ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

สิวซีสต์ (cystic acne) เป็นทีทั้งเจ็บทั้งเซ็ง แต่จริงๆ แล้วรักษาได้ไม่ยากเลย ถึงสิวซีสต์จะไม่หายในชั่วข้ามคืน แต่บทความวิกิฮาวนี้จะมาแนะนำวิธีการต่างๆ ที่ช่วยให้สิวซีสต์ยุบในไม่ถึงเดือน คุณหมอผิวหนังอาจจะจ่ายยาทา ยากิน และรักษาด้วยวิธีการอื่นเพิ่มเติมให้ยิ่งเห็นผลกว่าเดิม แต่คุณเองก็ต้องดูแลรักษาความสะอาดใบหน้าทุกวันไม่ให้ขาด รวมถึงปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้ดีต่อสุขภาพด้วย บางเคสสิวซีสต์ก็อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ แต่ถ้าดูแลดีๆ ก็จางลงได้ แต่ละคนก็สิวหยุบแผลหายในเวลาช้าเร็วต่างกันไป เพราะงั้นอย่าใจร้อนหรือเครียด ค่อยๆ ดูแลรักษากันไป

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 4:

หาหมอ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิธีรักษาสิวซีสต์แบบเห็นผลเร็วทันใจที่สุด ก็คือตรวจรักษากับคุณหมอที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโรคผิวหนัง คุณหมอผิวหนังจะจ่ายยาให้ หรือรักษาด้วยวิธีการอื่นที่ไม่ต้องผ่า ไม่เจ็บตัว [1]
    • ถ้าไม่เคยหาหมอผิวหนังมาก่อน ลองปรึกษาคุณหมอโรคทั่วไปที่หาเป็นประจำดู เผื่อจะช่วยโอนเคสให้ได้ ไม่ก็ลองแวะไปสอบถามที่คลินิกแถวบ้าน หรือค้นหาหมอผิวหนังดังๆ ดีๆ จากในเน็ต
    • ต้องแจ้งคุณหมอผิวหนังก่อน ถ้าตั้งครรภ์หรือให้นมอยู่
  2. ขั้นตอนนี้ คุณหมอจะเจาะสิวซีสต์ด้วยเข็ม ซึ่งเป็นวิธีรักษาสิวซีสต์ที่เห็นผลเร็วทันใจที่สุด ถ้าคุณหมอเป็นคนทำ ก็สบายใจได้ว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวด บวม และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ [2]
    • ห้ามเจาะหรือบีบสิวซีสต์เองเด็ดขาด ต้องอยู่ในการดูแลของคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะถ้าสิวแตกจะติดเชื้อหรือเกิดแผลเป็นได้
    • ในบางเคส คุณหมอจะฉีดยาที่สิวซีสต์แทน
  3. ยาปฏิชีวนะจะไปฆ่าแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของสิว โดยคุณหมอผิวหนังจะจ่ายยาให้กินทุกวัน หรือเป็นครีมทาสิวแทน ย้ำว่าต้องเป็นยาที่คุณหมอสั่งเท่านั้น [3]
    • ผลข้างเคียงของยาปฏิชีวนะก็เช่น ผิวไหม้ง่ายเพราะไวต่อแสงแดดขึ้น กินเยอะก็ตับพัง รวมถึงเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์
    • กินยาตามเวลาและปริมาณที่เหมาะสม ตามที่คุณหมอสั่ง
