ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

หูดหงอนไก่คือกลุ่มแผลเล็กๆ ที่ปูดบวมขึ้นมาคล้ายกับดอกหงอนไก่ แม้ว่าหูดหงอนไก่จะพบทั้งในผู้ชายและผู้หญิง แต่ในผู้ชายหูดหงอนไก่จะขึ้นที่อัณฑะ องคชาต ต้นขา และบริเวณขาหนีบ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส human papilloma (HPV) ที่พบได้บ่อยมากและมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ หูดหงอนไก่ส่วนใหญ่จะไม่ได้แสดงอาการอื่นๆ เพิ่มเติม แต่คุณอาจจะรู้สึกคัน เจ็บ หรือมีเลือดออกที่หูดหงอนไก่บ้างในบางครั้ง สายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดปัญหามากที่สุดก็คือ HPV 16 และ 18 ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคมะเร็ง แต่สายพันธุ์ที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ HPV 6 และ 11 ไวรัสชนิดนี้ติดต่อผ่านการสัมผัสทางเพศทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก คุณอาจจะมีหูดหงอนไก่ขึ้นใน/รอบปาก ริมฝีปาก ทวารหนัก ลิ้น จมูก ตา และลำคอ วัคซีน HPV เป็นวิธีการป้องกันโรคหูดหงอนไก่ที่มีประสิทธิภาพ และการฉีดวัคซีน HPV ในผู้ชายนอกจากจะป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อ HPV ไปยังผู้หญิงแล้ว ยังป้องกันไม่ให้เป็นโรคที่เกี่ยวข้องและโรคมะเร็งได้ด้วย [1]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ตรวจดูว่าเป็นหูดหงอนไก่หรือเปล่า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. พฤติกรรมบางอย่างเพิ่มความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ HPV มากยิ่งขึ้น ถามคำถามตัวเองต่อไปนี้ เพราะเวลาที่คุณไปตรวจแพทย์ก็น่าจะถามคำถามเหล่านี้อยู่ดี : [2]
    • คุณมีคู่นอนกี่คน ยิ่งคุณมีคู่นอนมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีโอกาสติดเชื้อไวรัสมากเท่านั้น
    • คุณใช้ถุงยางอนามัยหรือไม่ เครื่องกีดขวางนี้ช่วยลดโอกาสที่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้ง HPV ด้วย
    • คุณอายุเท่าไหร่ หูดหงอนไก่มักพบได้บ่อยในเยาวชน วัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว
    • คุณติดเชื้ออย่างรุนแรงหรือเป็นมะเร็งหรือเปล่า หรือว่าคุณรับประทานยาที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันหรือไม่ การติดเชื้อ เช่น HIV/เอดส์ลดความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคของร่างกาย ส่วนมะเร็งเลือด เช่น ลูคีเมีย จะไปเปลี่ยนเซลล์ภูมิคุ้มกันทำให้ไม่สามารถทำงานได้ และยาอย่างสเตียรอยด์ก็จะไปลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเมื่อเวลาผ่านไป
    • คุณสังเกตว่ามีรอยแผลบนผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศหรือเปล่า รอยแผลเปิดบนผิวหนัง เช่น รอยบาด เปิดโอกาสให้ไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้
    • คุณได้ขลิบอวัยวะเพศหรือเปล่า ผู้ชายที่ไม่ได้ขลิบหนังหุ้มปลายองคชาตออกมีโอกาสที่จะได้รับเชื้อ HPV และส่งต่อไปให้คู่นอนมากกว่า
  2. แยกความแตกต่างระหว่างอาการที่คุณเป็นกับการติดเชื้อ/โรคอื่นๆ. คุณอาจจะสับสนระหว่างหูดกับโรคอื่นๆ เพราะฉะนั้นคุณควรนัดแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยที่ถูกต้องจะดีที่สุด สังเกตลักษณะดังต่อไปนี้เพื่อช่วยให้คุณแยกแยะได้เองจากที่บ้าน
    • หูดหงอนไก่จะเป็นรอยแผลสีเนื้อ แต่ถ้าเป็นแผลพุพองสีแดงและมีของเหลวอยู่ข้างใน อันนั้นน่าจะเป็นเริมที่อวัยวะเพศมากกว่า
    • หูดหงอนไก่จะไม่มีของเหลวอยู่ข้างในและไม่ปะทุออกมาเป็นแผลเปิด แผลพุพองที่เกิดจากเริมที่อวัยวะเพศนั้นทั้งเจ็บและเหวอะหวะ เกิดเป็นรอยแผล และมีของเหลวไหลออกมาก่อนที่จะหาย แผลเปื่อย (แผลเปิดบนผิวหนัง) บนองคชาตนั้นยังบ่งบอกถึงโรคซิฟิลิสในระยะแรกด้วย และรอยแผลที่เกิดจากซิฟิลิสก็มักจะไม่เจ็บ
    • แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ไม่เจ็บเลยเสมอไป แต่อาการเจ็บและคันนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับเริมและหูดหงอนไก่มากกว่า
    • อาการอื่นๆ ได้แก่ ผื่นแดงบนฝ่ามือและฝ่าเท้า คราบขาวในปากและอวัยวะเพศ อาการไข้ ผมร่วง และเจ็บคอที่เพิ่มเติมมาจากหูดหงอนไก่อาจเป็นอาการของโรคซิฟิลิสระยะที่สอง
    • ตุ่มเล็กที่ขึ้นเป็นกระจุกรอบฐานส่วนหัวขององคชาตที่เป็นสีเนื้อ สีแดง สีเหลือง สีชมพู หรือใสๆ นั้นอาจเป็นอาการที่เรียกว่า ผื่นนูนไข่มุกบริเวณอวัยวะเพศและไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพราะถือว่าเป็นความแตกต่างที่ปกติของผิวหนังบริเวณองคชาตและไม่เป็นโรคติดต่อ [3]
    • หูดหงอนไก่จะไม่บุ๋มลงไป รอยบุ๋มตรงปลายหูดอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อไวรัสที่รู้จักกันในชื่อหูดข้าวสุก ซึ่งหูดข้าวสุกก็อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ HIV ได้เช่นเดียวกัน
  3. สุดท้ายแล้วการไปพบแพทย์ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการยืนยันว่าเป็นหูดหงอนไก่หรือไม่ นอกจากนี้แพทย์ยังสามารถประเมินทางเลือกในการรักษาที่ดีที่สุดให้คุณได้ด้วย ตามปกติแล้วหูดหงอนไก่จะหายไปภายใน 2-3 เดือน และ 90% จะหายไปภายใน 2 ปีโดยไม่ต้องรักษา [4] บางครั้งแพทย์ก็จะไม่รักษา แต่จะคอยดูว่าหูดหงอนไก่มันเริ่มฝ่อไปหรือคุณเริ่มมีอาการที่น่ารำคาญยิ่งขึ้น ถ้าคุณตัดสินใจที่จะไม่ไปพบแพทย์ ให้สังเกตว่าหูด :
    • มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือไม่
    • มีจำนวนมากขึ้นหรือไม่
    • ขึ้นใหม่ในบริเวณอื่นของร่างกายหรือไม่
    • มีอาการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น อาการคัน เจ็บ มีเลือดไหลออกจากหูด ผมร่วง มีไข้ มีคราบขาวในปากหรือที่บริเวณอวัยวะเพศ เจ็บคอ และมีแผลเปื่อยบนองคชาต ตามที่กล่าวไปแล้วว่าโรคซิฟิลิสสามารถทำให้เป็นหูดได้ การตรวจพบและการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตั้งแต่ในระยะแรกๆ จะช่วยให้คุณหายขาดจากโรคนี้ และโรคซิฟิลิสอาจนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทได้ในที่สุดหากไม่ได้รับการรักษา
    • อายุและมะเร็ง ประมาณ 63% ของโรคมะเร็งองคชาตในสหรัฐอเมริกาเกิดจากเชื้อไวรัส HPV โดยอายุเฉลี่ยที่ได้รับการวินิจฉัยอยู่ที่ 68 ปี แต่ก็อาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงอายุ 30 ปีได้เช่นกัน ถ้าคุณสังเกตว่าตัวเองมีอาการต่างๆ เช่น เหนื่อยล้า น้ำหนักลด มีเลือดออกจากองคชาต มีก้อนเนื้อที่องคชาต ผื่นนิ่มๆ ลื่นๆ ผิวหนังบริเวณองคชาตด้าน และมีของเหลวที่มีกลิ่นเหม็นไหลออกมา ควรไปพบแพทย์โดยด่วน [5]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

รักษาโรคหูดหงอนไก่ด้วยยา

ดาวน์โหลดบทความ
  1. คุณไม่ควรทายาที่ซื้อมาเองลงบนบริเวณอวัยวะเพศ เพราะผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศนั้นไวต่อการสัมผัสและบอบบางมาก เพราะฉะนั้นการทาสารเคมีลงบนอวัยวะเพศโดยไม่มีความรู้และการฝึกอบรมที่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้
  2. แพทย์จะทำการตรวจสอบหูดและส่วนอื่นๆ ของร่างกายว่ามีหูดขึ้นอีกไหมด้วยตาเปล่าตามปกติ จากนั้นแพทย์จะทาสารละลายกรดไตรคลอโรอะเซติกเล็กน้อยลงบนบริเวณที่เป็นหูด ซึ่งจะทำให้หูดกลายเป็นสีขาวเพื่อให้เห็นชัดมากยิ่งขึ้นและสามารถใช้เป็นยาสำหรับกำจัดหูดได้ด้วย สอบถามแพทย์เรื่องทางเลือกในการรักษาที่แพทย์แนะนำ
    • การรักษาจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ขนาดและจำนวนหูด บริเวณที่มีหูดขึ้น การรักษาในครั้งก่อน และคุณกลับมาเป็นหูดซ้ำๆ หรือไม่
    • จำไว้ว่าไวรัสนั้นไม่สามารถรักษาได้ รักษาได้แค่ตัวหูดเท่านั้น
  3. สอบถามเกี่ยวกับยาปรับการตอบสนองของภูมิต้านทาน. ยาชนิดนี้จะไปเพิ่มโปรตีนป้องกันในร่างกายเพื่อช่วยกำจัดหูด ยาตัวนี้มีอยู่หลากหลายชนิด ได้แก่: [6]
    • อิมิควิโมด (Imiquimod) — แพทย์จะทาครีมอิมิควิโมด 5% ลงบนบริเวณที่เป็นหูดโดยใช้ถุงมือป้องกันและแผ่นซับ จากนั้นก็จะสั่งครีมตัวนี้ให้ในภายหลัง อยู่ที่บ้านให้ทาครีมก่อนนอนโดยใช้ถุงมือหรือแผ่นซับแบบใช้แล้วทิ้ง หลังจากตื่นนอนตอนเช้า (6-10 ชั่วโมงหลังจากทาครีม) ให้ล้างครีมออกด้วยสบู่กับน้ำเปล่า ทาสัปดาห์ละ 3 ครั้งต่อไปอีก 16 สัปดาห์
    • อินเทอร์เฟรอน อัลฟา (Interferon alpha) — แพทย์จะฉีดอินเทอร์เฟรอน 3 ล้านหน่วยสากล (IU) เข้าไปในฐานหูดแต่ละก้อน คุณจะต้องมาฉีดยาซ้ำกับแพทย์สัปดาห์ละ 3 ครั้งต่ออีก 3 สัปดาห์ ถ้าเป็นหูดก้อนใหญ่ก็อาจจะต้องฉีดย้ำหลายๆ ครั้ง หูดควรจะหายไปหลังจากฉีดไปแล้ว 4-8 สัปดาห์ ถ้าหูดยังคงอยู่หลังจากนั้น 12-16 สัปดาห์ แพทย์ก็อาจจะแนะนำให้รักษาใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง
  4. สอบถามแพทย์เรื่องการใช้ยาที่เป็นพิษต่อเซลล์ยารักษาโรคมะเร็ง. ยาชนิดนี้สามารถทำลายหูดและป้องกันไม่ให้หูดแพร่กระจาย แต่อาจไปทำลายผิวหนังบริเวณที่ปกติได้เช่นเดียวกัน ถ้าหกหรือทาลงบนบริเวณที่ไม่ได้เป็นหูดโดยไม่ตั้งใจ ให้ล้างยาออกจากบริเวณนั้นด้วยน้ำเปล่าและสบู่ทันที ผลข้างเคียงของยานี้ได้แก่ ทำให้เจ็บ ระคายเคือง คัน และแดง ตัวเลือกในการรักษาด้วยวิธีนี้ได้แก่: [7]
    • โพโดฟิลอก (Podofilox) — ยาตัวนี้เหมาะกับการรักษาหูดที่มีขนาดไม่ถึง 10 ตร. ซม. เพื่อให้คุณทายาในปริมาณที่ถูกต้อง (0.5 มล. หรือ 0.5 ก.) แพทย์จะทำให้คุณดูว่าจะต้องทายาปริมาณเท่าไหร่และทาอย่างไร ถ้าเป็นยาน้ำให้ใช้สำลีพันก้าน แต่ถ้าเป็นเจลให้ใช้นิ้วทายาลงบนบริเวณที่เป็นหูด ทาติดต่อกัน 3 วัน วันละ 2 ครั้ง จากนั้นเว้น 4 วัน ทาตามวิธีนี้ซ้ำไม่เกิน 4 สัปดาห์
    • สารละลายกรดไตรคลอโรอะเซติก (trichloroacetic acid - TCA) และกรดไบคลอโรอะซิติก (bichloracetic acid - BCA) เป็นวิธีการรักษาโดยแพทย์ทั้งคู่ แพทย์จะใช้สำลีก้อนจุ่มกรดแล้วทาลงบนหูด แพทย์อาจจะแนะนำให้คุณมารักษาทุกสัปดาห์ไม่เกิน 4-6 สัปดาห์ วิธีนี้เป็นวิธีการรักษาที่นิยมมากที่สุดวิธีหนึ่ง
    • โพโดฟิลลิน (Podophyllin) — วิธีนี้เป็นการรักษาโดยแพทย์ที่ใช้กับหูดที่มีขนาดเล็กกว่า 10 ตร. ซม. โดยแพทย์จะทายาโพโดฟิลลินลงบนบริเวณที่เป็นหูดบางๆ และแนะนำในคุณผึ่งลมตรงบริเวณนั้นให้แห้งเพื่อไม่ให้ตัวยาโดนเสื้อผ้า ในการรักษาครั้งแรกนั้นจะทาตัวยาทิ้งไว้ 30-40 นาที ส่วนในการรักษาครั้งต่อๆ ไปก็สามารถทิ้งระยะได้ 1-4 ชั่วโมงแล้วค่อยใช้สบู่และน้ำเปล่าล้างออก คุณสามารถรักษาด้วยวิธีนี้ได้ครั้งละ 1 สัปดาห์เป็นเวลาไม่เกิน 6 สัปดาห์
    • ห้ามใช้ยานี้กับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรืออาจกำลังตั้งครรภ์อยู่ และจำกัดการสัมผัสคู่นอนที่เป็นผู้หญิง
    • 5-ฟลูออโรยูราซิล (5-Fluorouracil) — แพทย์อาจจะทาให้ในครั้งแรกหรือไม่ก็จ่ายยาให้ ใช้สำลีพันก้านทายาลงบนผิวบริเวณที่เป็นหูดหลังจากทำความสะอาดแล้ว 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ทาบางๆ เท่านั้น ผึ่งลมให้ยาแห้งเพื่อป้องกันไม่ให้เลอะเสื้อผ้า หลังจากทาไปแล้ว 3-10 ชั่วโมง (ตามที่ระบุในใบสั่งยา) ให้ล้างครีมออกด้วยสบู่และน้ำเปล่า
    • ไซนีคาเทชิน (Sinecatechins) — แพทย์อาจจะสั่งยาตัวนี้ที่เป็นสารสกัดจากชาเขียวให้ ใช้นิ้วมือแตะขี้ผึ้งยา 15% ลงบนบริเวณที่เป็นหูดบางๆ ทาซ้ำวันละ 3 ครั้งไม่เกิน 16 สัปดาห์หรือจนกว่าหูดจะหายไป ไม่ต้องล้างออกและหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางเพศ
  5. การกำจัดหูดด้วยวิธีธรรมชาตินั้นมีอยู่หลายวิธีแม้ว่าจะไม่มีงานวิจัยทางคลินิกมารับรองก็ตาม แพทย์ธรรมชาติบำบัดกล่าวว่า มีครีมจากพืชมากมายที่ใช้รักษาหูดได้ เช่น ว่านหางจระเข้ รวมถึงวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอีเสริมด้วย [8] แนะนำให้คุณปรึกษาเรื่องวิธีการรักษาที่ถูกต้องกับแพทย์ธรรมชาติบำบัด
    • แนวคิดของทางเลือกในการรักษาแบบนี้ก็คือ เพื่อแก้ไข้ภาวะบกพร่องทางโภชนาการ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะไปช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับหูดอีกทีหนึ่ง นอกจากนี้ตัวยาหลายตัวก็ยังประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

รักษาด้วยการผ่าตัด

ดาวน์โหลดบทความ
  1. แพทย์อาจจะแนะนำทางเลือกเหล่านี้หากมีหูดขึ้นจำนวนมากหรือขึ้นเป็นบริเวณกว้าง นอกจากนี้แพทย์ก็อาจจะแนะนำทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งต่อไปนี้ถ้าคุณเป็นหูดหงอนไก่บ่อยๆ
  2. การทาสารละลายไนโตรเจนเหลวจะทำให้น้ำที่อยู่ในหูดแข็งตัว ซึ่งจะไปทำลายเซลล์ที่ก่อตัวเป็นหูด [9] ผู้ให้บริการจะทำความสะอาดบริเวณที่เป็นหูดด้วยสำลีก้อนชุบแอลกอฮอล์ จากนั้นก็จะฉีดไนโตรเจนเหลวจากกระบอกลงบนหูดแต่ละก้อนจนกว่าผิวหนังรอบๆ ในระยะไม่เกิน 5 มม. จะแข็งตัว และทำให้ผิวหนังแข็งตัวต่ออีก 30 วินาทีจนกว่าผิวจะกลายเป็นสีขาว จากนั้นก็จะเป็นช่วงที่ผิวหนังละลายเมื่อบริเวณที่เป็นสีขาวหายไป ถ้าคุณทนความเจ็บได้ ผู้ให้บริการก็จะจี้เย็นอีกรอบหนึ่ง
    • ภายใน 24 ชั่วโมงก็จะมีถุงน้ำเล็กๆ (ตุ่มน้ำใส) ขึ้นตรงบริเวณที่ฉีดไนโตรเจนเหลว และอาจจะมีการรักษาเพิ่มเติมอีกภายใน 1-2 สัปดาห์ตามความจำเป็น [10]
    • หลังจากรักษาไปได้ 2-4 ครั้งภายใน 6-12 สัปดาห์ 75-80% ของคนไข้หายขาดจากโรคหูดหงอนไก่ [11]
    • คุณสามารถหาซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษาเองได้ แต่บุคลากรทางการแพทย์แนะนำว่าควรให้แพทย์เป็นผู้รักษา
  3. วิธีนี้เป็นการใช้เข็มกระแสไฟฟ้าความถี่สูงตัดหูด แพทย์จะทายาชาเฉพาะที่ในบริเวณที่จะผ่าตัดก่อน [12] หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้วแพทย์อาจจะจ่ายยาแก้ปวดให้ถ้าจำเป็น
    • ศัลยกรรมไฟฟ้ามีประสิทธิภาพในการรักษาหูดจำนวนไม่มากที่ขึ้นอยู่บนส่วนลำขององคชาต [13]
  4. พิจารณาว่าการผ่าตัดเอาหูดออกเป็นทางเลือกที่เหมาะสมหรือไม่. ในการรักษาด้วยวิธีนี้ แพทย์จะใช้มีดผ่าตัดตัดหูดออกมา ซึ่งถ้ามีจำนวนไม่มาก แพทย์จะฉีดยาชาลิโดเคน 1% เพื่อให้บริเวณนั้นชา แต่ถ้าหูดขึ้นเป็นบริเวณกว้างก็อาจจะต้องใช้การระงับความรู้สึกแบบทั่วไป เสร็จแล้วแพทย์ก็อาจจะเย็บผิวหนังบริเวณที่ปกติดีสองด้านเข้าด้วยกันแล้วแต่ขนาดของหูดที่ผ่าตัดออกไป [14]
  5. วิธีนี้เป็นการใช้เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ละลายหูด ซึ่งมีประโยชน์กับกรณีที่กลับมาเป็นหูดหงอนไก่บ่อยๆ มากเป็นพิเศษ วิธีนี้เป็นการรักษาแบบผู้ป่วยนอกที่ห้องตรวจ (มักจะเป็นห้องตรวจของแพทย์ผิวหนัง) แพทย์อาจจะฉีดยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไปหรือเฉพาะที่เพื่อไม่ให้คุณเจ็บหรือไม่สบายตัวขณะผ่าตัดด้วยเลเซอร์ [15]
    • แพทย์น่าจะจ่ายยาแก้ปวดให้หลังจากผ่าตัด เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่รายงานว่า รู้สึกไม่สบายตัวมากหลังจากผ่าตัด [16]
    • คุณต้องไม่ขยับตัวขณะที่แพทย์ยิงเลเซอร์ลงบนผิวหนังเด็ดขาด เพราะมันอาจจะไปทำลายเนื้อเยื่อปกติได้
    โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 10,491 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา