ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
ภาวะกรดเกิน มีชื่อเรียกหลายชื่อ ทั้งอาการแสบร้อนกลางอก โรคเกิร์ด และโรคกรดไหลย้อน ทั้งหมดนี้มีปัญหาเดียวกันและต่างกันตรงที่มีภาวะกรดเกินเป็นบางเวลา (เช่น หลังกินอาหารเยอะๆ) กับเป็นแบบเรื้อรังหรือระยะยาว ไม่ว่าจะใช้ชื่อใด มันก็เป็นปัญหาที่ชวนอึดอัด แต่สามารถรักษาได้ค่อนข้างง่าย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มกินยาสมุนไพร โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ขั้นตอน
-
หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นสาเหตุ. คุณอาจจะอยากหาว่าอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดที่ทำให้คุณมีปัญหา ลองจดรายการอาหารที่คุณกินและดูว่ารู้สึกอย่างไรหลังจากกินเสร็จไปหนึ่งชั่วโมง ถ้าสิ่งที่กินไปทำให้คุณมีอาการไม่ดีก็ควรเลิกกิน [1] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ของกินที่พบว่าทำให้เกิดภาวะกรดเกิน มีดังนี้
- ผลไม้รสเปรี้ยว
- เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- ช็อกโกแลต
- มะเขือเทศ
- กระเทียมและหัวหอม
- แอลกอฮอล์
- หมายเหตุ: อาหารพวกนี้ส่วนใหญ่ยังไม่มีการศึกษาเพียงพอที่จะยืนยันได้แน่นอน [2] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล ที่สำคัญคุณควรจะหาว่าอะไรที่ทำให้คุณมีอาการ มากกว่าที่จะหลีกเลี่ยงอาหารตามรายการดังกล่าว
-
ปรับหัวเตียงให้สูงขึ้นหากมีอาการขณะนอนหลับ. ถ้าเตียงคุณปรับได้ ให้ปรับหัวเตียงสูงขึ้นประมาณ 6-8 นิ้ว แรงโน้มถ่วงจะช่วยให้กรดอยู่ในกระเพาะอาหาร อย่าใช้แค่วิธีหนุนหมอนซ้อนกันสูงๆ เพราะมันจะทำให้คอและลำตัวคุณงอซึ่งจะเพิ่มแรงกดทับ และจะทำให้ภาวะกรดเกินยิ่งแย่ลง [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [4] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ลองลดน้ำหนัก. การลดน้ำหนักอาจช่วยลดแรงกดดันในกล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนปลาย ช่วยไม่ให้กรดในกระเพาะไหลผ่านได้ [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [6] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
อย่าให้ท้องของคุณถูกกดทับมากเกินไป. แรงกดจะยิ่งทำให้รู้สึกไม่สบายตัวมากขึ้นจากภาวะกรดเกิน การมีแรงดันเกินจะเกิดได้เมื่อเป็นโรคไส้เลื่อนกะบังลม (การที่กระเพาะอาหารส่วนบนยื่นเข้าไปในกะบังลม) หรือเมื่อตั้งครรภ์ ท้องผูก หรือมีน้ำหนักเกิน [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อย่าสวมใส่เสื้อผ้าที่บีบรัดบริเวณท้อง [12] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
-
กินแอปเปิล. หลายคนที่มีอาการกรดเกินในกระเพาะสามารถดีขึ้นได้ด้วยการกินแอปเปิล การกินแอปเปิลเป็นวิธีที่ปลอดภัย แล้วทำไมเราจะไม่ลองใช้วิธีที่หลายคนพูดถึงนี้ดูหน่อยล่ะ [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง แต่นี่เป็นเพียงหลักฐานจากคำบอกเล่าเท่านั้น และคำกล่าวอ้างที่ว่าแอปเปิลมีคุณสมบัติช่วยลดกรดไม่เป็นความจริง [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ดื่มชาขิง. แม้จะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่าขิงช่วยรักษาอาการกรดเกินได้ แต่มันก็ดูจะช่วยบรรเทาอาการได้จริง [15] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง เตรียมชาขิงแบบถุง หรือถ้าจะให้ดี ใช้ขิงสดหั่นประมาณ 1 ช้อนชา แล้วเติมน้ำร้อนลงไป ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที และดื่มเวลาไหนก็ได้ระหว่างวัน แต่ควรเป็นก่อนอาหารประมาณ 20-30 นาที
- ขิงยังช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ด้วย ชาขิงปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์ [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน. แม้จะไม่มีหลักฐานที่แน่นอน แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการกินอาหารดึกๆ จะทำให้อาการแย่ลงได้ [17] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล งดกินอาหาร 2-3 ชั่วโมงก่อนนอน เพื่อลดความเสี่ยงในการที่อาหารจะไปเพิ่มแรงกดบริเวณหูรูดหลอดอาหารส่วนปลายขณะคุณหลับ
-
พยายามอย่าเครียด . จากงานวิจัยที่เคยมี ความเครียดจะทำให้อาการกรดไหลย้อนแย่ลงสำหรับบางคน แต่ไม่ได้เป็นโดยทั่วไป [18] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [19] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ลองคิดดูว่าสถานการณ์ใดที่จะทำให้คุณเครียดและเหน็ดเหนื่อย และลองหลีกเลี่ยงสถานการณ์เหล่านั้น หรือเตรียมรับมือมันด้วยวิธีการที่ไม่ทำให้เครียด
-
ลองใช้สมุนไพรหากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้. นี่เป็นวิธีรักษาที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แต่ถ้าอาการกรดเกินของคุณเกี่ยวข้องกับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ หรือลำไส้อักเสบเรื้อรัง มีหลักฐานเล็กน้อยว่าวิธีนี้จะช่วยได้ แต่อย่าใช้เป็นวิธีหลักๆ
- ดื่มน้ำว่านหางจระเข้ ½ แก้วระหว่างวัน แต่อย่าเกิน 1-2 แก้วต่อวัน ว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นยาระบาย
- ดื่มชาเฟนเนล โดยบดเมล็ดเฟนเนล 1 ช้อนชา ใส่น้ำร้อน เพิ่มรสชาติด้วยน้ำผึ้ง และดื่มวันละ 2-3 ถ้วย ก่อนอาหารประมาณ 20 นาที เมล็ดเฟนเนลจะช่วยบรรเทาอาการและลดกรดในกระเพาะ [20] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- กินสมุนไพรสลิปเปอร์รี่เอล์ม จะดื่มหรือกินแบบเม็ดก็ได้ แบบน้ำให้ดื่มประมาณ 3-4 ออนซ์ แบบเม็ดให้ทำตามคำแนะนำในการใช้ สมุนไพรสลิปเปอร์รี่เอล์มช่วยเคลือบเนื้อเยื่อที่อักเสบและทำให้ดีขึ้น [21] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- กินสารสกัดจากรากชะเอมเทศ สารสกัดจากรากชะเอมเทศมีในรูปแบบยาเม็ดสำหรับเคี้ยว อาจต้องใช้เวลาเพื่อให้ชินกับรสชาติ แต่มันช่วยรักษากระเพาะอาหารและจัดการภาวะกรดเกินได้ดีมาก สำหรับปริมาณที่ใช้ควรดูตามคำแนะนำบนฉลาก โดยทั่วไปให้กิน 2-3 เม็ด ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง [22] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
กินอาหารที่มีจุลินทรีย์โปรไบโอติก. โปรไบโอติกเป็นพวกแบคทีเรียชนิดดีที่มักจะพบในลำไส้ของเรา อาจรวมถึงเชื้อยีสต์ แซคคาโรไมซีส บูลาได หรือแลคโตบาซิลลัส และ/หรือไบฟิโดแบคทีเรียม ทั้งหมดนี้อยู่ในลำไส้เราตามธรรมชาติ การศึกษาวิจัยพบว่ามันทำให้สุขภาพลำไส้โดยทั่วไปดีขึ้น แต่ยังไม่มีการยืนยันที่เฉพาะเจาะจงไปกว่านั้น [23] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- วิธีที่ง่ายที่สุดที่จะได้รับโปรไบโอติกคือการกินนมเปรี้ยวที่มีจุลินทรีย์มีชีวิต
โฆษณา
-
เข้าใจก่อนว่าการสูบบุหรี่ไม่ได้ทำให้อาการแย่ลง. บุหรี่เคยถูกมองว่าเป็นต้นเหตุให้อาการกรดไหลย้อนแย่ลง แต่ปัจจุบันมีงานวิจัยสามชิ้นชี้ว่าเมื่อผู้ป่วยเลิกสูบบุหรี่ก็ไม่ได้มีอาการดีขึ้น [24] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ระมัดระวังในการทำท่าเขย่งปลายเท้า. การบำบัดด้วยท่ากายบริหารแบบเขย่งปลายเท้า เป็นเทคนิคด้านการจัดกระดูกซึ่งไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่มีหลักฐานว่าการออกกำลังกายในบางรูปแบบที่ต้องมีการเคลื่อนไหวและแรงกระแทกอาจทำให้กรดไหลย้อนได้ วิธีนี้จึงอาจจะยิ่งทำให้แย่ลงมากกว่าจะช่วยให้หาย [25] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
อย่าใช้มัสตาร์ด. ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่ามัสตาร์ดจะช่วยแก้อาการนี้ได้
-
โฆษณา
-
รู้อาการของโรค. ก่อนจะทำการรักษาภาวะกรดเกิน ควรแน่ใจก่อนว่าคุณกำลังเป็นอะไรกันแน่ อาการของภาวะกรดเกินมีดังนี้ [27] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- แสบร้อนกลางอก
- มีรสเปรี้ยวๆ ในปาก
- ท้องอืด
- อุจจาระสีเข้มหรือสีดำ (จากการมีเลือดออกภายใน)
- เรอหรือสะอึกไม่หยุด
- คลื่นไส้
- ไอแห้ง
- กลืนลำบาก (การที่หลอดอาหารบีบตัวทำให้รู้สึกเหมือนมีอาหารติดคอ)
-
ลองใช้ยารักษา. ถ้าคุณมีอาการภาวะกรดเกินเรื้อรัง กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีความกังวลใดๆ ควรไปพบแพทย์ ถ้าคุณลองใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติแล้วแต่ไม่รู้สึกดีขึ้น คุณอาจต้องใช้ยารักษา ยาจะช่วยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหารได้ ภาวะกรดเกินที่ไม่ได้รับการรักษา หรือปล่อยไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้หลอดอาหารอักเสบ เลือดออกในหลอดอาหาร เป็นแผล และเกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรังที่เรียกว่า Barrett’s esophagus ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
- ถ้าคุณกำลังใช้ยาที่อาจทำให้เกิดภาวะกรดเกิน ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปริมาณในการใช้ หรือการเปลี่ยนยา
-
ใช้ยาลดกรด. มันช่วยปรับสภาพกรดให้เป็นกลาง และหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ยาลดกรดจะช่วยบรรเทาอาการได้ในระยะสั้น ถ้าคุณยังต้องการใช้ยาลดกรดหลังผ่านไปสองสัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะการใช้ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อสมดุลของแร่ธาตุ กระทบต่อไต และทำให้ท้องร่วงได้
- ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ และอย่าใช้ยาเกินขนาด แม้จะเป็นยาลดกรด แต่ถ้าใช้มากเกินไปก็อาจมีปัญหาได้
-
ใช้ยากลุ่มยับยั้งตัวรับฮิสทามีนชนิดที่ 2 (H2 blockers). มันจะช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ยาไซเมทิดีน (Tagamet), ยาฟาโมทิดีน (Pepcid) และยารานิทิดีน (Zantac) มีจำหน่ายตามร้านขายยาในแบบปริมาณน้อย หรือให้แพทย์สั่งจ่ายแบบที่ปริมาณมากขึ้นได้ ถ้าคุณซื้อยากลุ่มนี้กินเอง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ ผลข้างเคียงของยากลุ่ม H2 blockers ได้แก่ [28] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ท้องผูก
- ท้องร่วง
- เวียนศีรษะ
- ปวดศีรษะ
- เป็นลมพิษ
- คลื่นไส้หรืออาเจียน
- มีปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ
-
ลองใช้ยากลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (PPIs). มันจะช่วยยับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะ ตัวอย่างของยากลุ่มนี้ ได้แก่ ยาอีโซเมพราโซล (Nexium), ยาแลนโซพราโซล (Prevacid), ยาโอเมพราโซล (Prilosec), ยาแพนโทพราโซล (Protonix), ยาราบีพราโซล (Aciphex), ยาเด็กซ์แลนโซพราโซล (Dexilant) และยาโอเมพราโซล โซเดียมไบคาร์บอเนต (Zegerid) [29] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ถ้าคุณใช้ยากลุ่ม PPIs ที่ซื้อเอง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ ผลข้างเคียงของยากลุ่มนี้ ได้แก่
- ปวดศีรษะ
- ท้องผูก
- ท้องร่วง
- ปวดท้อง
- ผื่นคัน
- คลื่นไส้
โฆษณา
เคล็ดลับ
- มันมียาที่ช่วยให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนปลายแข็งแรงขึ้น เช่น ยาเบทานีคอล (Urecholine) และ ยาเมโทโคลพราไมด์ (Reglan) ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาเหล่านี้
โฆษณา
คำเตือน
- ภาวะกรดเกินที่ไม่ได้รับการรักษา หรือปล่อยไว้เป็นเวลานาน อาจทำให้หลอดอาหารอักเสบ มีเลือดออกในหลอดอาหาร เป็นแผล และเกิดภาวะที่เรียกว่า Barrett’s esophagus ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
- การใช้ยายับยั้งการหลั่งกรด PPIs เป็นเวลานาน อาจทำให้มีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคกระดูกพรุนบริเวณสะโพก ข้อมือ หรือกระดูกสันหลัง [30] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.gerd-diet.com/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2886414/
- ↑ http://www.gerd-diet.com/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2886414/
- ↑ http://www.gerd-diet.com/
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2886414/
- ↑ http://www.webmd.com/digestive-disorders/ss/slideshow-digestion-tips
- ↑ https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/gerd.html
- ↑ http://www.webmd.com/digestive-disorders/ss/slideshow-digestion-tips
- ↑ http://www.webmd.com/heartburn-gerd/news/20030523/eating-food-too-fast-speeds-heartburn
- ↑ http://www.uptodate.com/contents/acid-reflux-gastroesophageal-reflux-disease-in-adults-beyond-the-basics?view=print
- ↑ https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/gerd.html
- ↑ http://www.gerd-diet.com/
- ↑ http://www.exreflux.com/apples-for-acid-reflux.html
- ↑ http://www.refluxmd.com/learn/resources/2012-12-05/851/alternative-treatment-gerd
- ↑ http://www.babycentre.co.uk/a549306/heartburn-natural-remedies
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2886414/
- ↑ http://www.jpsychores.com/article/S0022-3999%2805%2900208-4/abstract
- ↑ http://europepmc.org/abstract/med/8420248
- ↑ http://www.getingethealthy.com/ns/DisplayMonograph.asp?StoreID=hq0ushrk24s92nd700akhlbd34su9lub&DocID=bottomline-fennel
- ↑ http://www.getingethealthy.com/ns/DisplayMonograph.asp?StoreID=hq0ushrk24s92nd700akhlbd34su9lub&DocID=bottomline-slipperyelm
- ↑ http://www.getingethealthy.com/ns/DisplayMonograph.asp?StoreID=hq0ushrk24s92nd700akhlbd34su9lub&DocID=bottomline-licorice
- ↑ https://nccih.nih.gov/health/providers/digest/IBS-science
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2886414/
- ↑ http://jama.jamanetwork.com/article.aspx?articleid=377776&resultclick=1
- ↑ http://depts.washington.edu/uwcoe/healthtopics/heartburn.html
- ↑ http://www.webmd.com/heartburn-gerd/guide/reflux-disease-gerd-1?page=3
- ↑ http://www.medicinenet.com/proton-pump_inhibitors/article.htm
- ↑ http://www.medicinenet.com/proton-pump_inhibitors/article.htm
- ↑ http://www.medicinenet.com/proton-pump_inhibitors/article.htm
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
มีการเข้าถึงหน้านี้ 12,692 ครั้ง
โฆษณา