  4. ยาเรตินอยด์ (retinoids) จะช่วยให้รูขุมขนหายอุดตัน ทำให้ยาตัวอื่นซึมเข้าไปจัดการกับแบคทีเรียอันเป็นสาเหตุของสิวได้มากขึ้น วิธีใช้คือทาเรตินอยด์ที่ใบหน้าวันละ 1 ครั้ง [4]
    • ส่วนใหญ่คุณหมอผิวหนังต้องเป็นคนจ่ายเรตินอยด์ให้ แต่จริงๆ แบบที่ตัวยาเจือจางหน่อยก็มีขายทั่วไป เพียงแต่ไม่เห็นผลเท่ายาของหมอ
    • ขอให้สงวนเรตินอยด์ไว้ใช้กับสิวเคสที่รุนแรงปานกลางถึงมาก และในกรณีที่วิธีอื่นใช้ไม่ได้ผลเท่านั้น
    • ตัวอย่างยาเรตินอยด์สำหรับทาก็เช่น Adapalene, Tazarotene และ Tretinoin
    • ทายาเรตินอยด์แล้ว ตอนแรกสิวอาจจะดูแย่ลง แล้วค่อยดีขึ้นทีหลัง ซึ่งก็ต้องรอ 2 - 3 อาทิตย์ก่อนถึงจะเห็นผลชัดเจน
    • ปรึกษาคุณหมอเรื่องผลข้างเคียงที่พบได้ เช่น ผิวไหม้แดดง่ายขึ้น หน้าแห้ง แดง หรือผิวลอก
  5. ถ้าใช้วิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล ก็ต้องใช้ยาเรตินอยด์แบบกิน เช่น isotretinoin (หรือ Accutane) โดยอยู่ในความควบคุมของคุณหมอผิวหนัง [5]
    • Isotretinoin ใช้แล้วอาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรง เช่น ซึมเศร้า คลอดลูกออกมาพิการ แท้ง หูหนวก หรือเป็นโรคลำไส้และอื่นๆ
    • ถือเป็นยาที่แรงมาก คุณหมอเลยไม่แนะนำให้ใช้ เว้นแต่จะเป็นสิวซีสต์ที่อันตรายจริงๆ
  6. ถ้าเป็นผู้หญิง คุณหมออาจแนะนำให้รักษาด้วยฮอร์โมน. ที่มีสิวก็เพราะฮอร์โมนในร่างกาย เพราะงั้นถ้ากินยาคุมหรือยายับยั้งฮอร์โมนแอนโดรเจน (anti-androgen) ก็จะช่วยได้ ลองปรึกษาคุณหมอเรื่องใช้ยาช่วยบรรเทาอาการดู ถ้าเป็นสิวซีสต์แบบเจ็บปวดมากหรืออันตราย [6]
    • แน่นอนว่าต้องมีผลข้างเคียง เช่น รอบเดือนผิดปกติ อ่อนเพลีย วิงเวียน และกดเจ็บบริเวณเต้านม
    • ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีประวัติเคยความดันโลหิตสูง เป็นโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ มีลิ่มเลือด หรือมะเร็งเต้านม คุณหมอจะไม่แนะนำให้รักษาด้วยฮอร์โมน
  7. ปกติเลเซอร์ใช้รักษาแผลเป็น เพราะงั้นก็ใช้รักษาสิวได้ด้วย โดยเป็นการจี้ถุงน้ำ ต่อมไขมัน (sebaceous gland) หรือการฆ่าแบคทีเรียด้วยออกซิเจนเข้มข้น [7]
    • ถ้าเป็นสิวซีสต์แบบอาการหนักปานกลางถึงหนักมาก ก็อาจต้องรักษาหลายครั้งอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 1 เดือน แต่ส่วนใหญ่จะเริ่มเห็นความแตกต่างตั้งแต่ครั้งแรกที่รักษาเลย
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 4:

ดูแลผิวให้ถูกวิธี

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือ cleanser ที่มี benzoyl peroxide. benzoyl peroxide ช่วยรักษาสิวโดยขจัดน้ำมันส่วนเกินและแบคทีเรีย ใช้ล้างหน้าเช้า-เย็น โดยล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า ลง cleanser แล้วค่อยล้างน้ำให้สะอาดอีกที จากนั้นซับให้แห้งด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ สะอาดๆ [8]
    • ถ้าแต่งหน้า ก็ต้องล้างเครื่องสำอางให้หมดจดก่อน แล้วค่อยล้างหน้า โดยใช้น้ำยาหรือแผ่นเช็ดทำความสะอาด จะได้ไม่เหลือคราบเครื่องสำอางตกค้าง
    • คุณหาซื้อผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือ cleanser ที่มี benzoyl peroxide ได้ตามร้านขายยาและเครื่องสำอาง หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไปได้เลย
  2. ใช้โทนเนอร์ที่มีกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) หลังล้างหน้าเสร็จ. โทนเนอร์จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกที่ยังอาจตกค้างแถมรักษาและป้องกันสิว ให้ใช้สำลีแผ่นชุบโทนเนอร์แล้วเช็ดหน้าเบาๆ [9]
    • กรดซาลิไซลิกช่วยแก้และป้องกันรูขุมขนอุดตัน
    • ถ้าตั้งครรภ์อยู่ ให้เปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรด azelaic แทน เพราะปลอดภัยกับหญิงตั้งครรภ์มากกว่า แต่จริงๆ กรดซาลิไซลิกก็ไม่ได้อันตรายมากนัก ยังไงปรึกษาคุณหมอจะดีที่สุด [10]
  3. พอหน้าสะอาดแล้ว ให้ทาสิวด้วยครีมหรือเจล benzoyl peroxide จะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น หาซื้อได้ทั้งที่คลินิกหมอผิวหนังและตามร้านขายยาและเครื่องสำอาง [11]
  4. ล้างหน้าแล้วต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ทุกครั้ง โดยเลือกที่ไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic). หลังล้างหน้าและขจัดน้ำมันส่วนเกินไปแล้ว ผิวเราต้องการมอยส์เจอไรเซอร์ทดแทน โดยเลือกที่ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน ลองสังเกตที่ฉลากจะเขียนว่า “non-comedogenic” [12]
    • ส่วนผสมที่พบบ่อยในมอยส์เจอไรเซอร์แบบ non-comedogenic คือกรดไฮยาลูรอนิค กลีเซอริน และว่านหางจระเข้
  5. บางทีมันก็อดใจไม่ไหว แต่บอกเลยว่าอย่าพยายามแตะต้องสิวหรือใบหน้าเลยจะดีกว่า เพราะทำสิวซีสต์อักเสบได้ จะยิ่งแดงและระคายเคืองกว่าเดิม ที่สำคัญคือเสี่ยงเกิดแผลเป็น [13]
    • นั่งทับมือซะเลย ถ้ารู้ตัวว่าเผลอแตะหน้าแน่ ไม่ก็เบี่ยงเบนความสนใจ โดยเคี้ยวหมากฝรั่ง ไปเดินเล่น หรือบีบลูกบอลนุ่มๆ คลายเครียด
    • สิวซีสต์จะบีบยากกว่าสิวปกติ พอคุณยิ่งเค้นก็เลยยิ่งอักเสบ นอกจากเจ็บแล้วจะทิ้งแผลเป็นไว้แน่นอน [14]
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 4:

ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

ดาวน์โหลดบทความ
  1. อาหารการกินก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวได้ ถ้ากิน อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ จะช่วยบรรเทาอาการต่างๆ จากสิวได้ อาหารที่ควรกินเยอะๆ ก็เช่น โฮลเกรน (ธัญพืชเต็มเมล็ด) ถั่ว และผักต่างๆ พยายามลดคาร์โบไฮเดรตแปรรูป ข้าว/ขนมปังขาว พาสต้า ผลิตภัณฑ์นม และน้ำตาลขัดสี [15]
    • แทนที่จะดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้หวานๆ ก็เปลี่ยนไปดื่มน้ำเปล่าหรือชาสมุนไพรแทนเวลาคอแห้ง
    • ระวังผลิตภัณฑ์นมเป็นพิเศษ เพราะบางคนกินแล้วเป็นสิวหนักกว่าเดิม
  2. ผู้ใหญ่ที่สูบบุหรี่ประจำ ระวังสิวขึ้นหรือเป็นเยอะกว่าเดิม ถ้าอยาก เลิกสูบบุหรี่ ลองปรึกษาคุณหมอดู เพราะจะมียากินหรือแผ่นแปะให้เลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น [16]
  3. ถ้าดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำแล้วมีสิวซีสต์ ต้องรีบลดปริมาณลง ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่ควรดื่มเกิน 2 แก้วต่อวัน ส่วนผู้หญิงให้ดื่มไม่เกิน 1 แก้ว [17]
  4. คลายเครียด . เครียดแล้วสิวเห่อแน่นอน โดยเฉพาะผู้ชาย จริงอยู่ว่าความเครียดมันไม่เข้าใครออกใคร แต่ขอให้ลองใช้เทคนิคผ่อนคลายความเครียดดู จะได้ไม่เครียดเกินพิกัดจนมีปัญหาสุขภาพ [18]
    • ออกกำลังกายก็ช่วยได้ ง่ายที่สุดก็คือเดินไปมาหรือยืดเหยียดร่างกาย
    • ลองนั่งสมาธิสงบจิตใจดู แล้วชีวิตจะดี๊ดี ถ้าวันไหนเรียนหนักหรืองานยุ่งจริงๆ ขอแค่ปลีกตัวมานั่งสมาธิสัก 5 นาทีก็พอ เช่น ตอนพักกลางวัน
    • ถ้าภาระหน้าที่ประดังประเดเกินรับมือ ให้หยุดตั้งสติ หายใจเข้า-ออกลึกๆ สัก 10 วินาที อะไรๆ ก็ดีขึ้นได้
    • นอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ 7 - 9 ชั่วโมง เพราะถ้าอดนอนจะเครียดหนักกว่าเดิม ทีนี้ละสิวบุก!
    โฆษณา
วิธีการ 4
วิธีการ 4 ของ 4:

ลดรอยแผลเป็นจากสิว

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เป็นสิวซีสต์แล้วมักทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า เพราะเกิดการติดเชื้อในเนื้อเยื่อส่วนลึกจนสูญเสียคอลลาเจน ส่วนจะรักษาแผลเป็นด้วยวิธีไหนให้เห็นผล ก็แล้วแต่ลักษณะของแผลเป็นที่มี เช่น [19]
    • Hypertrophic scars - แผลเป็นที่ผิวหนังบริเวณนั้นจะนูนขึ้นมา ต้องทาครีมยารักษา
    • Atrophic scars - แผลเป็นชนิดหลุมและรูตื้นๆ ต้องลอกหน้า (peels) กรอหน้า (dermabrasion) หรือใช้เลเซอร์
    • Boxcar-shaped scars - แผลเป็นตื้นแต่กว้าง ขอบไม่เรียบ ต้องใช้เลเซอร์ กรอหน้า หรือผ่าตัดลดขนาด (excision)
    • Ice pick-shaped scars - แผลเป็นแคบแต่ลึก ต้องใช้เลเซอร์ กรอหน้า หรือผ่าตัดลดขนาด ถึงจะเห็นผล
  2. ทาครีมยาคอร์ติโซน (cortisone) ลดการอักเสบของแผลเป็นนูน. โดยแตะๆ ที่แผลเป็นทุกวัน จะช่วยให้ยุบหรือจางลงได้ ถ้าแผลเป็นบวม แดง นูนจะเห็นผลเป็นพิเศษ [20]
  3. มีหลายแบบเลยที่ช่วยให้แผลเป็นจากสิวจางลงได้ ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมอย่าง ไฮโดรควิโนน (hydroquinone) กรดโคจิก (kojic acid) อาร์บูติน (arbutin) หรือสารสกัดจากชะเอมเทศ [21]
    • ครีมพวกนี้หาซื้อได้ตามร้านขายยาและเครื่องสำอาง หรือห้างสรรพสินค้าทั่วไป
    • ใช้ทาแผลเป็นจากสิว 1 - 2 ครั้งต่อวัน ถ้าเป็นแผลเป็นนูนหรือแดงจะเห็นผลเป็นพิเศษ
  4. ลอกหน้าด้วยสารเคมีตามสปาหรือคลินิกแพทย์ผิวหนัง. chemical peels คือการใช้สารเคมีหรือกรดบางอย่างที่ค่อนข้างแรง ลอกผิวหนังชั้นบนสุดออกไป ทำให้รอยแผลเป็นดูจางลง ตื้นขึ้น เรียกว่าเห็นผลทันใจ โดยคุณหมอจะทาสารเคมีที่เป็นกรดนี้ให้บางๆ ทั่วหน้าคุณ [22]
    • สารเคมีที่นิยมใช้ลอกหน้าก็เช่น กรดไกลโคลิก กรดซาลิไซลิก และกรดไตรคลอโรอะซิติก (Trichloroacetic acid (TCA))
    • ต้องทาครีมกันแดดเสมอหลังลอกหน้าแล้ว เพราะผิวจะบอบบาง ไหม้แดดง่ายมาก
    • ตอนลอกหน้าอาจจะรู้สึกแสบร้อนหรือระคายเคืองบ้าง แต่ถ้าเจ็บเกินทนให้รีบบอกคุณหมอ อาการข้างเคียงของการใช้สารเคมีแรงๆ นอกจากหน้าลอกแล้วก็เช่น บวมและแดง แต่ปกติคุณหมอจะมีโลชั่นช่วยบรรเทาอาการให้ [23]
    • จริงๆ บางกรณีก็ทำขั้นตอนลอกหน้าเองได้ที่บ้าน โดยใช้สารเคมีที่เจือจางกว่า แต่ก็ต้องทำอย่างระมัดระวัง ที่สำคัญคือต้องปรึกษาคุณหมอผิวหนังก่อน
  5. dermabrasion คือการใช้แปรงลวดกรอเอาผิวหนังชั้นบนสุดออกไป ทั้งสิวและริ้วรอยจะหายไป ส่วนแผลเป็นลึกๆ ก็ตื้นขึ้นจนจางลง [24]
    • ถ้าใครผิวเข้ม การกรอหน้าอาจส่งผลให้สีผิวเปลี่ยนแปลงได้
    • ถ้ากลัวว่าการกรอหน้าปกติจะรุนแรงเกินไป ลองกรอหน้าแบบ microdermabrasion แทน โดยคุณหมอผิวหนังจะพ่นผงคริสตัลใส่ผิวหนังชั้นบน แล้วดูดกลับขึ้นมาพร้อมเซลล์ผิวที่ตายแล้ว เลยทำให้ไม่รุนแรงเท่าการกรอหน้าตามปกติ
  6. โดยเลเซอร์จะทำลายผิวชั้นนอกหรือหนังกำพร้า (epidermis) แล้วแผ่ความร้อนลงไปในชั้นผิวหนังด้านใต้ (หนังแท้) ตอนผิวหนังฟื้นตัว รอยแผลเป็นก็จะหายหรือจางลง บางเคสก็ต้องฉายซ้ำหลายทีกว่าแผลเป็นจะดีขึ้น [25]
  7. ปกติจะไม่ใช่ผ่าตัดใหญ่ แต่เป็น punch excision คือตัดหลุมสิวออกแล้วเย็บปิด หรือปลูกถ่ายผิวหนังทดแทน (skin graft) อีกวิธีคือใช้เข็มจิ้มคลายเส้นใยกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง [26]
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • อย่าไปเครียดมาก สิวซีสต์เดี๋ยวนี้รักษาได้หลายวิธี ถ้ารักษาจริงจังและต่อเนื่องก็หายหรือดีขึ้นแน่นอน ดีไม่ดีสิวจะไม่ย้อนกลับมาบุกหน้าอีกเลย
  • ถึงจะเป็นวิธีที่เร็วที่สุด กว่าจะเห็นผลก็ต้องรอ 2 - 3 อาทิตย์ บางคนก็เห็นผลเร็ว บางคนก็ช้าหน่อย เพราะงั้นอย่าใจร้อนหรือด่วนถอดใจ
โฆษณา

คำเตือน

  • อดใจอย่าคุ้ยแคะแกะเกาะหรือบีบ/เจาะสิวซีสต์ เพราะจะทำให้ยิ่งหายช้า แถมเกิดรอยแผลเป็น
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 48,608 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา