเนื้อเข้าด้วยกันก็ได้ โดยเสียบให้ลึกให้แน่น หลังจากที่เนื้อสุกดีแล้ว ให้ถอดไม้เสียบออกแล้วหั่นตามปกติ
  5. ทำตามคำแนะนำในการย่างเนื้อสันในปกติ คือการย่างให้ทุกด้านเป็นสีน้ำตาล จากนั้นนำไปย่างต่อในส่วนที่เย็นกว่าต่ออีก 20 นาที หากไส้ที่ยัดเอาไว้นั้นค่อนข้างยุ่งยากไร้ระเบียบเป็นพิเศษ คุณอาจต้องนำเนื้อสันในไปวางไว้บนฟอยล์หลังจากที่ย้ายไปไว้ในส่วนที่เย็นกว่าของเตาย่าง เพื่อรองไส้ที่ไหลออกมานั่นเอง
    • ระวังให้ดีเวลาที่วัดอุณหภูมิของเนื้อ เพื่อที่จะไม่ได้เสียบหัวอ่านไปยังไส้ในและจะเกิดการวัดค่าที่ไม่แม่นยำ อุณหภูมิภายในของเนื้อ ไม่ใช่ไส้ใน ควรอยู่ที่ประมาณ 68 องศาเซลเซียส ตามที่เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิเนื้อบอกไว้
  6. อย่าแกะเชือกออกในทันที ไม่อย่างนั้นเนื้ออาจค่อยๆ คลายม้วนแล้วแยกส่วนออกจากกันได้ ปล่อยให้เนื้อสันในได้พักตามธรรมชาติ แล้วมันจะเป็นรูปร่างตามที่มัดเอาไว้ หลังจากผ่านไป 10 หรือ 15 นาที ให้แกะเชือกออกแล้วหั่นเนื้อให้หนาสักนิ้วหนึ่ง หลังจากนั้นก็เสิร์ฟได้เลย
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ลองใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการทำสูตรเครื่องปรุงเพื่อคลุกให้กับเนื้อสันในหมูด้วยตนเอง กระเทียม โรสแมรี่ เกลือ พริกไทย และน้ำมันมะกอก ต่างเป็นรสชาติที่เข้ากับเนื้อหมูได้อย่างดีเชียวล่ะ
  • การหมักถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญในการให้คุณแน่ใจว่าเนื้อหมูจะยังคงความชุ่มฉ่ำเอาไว้ได้ คุณจะหมักด้วยทุกอย่างที่ให้รสหวานเพื่อความมันเงาของเนื้อก็ได้ ซอสบาร์บีคิว ผลไม้ดอง หรือน้ำผึ้งก็ต่างเหมาะที่จะทำความมันวาวให้กับเนื้อสันในหมูเมื่อใช้ในการย่าง แค่นำมันมาทาลงบนเนื้อหมูหลังจากที่ย่างมันแล้ว แต่ต้องก่อนที่มันจะสุกดีนะ
โฆษณา

สิ่งของที่ใช้

  • เนื้อสันในหมู 453 กรัม (16 ออนซ์)
  • น้ำหรือซอสหมัก
  • แรปพลาสติก
  • เตาแก๊สหรือเตาถ่านสำหรับย่าง
  • เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิเนื้อ


เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 30,458 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา