ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

มีพยาธิหลายชนิดด้วยกันที่อยู่ในตัวของสุนัข โดยส่วนมากจะพบพยาธิตัวกลม พยาธิตัวตืด พยาธิหนอนหัวใจ พยาธิปากขอ และพยาธิแส้ม้า ขณะที่พยาธิแต่ละชนิดก็มีวงจรชีวิตที่ค่อนข้างแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย โรคของสุนัขก็จะสอดคล้องกับชนิดของพยาธิที่เข้ามาอยู่ในตัวของมันเช่นกัน แต่การหาประเภทของพยาธิด้วยการดูโรคอย่างเดียวนั้นมันเป็นไปไม่ได้ อาจจำเป็นต้องมีการทดสอบ [1] อย่างไรก็ตาม การที่ได้รู้โรคหลักๆ ความเสี่ยง และลักษณะเฉพาะตัวของพยาธิแต่ละชนิด ก็จะสามารถช่วยให้คุณดูแลเพื่อนสุนัขของคุณได้

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 3:

การระบุการติดเชื้อพยาธิ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อาการหลายอย่างที่เกิดขึ้นจากพยาธิมักดูธรรมดาและจำแนกออกมายาก ฉะนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกถึงชนิดของพยาธิในสุนัขจากอาการเพียงอาการเดียว อย่างไรก็ตาม สัญญาณในสุนัขที่ไม่ได้ติดเชื้อพยาธิในระยะที่ผ่านมา ควรที่จะเพิ่มความสงสัยในการติดพยาธิ และเริ่มตรวจสอบประเภทของเชื้อพยาธิที่กำลังติดอยู่ในปัจจุบัน
  2. บางครั้ง แม้ในสุนัขที่ไม่มีอาการใดๆ คุณอาจเห็นพยาธิออกมาเป็นตัวๆ ในมูลของสุนัขของคุณก็เป็นได้ ถ้าคุณยังไม่มั่นใจว่าพยาธิตัวนี้เป็นชนิดใด ให้เก็บมันไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดเป็นเกลียว แล้วนำไปให้สัตวแพทย์ช่วยระบุชนิดของมันให้ได้
    • การจับพยาธิไว้จะช่วยได้ดีกว่าแค่อธิบายลักษณะของมันให้สัตวแพทย์ฟังมาก เพราะพยาธิส่วนใหญ่จะมีหน้าตาคล้ายกันถ้าหากมองด้วยตาเปล่า
  3. แม้ว่าวงจรชีวิตจะมีความแตกต่างกัน แต่พยาธิพวกนั้นก็มีจุดหมายปลายทางที่ต้องผ่านในไส้ในพุงกันทั้งสิ้น ถ้าพยาธิมีจำนวนน้อย สุนัขก็จะไม่แสดงอาการอะไรออกมา อย่างไรก็ตาม เมื่อมีจำนวนการบุกรุกที่มากขึ้นในลำไส้ มันอาจไปทำให้เกิดการระคายเคืองในเครื่องใน ที่จะทำให้เกิดโรคอย่างอาการป่วย ท้องเสีย (บางครั้งก็อาจถ่ายเป็นเมือก และ/หรือมีเลือดติดมาด้วย) เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด [2]
  4. พยาธินั้นทั้งอาศัยอยู่และเดินทางผ่านอวัยวะภายใน ฉะนั้น แน่นอนว่าวงจรชีวิตของมันที่เป็นหลักฐานของการติดเชื้อพยาธิจะถูกส่งออกมาภายในมูลของสุนัข ในกรณีที่เกิดการติดเชื้ออย่างหนัก คุณอาจเห็นพยาธิในมูลเลย แต่จะไม่ค่อยเห็นถ้าการติดเชื้อไม่หนักเท่าไร หรือแทนที่จะเป็นอย่างนั้น ไข่หรือตัวอ่อนอาจออกมากับมูลสุนัขแทน ซึ่งยากที่จะสังเกตด้วยตาเปล่า [3]
    • ตักตัวอย่างของมูลด้วยไม้ไอศกรีมหรือช้อนที่ใช้แล้วทิ้ง จากนั้นนำใส่ภาชนะสะอาดที่ปิดฝาเกลียวได้ ซึ่งมีฝาที่พอดีและแน่นพอ (สัตวแพทย์อาจให้ภาชนะเฉพาะทางมา ถ้าหากว่าคุณไม่มีภาชนะที่เหมาะสม)
    • เก็บตัวอย่างเอาไว้ในอุณหภูมิต่ำกว่า 30 องศาเซลเซียส และนำไปให้คลินิกรักษาสัตว์ที่คุณสามารถไปได้ (ตัวอย่างมูลไม่จำเป็นต้องสดในการจำแนกชนิดของพยาธิ)
    • ถ้าสัตวแพทย์ขอตัวอย่างเป็นจำนวนมาก ให้เก็บตัวอย่างจากมูลสุนัขทุกวันอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 3 วัน แล้วเก็บเอาไว้ในภาชนะชนิดเดียวกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นถ้าหากสงสัยถึงผลลัพธ์ เนื่องจากบางครั้งแม้จะมีพยาธิอยู่จริง แต่การตรวจครั้งแรกอาจกลับให้ผลเป็นลบ (False Negative) ตัวอย่างจำนวนมากจะลดความเสี่ยงถึงผลลัพธ์ที่ไม่สมเหตุสมผลได้
    • สัตวแพทย์อาจวิเคราะห์มูลของสุนัข ซึ่งรวมถึงการขยายดูส่วนของมูลด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาไข่หรือตัวอ่อนของพยาธิ หรืออาจส่งไปยังแล็บเพื่อการประเมินก็เป็นได้
  5. ขอให้สัตวแพทย์ที่ดูแลสุนัขของคุณทำการตรวจด้วยเลือด. พยาธิบางชนิดอาจเป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยที่ไม่ใช่เบาๆ อย่างพยาธิหอยโข่ง หรือพยาธิหนอนหัวใจ ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้โดยการตรวจเลือด สัตวแพทย์จะใช้เลือดปริมารณเล็กน้อย (1-2 มิลลิลิตร) ในการนำไปใช้เป็นตัวอย่างในการตรวจสอบ [4]
    • การตรวจสอบหลายๆ แบบก็มักได้ผล แต่การทดสอบด้วยเทคนิค ELISA (ตรวจหาแอนติบอดีจำเพาะ) จะได้รับความนิยมมากที่สุด การตรวจนี้จะหาการมีอยู่ของแอนติบอดีของพยาธิหนอนหัวใจ และจะเปลี่ยนสีหากว่าผลเป็นบวก
    • สัตวแพทย์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่เกิดการติดเชื้อจากพยาธิหนอนหัวใจ จำเป็นที่จะต้องตรวจโรคให้สุนัขประจำปี เหมือนกับการตรวจกายภาพของสุนัขก่อนที่จะต่ออายุหรือสั่งยารายเดือนในการรักษา
  6. พยาธิบางชนิด เช่น พยาธิตัวกลม สามารถติดจากสุนัขสู่มนุษย์ได้ เด็กเล็กที่ติดเชื้อพยาธิตัวกลม อาจเกิดความเสียหายกับการมองเห็นได้
    • พยาธิหรือมูลที่ติดเชื้อพยาธิ ควรถูกกำจัดออกจากบริเวณที่เด็กชอบเล่น
    • มูลที่ติดเชื้อพยาธิต้องถูกเก็บด้วยถุงมือ
    • ล้างมือทุกครั้งด้วยสบู่และน้ำ หลังจากที่แตะต้องมูลสัตว์
  7. เพราะพยาธิอาจดูคล้ายกันมาก วิธีหนึ่งที่ดีในการช่วยจำแนกประเภทของพยาธิที่ทำให้สุนัขของคุณเป็นโรคนั้น คือการเข้าใจปัจจัยตามธรรมชาติหรือสถานการณ์ว่าส่วนใหญ่แล้วปัจจัยเหล่านั้นจะชี้ให้เห็นว่าเป็นพยาธิชนิดใด [5]
    • พยาธิตัวกลมมักจะติดสู่ลูกสุนัขด้วยเชื้อพยาธิตัวกลมจากแม่สุนัข เพราะไข่และตัวอ่อนจะผ่านจากรกแล้วติดเชื้อในลูกสุนัขในครรภ์ และไข่ของมันก็จะถูกขับออกมาผ่านน้ำนมของแม่อีกเช่นกัน ซึ่งลูกสุนัขอาจติดเชื้อพยาธิเป็นประจำอยู่แล้ว
    • พยาธิตัวตืดอาจมาจากที่สุนัขกินสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่ติดเชื้อพยาธิตัวตืดอยู่แล้ว หรืออาจติดจากหมัดที่มีไข่พยาธิตัวตืดติดมาด้วย ฉะนั้น สุนัขนักล่าหรือสุนัขที่มีหมัดติดอยู่ ก็อาจมีพยาธิตัวตืดอยู่ด้วย
    • พยาธิปากขอ และพยาธิแส้ม้าจะเจริญเติบโตในดินชื้นๆ และสุนัขก็มักจะเสี่ยงจากการที่มันไปคลุกคลีกับหญ้า โดยเฉพาะในสภาพที่อุ่นๆ ชื้นๆ การติดเชื้อพยาธิเหล่านี้มักเกิดขึ้นในสุนัขเลี้ยงที่มักจะได้ออกไปเล่นกับดินกับหญ้า
    • พยาธิหนอนหัวใจ จะแพร่กระจายตามแมลง อย่างเช่นยุง และพื้นที่ที่แมลงอยู่มาก พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงก็ได้แก่ อเมริกาตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลางจนไปถึงตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก
    • พยาธิหอยโข่ง (พยาธิในปอด) มักจะเป็นที่แพร่หลายผ่านทางมูลของสุนัขจิ้งจอก ทาก และหอยทาก หากได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ ก็ถือว่าเสี่ยงในการติดเชื้อพยาธิแล้ว
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 3:

การจำแนกชนิดของพยาธิ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับอาการหรือปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับสุนัขของคุณ. บางครั้งทางที่ดีที่สุดในการบอกถึงชนิดของพยาธิ คือการบันทึกข้อมูลปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้น ให้จดถึงสภาพแวดล้อม ภูมิอากาศ และนิสัยของสุนัข โดยให้แน่ใจว่าได้บันทึกข้อมูลถึงความรุนแรงและช่วงเวลาของโรคและให้ข้อมูลกับสัตวแพทย์ของคุณ ถ้าหากว่าสงสัยว่าเกิดอาการติดเชื้อใดๆ
  2. ถ้าพยาธิหรือส่วนของพยาธิถูกพบได้ในมูลหรืออาเจียนของสุนัข ก็อาจสามารถแยกชนิดของมันได้ ขณะที่พยาธิหลายๆ ชนิดมีหน้าตาที่เหมือนกัน แต่มันก็มีลักษณะเด่นที่อาจทำให้คุณชี้ถึงประเภทของมันได้ [6]
    • พยาธิตัวกลมจะดูคล้ายกับเส้นสปาเกตตี้สุก มักจะยาวประมาณ 8-10 ซม. แต่ก็สามารถยาวได้ถึง 18 ซม.เลยทีเดียว มันจะดูตัวกลมๆ และลื่นๆ เรียบๆ
    • พยาธิตัวตืดจะมีจุดเด่นที่ร่างกายแบนๆ แยกเป็นส่วนๆ ความยาวจะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ แต่จะอยู่ที่ประมาณ 50 ซม. (19.7 นิ้ว) ถึง 250 ซม. ถ้าหากว่าคุณพบพยาธิตัวตืดในมูลหรืออาเจียน เหมือนว่ามันจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของตัวมัน ไม่ใช่ทั้งตัว
    • พยาธิปากขอและพยาธิแส้ม้าจะมีขนาดตัวที่เล็กกว่าพยาธิตัวกลมหรือพยาธิตัวตืดมาก มันมักจะมีความยาวประมาณ 0.5-2 ซม. และตัวบางมากๆ เหมือนเส้นผมหรือเส้นด้าย ความที่มันตัวเล็ก อาจทำให้มันโปร่งแสง และมองหายากถ้าหากว่าไม่ได้ขยายดูดีๆ
  3. พยาธิหอยโข่งและพยาธิหนอนหัวใจจะเข้าไปอยู่ในเส้นเลือด รวมถึงหัวใจหรือปอดด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไอ หายใจหอบ หายใจเร็ว เหนื่อยง่าย หรือแม้กระทั่งหน้ามืดเป็นลม และเสียชีวิตได้เลย [7]
    • พยาธิหอยโข่งและพยาธิหนอนหัวใจ สามารถเข้าไปแทรกแซงในลิ่มเลือด และทำให้สุนัขบางตัวเกิดอาการที่ส่งเตือน อย่างการที่เลือดไม่หยุดไหลแม้จะมีบาดแผลเพียงเล็กน้อย
    • เมื่อเกิดสัญญาณเหล่านี้ ควรเตรียมตัวและรีบนำส่งสัตวแพทย์อย่างรวดเร็ว การรักษาอาจต้องใช้เงินมากหน่อย แต่การรักษาที่รวดเร็วก็จะยิ่งทำให้ผลออกมาดี
  4. สัญญาณที่ชี้ชัดว่ามีการติดเชื้อของพยาธิตัวตืดอยู่ คือไข่ของพยาธิที่เป็นแผงติดอยู่ที่ขนใกล้ๆ รูทวารของสุนัข มันจะเกิดขึ้นได้เมื่อพยาธิตัวตืดที่โตเต็มวัยวางไข่ไว้ในช่องลำไส้ หลังจากนั้นไข่ก็จะดิ้นออกจากรูทวารของสุนัข ที่จะทำให้มันคันบริเวณรอบๆ รูทวารได้ [8]
    • แผงไข่เหล่านี้จะดูคล้ายกับเมล็ดงาหรือข้าวเมล็ดเล็กๆ ที่จะติดอยู่ที่ขนบริเวณใกล้ๆ กับบั้นท้ายของสุนัข
    • ถ้าหากว่าสังเกตดีๆ ก็อาจเห็นวัตถุที่คล้ายๆ เมล็ดพืชสีครีมๆ เล็กๆ กำลังดิ้นไปมาอยู่ก็เป็นได้
  5. เพราะพยาธิ โดยเฉพาะพยาธิตัวตืด จะดูดซึมสารอาหารจากอาหารสุนัข และทำให้สุนัขได้รับสารอาหารน้อยลง สุนัขที่ติดเชื้อพยาธิอาจมีไขมันที่หุ้มกระดูกน้อย แต่กลับลงพุง เนื่องจากมีพยาธิที่ลำไส้มากเกินไป ลักษณะที่เห็นในลูกสุนัขที่มีพยาธิทั่วไปก็คือ เห็นกระดูกและซี่โครงชัด แต่มีพุง และขนมีสีหม่น
  6. ทางที่ดีที่สุดในการจำแนกประเภทของพยาธิ คือการให้ผู้เชี่ยวชาญจำแนกให้ สัตวแพทย์สามารถขยายพยาธิหรือไข่ของมันด้วยกล้องจุลทรรศน์ และมีประสบการณ์ในการจำแนกความแตกต่างระหว่างพยาธิแต่ละชนิดได้ในเวลาไม่ถึงนาที [9]
    • ไข่ของพยาธินั้นมีความแตกต่างที่มองออกยาก อย่างเช่นไข่ที่มีลักษณะรีแทนที่จะกลม หรือมีจุกอยู่ที่ด้านใดด้านหนึ่ง หรือทั้งสองด้านของไข่
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 3:

การป้องกันและวิธีรักษาการติดเชื้อจากพยาธิ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. การติดเชื้อจากพยาธิมีแนวโน้มที่จะแย่ลงถ้าหากว่าปล่อยไว้ไม่ยอมพาไปรักษา การติดเชื้อที่มีพยาธิโตเต็มวัยจำนวนมาก อย่างที่รู้กันว่าเป็นการติดเชื้อที่“สาหัส” นั้น จะส่งผลตรงข้ามกับการที่สุนัขมีสุขภาพที่ดีทั้งหมด ฉะนั้นการระบุชนิดของพยาธิก่อนที่การติดเชื้อจะเข้าขั้น“สาหัส” ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด
    • การติดเชื้อพยาธิในสุนัขอาจเป็นสาเหตุที่ของอาการป่วยทางระบบทางเดินอาหาร อย่างอาการท้องเสียได้
    • การติดเชื้อพยาธิบางชนิดอาจส่งผลให้สุนัขเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะพยาธิหนอนหัวใจหรือพยาธิหอยโข่ง
  2. จัดการป้องกันพยาธิหนอนหัวใจเป็นประจำทุกเดือน. โดยเฉพาะถ้าหากว่าคุณอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยง มียุงมาก คุณควรพาสุนัขไปทำการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจ การป้องกันพยาธิหนอนหัวใจจำเป็นจะต้องสั่งยาโดยแพทย์
    • สัตวแพทย์ส่วนใหญ่จะทดสอบการติดเชื้อพยาธิหนอนหัวใจเป็นลบ เพื่อที่จะเขียนใบสั่งยา
    • ยาที่ใช้การป้องกันการเกิดพยาธิหนอนหัวใจจะมีรสเนื้อ และสามารถเคี้ยวได้ ทำให้ง่ายต่อการกินยา
  3. เพราะพยาธิบางตัวอาจติดมากับหมัดได้ การกำจัดหมัดด้วยวิธีกำจัดหมัดแบบปกติ ก็จะช่วยให้สุนัขไม่ติดเชื้อพยาธิได้แล้ว
    • บางบริษัทก็ทำยาที่รักษาทั้งพยาธิหนอนหัวใจและหมัดออกมาเป็นยาที่สามารถเคี้ยวกินได้ใน 1 เม็ดเช่นกัน
    • และก็มีที่สามารถจัดการหมัดเฉพาะที่ทุกๆ เดือน โดยใช้บีบลงบนต้นคอของสุนัข คือหลังคอของมันนั่นเอง
  4. หลีกเลี่ยงไม่ให้สุนัขของคุณไปคลุกคลีกับสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง. ให้แน่ใจว่าสุนัขของคุณได้อยู่ห่างจากที่ที่ทำให้พยาธิเติบโตได้ดี เพื่อจะได้ไม่ต้องมาถ่ายพยาธิทีหลัง
    • ดูให้สุนัขของคุณอยู่ห่างจากบริเวณที่เต็มไปด้วยหญ้า ที่มีอากาศอุ่นๆ กับสุนัขตัวอื่นที่ยังไม่ถ่ายพยาธิ
    • อย่าปล่อยให้สุนัขของคุณไปยุ่งกับสัตว์ป่าหรือสัตว์เร่ร่อน
    • หลีกเลี่ยงภูมิอากาศที่อุ่นชื้น ซึ่งมีจำนวนของแมลงอย่างหมัดหรือยุงมากๆ
    • อย่าปล่อยให้สุนัขของคุณกินหรือถูตัวกับมูลของสุนัขตัวอื่นหรือสัตว์ป่า
  5. ถ้าสุนัขติดเชื้อพยาธิแล้ว คุณต้องถ่ายพยาธิให้มัน หลักเกณฑ์ความแม่นยำนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยความเสี่ยงของสัตว์เลี้ยงแต่ละตัว และวิธีที่ดีที่สุดคือการปรึกษากับสัตวแพทย์ [10]
    • ยาถ่ายพยาธิส่วนใหญ่จะเป็นผงเอาไว้ผสมกับอาหารของสุนัขหรืออาหารชนิดอื่นๆ อย่างโยเกิร์ตรสธรรมชาติ (โดยต้องปรึกษาสัตวแพทย์ก่อนที่จะให้อาหารสำหรับมนุษย์)
    • ยาถ่ายพยาธิส่วนใหญ่มักจะใช้แค่ครั้งเดียวจบ แต่ถ้าสัตวแพทย์สั่งยาในกลุ่ม Fenbendazole ก็ต้องให้มันหลายครั้งตามชุดยาเป็นเวลาหลายวัน ยากลุ่ม Fenbendazole นั้น เป็นยาถ่ายพยาธิที่มีความอ่อนโยนมาก ซึ่งเอาไว้ใช้กับลูกสุนัข
    • อ่านฉลากยาถ่ายพยาธิให้เข้าใจ แล้วปรึกษากับสัตวแพทย์ก่อนจะให้ยาสุนัขของคุณ
  6. การให้สุนัขได้ตรวจร่างกายกับสัตวแพทย์เป็นประจำ จะทำให้มันมีสุขภาพที่ดีเป็นปกติ สัตวแพทย์จะมีโอกาสในการตรวจปัญหาก่อนที่มันจะบานปลายและเกิดผลร้ายแรงกับสุนัขของคุณได้

เคล็ดลับ

  • เก็บมูลของสุนัขด้วย ถ้าหากว่าคุณพามันไปเดินเล่น
  • จำเป็นต้องควบคุมจำนวนหมัดทุกๆ ช่วงเวลาในหนึ่งปี
  • อย่าปล่อยให้สุนัขของคุณไปดมหรือกินมูลและดินฝุ่นอื่นๆ โดยมักเกิดขึ้นกับลูกสุนัข ซึ่งเป็นวิธีที่เหล่าปรสิตจะติดต่อเข้ามาได้อย่างแน่นอน

คำเตือน

  • พยาธิตัวกลมและพยาธิปากขอสามารถติดต่อจากสุนัขไปสู่มนุษย์ได้ ฉะนั้นควรระวังให้ดี และรู้วิธีการจัดการกับมูลของสุนัขอย่างเหมาะสม ให้พบแพทย์ถ้าหากว่าคุณคิดว่าตัวเองหรือใครสักคนในบ้านติดเชื้อพยาธิมา
  • พยาธิหนอนหัวใจจะทำให้สุนัขของคุณหัวใจวายได้ ถ้าหากว่าไม่หาแล้วรักษาให้ทันเวลา
  • ถ้าติดเชื้อพยาธิแล้วปล่อยไว้ไม่รักษานานเกินไป อาการติดเชื้ออาจเป็นสาเหตุของความตายได้
  • ถ้าสุนัขของคุณเกิดอาการเหนื่อยล้า หรือท้องเสียพร้อมอาเจียน ให้รีบนำไปพบแพทย์ทันที

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Prevalence of canine parasites based on fecal flotation. Iagburn, Lindsay, Vaughan et al. Comp Cont Ed Pract Vet 18, 483-509
  2. Veterinary Parasitology. Taylor, Coop, and Wall. Publisher: Wiley-Blackwell
  3. Prevalence of canine parasites based on fecal flotation. Iagburn, Lindsay, Vaughan et al. Comp Cont Ed Pract Vet 18, 483-509
  4. Veterinary Parasitology. Taylor, Coop, and Wall. Publisher: Wiley-Blackwell
  5. Diagnostic Parasitology. Conboy. Can. Vet J 37 (3), 181-182
  6. Veterinary Parasitology. Taylor, Coop, and Wall. Publisher: Wiley-Blackwell
  7. Veterinary Parasitology. Taylor, Coop, and Wall. Publisher: Wiley-Blackwell
  8. Diagnostic Parasitology. Conboy. Can. Vet J 37 (3), 181-182
  9. Prevalence of canine parasites based on fecal flotation. Iagburn, Lindsay, Vaughan et al. Comp Cont Ed Pract Vet 18, 483-509
  1. Veterinary Parasitology. Taylor, Coop, and Wall. Publisher: Wiley-Blackwell

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 38,379 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม