ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
โรคหูชั้นกลางอักเสบ (Otitis media) มักเป็นกันมากในเด็กและทารก แต่มันยังเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ได้ด้วย ทั้งนี้ เด็กประมาณ 90% มักจะเคยเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบอย่างน้อยหนึ่งครั้งเมื่ออายุครบ 3 ขวบ [1] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล การติดเชื้อในหูจะสร้างความเจ็บปวดได้มาก เนื่องจากเกิดความดันจากของเหลวที่ก่อตัวขึ้นไปกดทับเยื่อแก้วหู [2] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ซึ่งการติดเชื้อบางอย่างอาจหายได้เองจากการปฐมพยาบาลด้วยยาหยอดหูตามบ้านทั่วไป แต่ในรายที่ติดเชื้อรุนแรง จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อใช้ยาชนิดพิเศษ ในการรักษาให้หายขาด [3] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
ขั้นตอน
-
ทำความเข้าใจว่าใครมีภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อบ้าง. ปกติแล้ว เด็กจะมีโอกาสติดเชื้อดังกล่าวมากกว่าผู้ใหญ่ นั่นเป็นเพราะท่อยูสเตเชียน (ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างกลางหูทั้งสองข้างไปสู่ด้านหลังลำคอ) ในเด็กจะเล็กกว่าในผู้ใหญ่ จึงมีโอกาสน้ำคั่งมากกว่า นอกจากนี้ เด็กยังมีภูมิคุ้มกันในร่างกายน้อยกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้มักจะมีโอกาสเป็นหวัดมากกว่าด้วย [4] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง อะไรก็ตามที่มาปิดกั้นทางเดินของท่อยูสเตเชียน ย่อมทำให้เกิดอาการติดเชื้อในหูได้ นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีกเช่น: [5] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อาการภูมิแพ้
- การติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัดหรือไซนัส
- การติดเชื้อหรอมีปัญหาบริเวณ
- การสูบบุหรี่
- มีเมือกหรือน้ำลายมากผิดปกติ เช่น ในช่วงที่ฟันกำลังขึ้น
- อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็น
- ความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศหรือระดับความสูงของภูมิประเทศ
- การไม่ได้ทานนมแม่ช่วงที่เป็นทารก
- อาการป่วยไข้ที่เพิ่งหาย
- ไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงที่มีเด็กอื่นจำนวนมาก
-
เข้าใจลักษณะอาการของโรคหูชั้นกลางอักเสบ. โรคหูชั้นกลางอักเสบ หรือโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน เป็นโรคติดเชื้อในหูที่พบได้บ่อยที่สุด และมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย [6] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง หูชั้นกลางจะอยู่ในบริเวณช่องว่างหลังเยื่อแก้วหู โดยมีกระดูกเล็กๆ ทำหน้าที่ส่งความสั่นสะเทือนไปยังหูชั้นใน ดังนั้น หากมันมีของเหลวอัดแน่นหรือเกิดอาการอมน้ำ แบคทีเรียและไวรัสก็จะเข้าไปแพร่เชื้อได้ [7] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ทั้งนี้ โรคติดเชื้อในช่องหูมักเกิดขึ้นหลังจากที่เด็กเป็นโรคติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด รวมถึงเด็กที่มีอาการภูมิแพ้ขั้นรุนแรงด้วย [8] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง อาการของโรคหูชั้นกลางอักเสบมีดังนี้: [9] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [10] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ปวดหู
- รู้สึกคับแน่นหู
- รู้สึกไม่สบาย
- อาเจียน
- ท้องเสีย
- หูข้างที่ติดเชื้ออาจไม่ได้ยินเสียง
- หูอื้อ
- เวียนศีรษะ
- มีน้ำในหู
- มีไข้ โดยเฉพาะในเด็ก
-
แยกความแตกต่างระหว่างอาการน้ำเข้าหูกับโรคหูชั้นกลางอักเสบ. อาการหูอื้ออันเกิดจากน้ำเข้าหู หรือการติดเชื้อในหูชั้นนอกนั้น เกิดจากการติดเชื้อราหรือแบคทีเรียบริเวณหูชั้นนอก ซึ่งสาเหตุหลักๆ เกิดจากความชื้นในช่องหู (ตามชื่ออาการนั่นเอง) แต่การเอาสิ่งแปลกปลอมเช้าไปหรือแคะในช่องหู ก็ทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน [11] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ลักษณะอาการอาจเป็นได้ตั้งแต่เล็กน้อย แต่สามารถรุนแรงขึ้นได้ โดยมีอาการดังต่อไปนี้: [12] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- คันในช่องหู
- มีอาการแดงในรูหู
- เกิดอาการเจ็บรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ดึงเข้าออกบริเวณหูชั้นนอกDช
- มีของเหลวในหู (โดยอาจเริ่มจากน้ำใสๆ ไม่มีกลิ่น แต่พัฒนาไปเป็นหนองได้ในภายหลัง
- อาการที่รุนแรงมีดังต่อไปนี้:
- รู้ถึงคับหรือแน่นในหู
- ความสามารถในการได้ยินลดลง
- มีอาการอักเสบลามมาถึงใบหน้าและลำคอ
- ต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอบวมน้ำ
- มีไข้
-
มองหาสัญญาณเตือนของโรคติดเชื้อในช่องหูในเด็ก. เด็กโตอาจมีลักษณะอาการของโรคติดเชื้อในช่องหู แตกต่างไปจากเด็กเล็กและผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ด้วยความที่เด็กโตมักจะไม่รู้วิธีสื่อสารกับผู้ปกครอง ดังนั้น คุณควรมองหาสัญญาณต่อไปนี้: [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ชอบดึง ขยับ หรือเกาหูบ่อย
- เขย่าศีรษะไปมา
- มีอาการหงุดหงิด อยู่ไม่สุข และร้องไห้ไม่หยุด
- นอนไม่ค่อยหลับ
- มีไข้ (โดยเฉพาะในเด็กเล็กและเด็กที่ยังไม่ค่อยโต)
- มีของเหลวไหลจากหู
- เดินโซเซหรือขาดการทรงตัวที่ดี
- มีปัญหาในการได้ยิน
-
ตัดสินใจว่าเมื่อไรควรไปหาหมอ. อากาโรคติดเชื้อในช่องหูหลายอย่าง สามารถรักษาได้เองที่บ้าน และมีอีกหลายอาการที่ปล่อยให้หายไปเองได้ อย่างไรก็ดี หากคุณหรือเด็กในบ้านมีอาการดังต่อไปนี้ คุณควรต้องไปพบแพทย์ทันที: [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- มีเลือดหรือหนองไหลออกจากหู (เป็นได้ทั้งสีขาว เหลือง แดง หรือชมพู/แดงอ่อน)
- เป็นไข้สูงตามมา โดยเฉพาะหากสูงกว่า 39 องศาเซลเซียส
- หน้ามืดหรือเวียนศีรษะ
- ลำคอแข็ง
- หูอื้อ
- มีอาการปวดหรือบวมน้ำ บริเวณหลังหรือรอบใบหู
- มีอาการปวดหูมากกว่า 48 ชั่วโมง
โฆษณา
-
พาเด็กไปพบแพทย์ในกรณีที่เด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน. หากคุณสังเกตเห็นอาการของโรคติดเชื้อในช่องหูในทารก ให้รีบพาไปพบแพทย์ทันที [15] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง เด็กทารกในวัยนี้ ร่างกายยังไม่ได้พัฒนาภูมิคุ้มกันเต็มที่ พวกเขาจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อรุนแรง และมักต้องให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ [16] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- หากเป็นเด็กทารกหรือเด็กเล็กมากๆ คุณไม่ควรพยายามรักษาเองที่บ้าน แต่ควรปรึกษากุมารแพทย์ เพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะที่สุด
-
ปล่อยให้หมอเป็นผู้ตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื้อในช่องหูของคุณหรือของเด็ก. หากคุณหรือลูกหลานของคุณมีอาการที่น่าสงสัยว่า จะเป็นโรคติดเชื้อในช่องหู ก็ควรเตรียมตัวเข้ารับการตรวจรักษาดังต่อไปนี้: [17] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- ตรวจด้วยการใช้เครื่องมือตรวจเยื่อแก้วหู (Otoscope) มันอาจจะยากสักหน่อย ในการควบคุมเด็กให้อยู่นิ่งพอที่จะตรวจด้วยวิธีนี้ แต่ก็เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัย
- ตรวจหาอาการอุดตันหรือมีของเหลวอัดแน่น โดยใช้เครื่องตรวจแรงดันในหู (Pneumatic Horoscope) ซึ่งทำด้วยการเป่าลมเบาเข้าไปในเยื่อแก้วหู และทำให้มันกระเพื่อมไปมา หากมีของเหลวอัดแน่นอยู่ เยื่อแก้วหูก็จะไม่สามารถกระเพื่อมได้สะดวกหรือง่ายนัก แสดงว่ามีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อในช่องหู [18] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- ตรวจอาการภายในของหูชั้นกลาง (Tympanometer) ซึ่งใช้คลื่นเสียงหรือแรงดันอากาศ ในการตรวจหาของเหลวในบริเวณช่องหูชั้นกลาง
- หากการติดเชื้อเรื้อรังหรือถึงขั้นรุนแรง ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทการได้ยิน อาจจะพาไปทดสอบความสามารถในการได้ยินอีกครั้งว่า ลดลงหรือสูญเสียไปหรือไม่
-
เตรียมพร้อมรับการตรวจจากแพทย์อย่างละเอียด ในกรณีที่ติดเชื้อเรื้อรัง หรือเชื้อโรคดื้อยา. หากคุณหรือลูกหลานของคุณมีอาการไม่สบายหลังจากที่มีอาการต่างๆ เกี่ยวกับหูแล้ว แพทย์ของคุณก็อาจจะใช้อุปกรณ์เก็บตัวอย่างจากของเหลวในช่องหู เพื่อไปทำการตรวจหาเชื้อโรคในห้องแล็บอีกครั้ง [19] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
จำไว้ว่า คุณสามารถรักษาโรคติดเชื้อในช่องหูหลายอย่างได้เองจากที่บ้าน. โรคติดเชื้อในช่องหูหลายอย่างอาจหายไปเองเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง โดยไม่ต้องรักษา โดยบางอาการก็หายไปใน 2-3 วัน และอาการของโรคติดเชื้อในช่องหูส่วนใหญ่จะหายไปใน 1-2 สัปดาห์เท่านั้น ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม สถาบันกุมารแพทย์และสถาบันแพทย์ประจำบ้าน แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ต่างสนับสนุนให้ใช้วิธีเฝ้าระวังโรคมากกว่า ขอเพียงทำตามแนวทางดังนี้: [20] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- เด็กอายุ 6 – 23 เดือน: เฝ้าระวัง หากเด็กมีอาการปวดหูเล็กน้อยในหูข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเวลาน้อยกว่า 48 ชั่วโมง และมีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 39 องศาเซลเซียส
- เด็กอายุ 24 เดือนขึ้นไป: เฝ้าระวัง หากเด็กมีอาการปวดหูเล็กน้อย ในหูข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง เป็นเวลาน้อยกว่า 48 ชั่วโมง และมีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่า 39 องศาเซลเซียส
- หากมีอาการเกิน 48 ชั่วโมงเมื่อไร ควรพาไปพบแพทย์ทันที ซึ่งแพทย์มักจะเริ่มด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ และไม่ให้ลุกลามไปเป็นการติดเชื้อรุนแรงที่พบได้ยากและมีอันตรายแก่ชีวิต
- ในรายที่หายาก อาจมีอาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นอย่างเช่น อาการปุ่มกกหูของกระดูกขมับอักเสบ รวมถึงอาการติดเชื้อลุกลามไปสู่สมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และอาการสูญเสียการได้ยิน [21] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ระมัดระวัง หากต้องพาเด็กขึ้นเครื่องบินในช่วงที่เป็นโรคติดเชื้อในช่องหู. เด็กที่ยังมีอาการของโรคติดเชื้อในช่องหูอยู่ จะมีความเสี่ยงต่ออาการ บาดเจ็บจากแรงดัน ซึ่งจะเกิดขึ้นเวลาที่บริเวณหูชั้นกลางพยายามปรับตัวให้เข้ากับระดับแรงดัน เมื่ออยู่บนที่สูง การเคี้ยวหมากฝรั่งในช่างที่เครื่องกำลังขึ้นและลง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการดังกล่าวได้ [22] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- หากคุณมีเด็กทารกที่เป็นโรคติดเชื้อในช่องหู การให้เด็กดูดนมจาดขวดนม ระหว่างที่เครื่องกำลังขึ้นและลง ก็จะช่วยลดแรงดันในช่องหูได้เช่นกัน
โฆษณา
-
การซื้อยาแก้ปวดทานเองตามร้านขายยา. หากอาการปวดหูไม่บรรเทาลง และไม่เกิดอาการข้างเคียงอื่นใดอีก คุณสามารถเลือกทานยาแก้ปวดประเภท Ibuprofen หรือ Acetaminophen ได้ ตัวยาดังกล่าวยังช่วยให้อาการไข้ของเด็กลดลง และทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นด้วย
- อย่าใช้ยาแอสไพรินกับเด็กที่อายุ ต่ำกว่า 18 ปี เพราะอาจก่อให้เกิดภาวะ Reye's syndrome ซึ่งสามารถทำให้เกิดความเสียหายต่อสมอง และมีปัญหาเกี่ยวกับตับได้ [23] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การใช้ยาแก้ปวด ต้องคำนึงเรื่องปริมาณหรือขนาดความแรงของยา ให้เหมาะสมกับช่วงอายุของเด็กด้วย โดยต้องอ่านฉลากให้ละเอียดหรือปรึกษากุมารแพทย์ด้วย
- อย่าใช้ยาประเภท Ibuprofen กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน
-
ใช้วิธีประคบน้ำอุ่น. การหาอะไรอุ่นๆ มาประคบในบริเวณที่ปวดหู ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้มาก ซึ่งคุณอาจใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นและบิดหมาดๆ [24] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
พักผ่อนให้มากๆ. ร่างกายของคนเราต้องการพักผ่อนมากเป็นพิเศษ เพื่อฟื้นฟูตัวเองในช่วงที่มีอาการติดเชื้อ [27] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง อย่าหักโหมเกินไป ในระหว่างที่มีอาการติดเชื้อ โดยเฉพาะหากมีไข้ร่วมด้วย
- กุมารแพทย์มักจะไม่แนะนำให้เด็กหยุดเรียน ในกรณีที่เด็กมีอาการของโรคติดเชื้อในช่องหู เว้นเสียแต่ว่าเด็กคนนั้นจะมีไข้ อย่างไรก็ตาม หากเป็นลูกหลานของคุณ คุณควรตรวจสอบดูด้วยว่า เด็กคนดังกล่าวได้รับการพักผ่อนเพียงพอหรือไม่
-
พยายามอย่าขาดน้ำ. โดยเฉพาะหากมีไข้ร่วมด้วยแล้ว คุณควรดื่มน้ำมากเป็นพิเศษ [28] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- สถาบันการแพทย์ได้แนะนำว่า หากคุณเป็นโรคติดเชื้อในช่องหู ผู้ชายควรดื่มน้ำอย่างน้อย 13 แก้วหรือ 3 ลิตร ส่วนผู้หญิงควรดื่มน้ำอย่างน้อย 9 แก้วหรือ 2.2 ลิตรต่อวัน [29] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ใช้วิธีการแบบ Valsalva's Maneuver ในกรณีที่ไม่มีอาการปวด. เทคนิค Valsalva's Maneuver สามารถนำมาใช้เพื่อเคลียร์ท่อยูสเตเชียนให้โล่งขึ้น และแก้อาการอึดอัดในช่องหู ซึ่งเกิดจากโรคหูชั้นกลางอักเสบ แต่คุณควรใช้เทคนิคดังกล่าว ในกรณีที่คุณไม่มีอาการปวดเท่านั้น [30] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- สูดลมหายใจเข้าและหุบปากสนิท
- ใช้นิ้วอุดหรือหนีบจมูกไว้ จากนั้นค่อยๆ หายใจออกเบาๆ ช้าๆ
- อย่าหายใจออกแรง ไม่งั้นเยื่อแก้วหูจะอักเสบได้ หากทำถูกวิธีอาจจะมีเสียงดังป๊อบออกมา
-
หยอดน้ำมันกระเทียม หรือน้ำมันดอกคฑาอุ่นๆ สักสองสามหยด. น้ำมันกระเทียม และน้ำมันดอกคฑา (Mullein) เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เหมือนยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติ และช่วยให้บรรเทาอาการปวดหูจากการติดเชื้อได้ อุ่นสักนิดอย่าให้ร้อน ก่อนจะนำไปใส่ในที่หยอดตา เพื่อนำมาหยอดหูสักสองสามหยดในแต่ละข้างก็พอ [31] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- คุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีดังกล่าวกับเด็ก
-
ลองรักษาโดยใช้ยาสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ. ผลการศึกษาแห่งหนึ่งพบว่า ยาสกัดจากพืชสมุนไพรตามธรรมชาติที่ชื่อว่า Otikon Otic solution (ของบริษัท Healthy-On) อาจช่วยรักษาอาการปวดของโรคติดเชื้อในช่องหู (ในประเทศไทย หาซื้อได้เฉพาะตามเว็บไซท์หรือทางออนไลน์) [32] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีข้างต้นเช่นกัน และไม่แนะนำให้ใช้ยาใดๆ กับเด็กจนกว่าจะได้ปรึกษากุมารแพทย์ก่อน
โฆษณา
-
เฝ้าระวังอาการของโรคติดเชื้อในช่องหูให้ดี. พยายามตรวจวัดอุณหภูมิของเด็กตลอดเวลา และมองหาอาการอื่นๆ ร่วมด้วย
- หากเด็กมีไข้ หรือมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัด เช่น คลื่นไส้และอาเจียน แสดงว่าอาการติดเชื้อเริ่มรุนแรงขึ้น และการรักษาเองที่บ้านไม่ได้ผลแล้ว
- อาการที่คุณควรไปพบแพทย์ทันทีที่เกิดขึ้น เช่น เด็กมีอาการสับสนมึนงง คอแข็งๆ และบวมน้ำ มีอาการปวด และเป็นสีแดงบริเวณรอบหู สัญญาณเหล่านี้ บ่งบอกว่า เชื้อโรคเริ่มแพร่แล้ว และจำเป็นต้องได้รับกรรักษาทางการแพทย์ด้วย
-
สังเกตดู กรณีที่มีอาการปวดหูรุนแรง ตามด้วยอาการปวดหายไป. หากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าเยื่อแก้วหูอาจจะแตกร้าว ซึ่งจะส่งผลให้สูญเสียการได้ยินไปชั่วคราว และยังทำให้ช่องหูของคุณยิ่งได้รับเชื้อโรคและแพร่กระจายง่ายยิ่งขึ้นไปอีก [33] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- นอกจากอาการปวดที่หายไปแล้ว ยังอาจมีของเหลวไหลออกจากหูด้วย
- แม้ว่าอาการเยื่อบุแก้วหูแตก อาจจะดีขึ้นภายในสองสามสัปดาห์โดยไม่รักษา แต่ปัญหาข้างเคียงอาจยังมีอยู่ และยังจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ [34] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
โทรหรือไปพบแพทย์ทันที หากอาการแย่ลงใน 48 ชั่วโมงแรก. แม้ว่าแพทย์จะแนะนำให้รอเฝ้าดูอาการในช่วง 48 ชั่วโมงแรก แต่หากมีอาการแย่ลงภายในช่วงเวลาดังกล่าว คุณก็ควรโทรหาหรือไปพบแพทย์ทันที ซึ่งแพทย์อาจจะแนะนำยาปฏิชีวนะหรือการรักษาแบบเข้มข้นกว่าเดิมให้ [35] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
พาเด็กหรือตัวคุณเองไปทดสอบการได้ยิน หากมีของเหลวคั่งในหูอยู่อีกหลังจาก 3 เดือนไปแล้ว. เนื่องจากมันอาจเป็นสัญญาณของปัญหาในการได้ยินอื่นๆ ร่วมด้วย [36] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- บางครั้ง การสูญเสียการได้ยินขั่วคราวอาจเกิดขึ้น ซึ่งน่ากังวลมาก โดยเฉพาะในเด็กตั้งแต่ 2 ขวบลงไป
- หากลูกหลานของคุณดังกล่าว มีอายุน้อยกว่า 2 ขวบ และมีอาการของเหลวคั่งในหู รวมถึงมีปัญหาการได้ยิน แพทย์อาจไม่รอถึงสามเดือนก่อนจะเริ่มรักษา เพราะหากปล่อยไว้ ในวัยนี้อาการดังกล่าวอาจลุกลามไปถึงขั้นมีปัญหาการพูด รวมถึงปัญหาพัฒนาการด้านอื่นๆ ด้วย
โฆษณา
-
ขอยาแก้อักเสบจากแพทย์ของคุณ. ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบ จะไม่สามารถช่วยรักษาโรคติดเชื้อในช่องหูได้ หากเกิดจากเชื้อไวรัส ดังนั้น แพทย์ของคุณอาจจะจ่ายยาตัวอื่นหรือใช้วิธีรักษาอื่นๆ ในบางครั้ง แต่หากเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน แพทย์จะให้ยาแก้อักเสบเสมอ [37] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อย่าลืมบอกแพทย์เกี่ยวกับประวัติการใช้ยาแก้อักเสบของคุณ แพทย์จะได้รู้ว่าควรให้ยาตัวไหนจึงจะเหมาะที่สุด
- พยายามทานยาให้ตรงตามขนาดและอย่าขาดช่วง เพื่อผลในการรักษาโรคติดเชื้อในช่องหูอย่างมีประสิทธิภาพและไม่กลับมาเป็นอีก
- อย่าหยุดกินยาแก้อักเสบ ต่อให้รู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม พยายามกินให้หมดจนครบขนาดที่แพทย์สั่ง การหยุดกินยาก่อนที่จะครบตามจำนวน อาจทำให้แบคทีเรียที่ยังหลงเหลืออยู่ กลับมาและดื้อยาตัวเดิมได้ ทำให้อาการของคุณรักษายากยิ่งขึ้นไปอีก [38] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ขอให้แพทย์จ่ายยาหยอดหูให้ด้วย. ยาหยอดหูที่มีตัวยาประเภท Antipyrine-Benzocaine-Glycerin (เช่น ยี่ห้อ Aurodex) สามารถช่วยให้อาการปวดของโรคติดเชื้อในช่องหูบรรเทาลงได้ แต่แพทย์จะไม่จ่ายยานี้ให้แก่ผู้ที่มีอาการเยื่อแก้วหูเป็นรูหรือฉีกขาด [39] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- การหยอดหูให้เด็ก คุณควรอุ่นยาก่อน ด้วยการนำขวดยาไปวางไว้ในน้ำอุ่น หรือเอามือคุณสองข้างประคบไว้สักพัก [40] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง ให้เด็กนอนตะแคง หันหูข้างที่เป็นโรคติดเชื้อในช่องหูขึ้นมา หยอดตามปริมาณที่แพทย์สั่ง พยายามให้เด็กนอนอยู่ในท่าดังกล่าวค้างไว้ สัก 2 นาทีหลังจากหยอด
- ตัวยา Benzocaine มีฤทธิ์ด้านชา (ทำให้เกิดความรู้สึกเย็นจัดสลับกับร้อนวูบวาบ) ดังนั้น หากคุณจะหยอดหูตัวเอง ควรให้ผู้อื่นหยอดให้ อย่าให้ตัวที่หยอดสัมผัสถูกหูของคุณ [41] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ตัวยา Benzocaine อาจทำให้คุณมีอาการผื่นแดงและคัน มันยังถูกพบว่า มีความเชื่อมโยงในทางลบกับระดับออกซิเจนในเลือด ถึงแม้จะไม่ได้พบบ่อยก็ตาม ดังนั้น คุณไม่ควรใช้เกินขนาดที่แพทย์กำหนด และปรึกษาแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าคุณใช้ได้ขนาดตามที่เหมาะสมกับเด็ก [42] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
สอบถามแพทย์เกี่ยวกับการใส่ท่อในหู หากโรคติดเชื้อในช่องหูกลับมาอีก. การกลับมาเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบอีกครั้ง อาจทำให้แพทย์เลือกใช้วิธีการผ่าตัดเจาะเยื่อแก้วหู (Myringotomy) ทั้งนี้ การกลับมาเป็นซ้ำที่ทำให้แพทย์อาจใช้วิธีการดังกล่าว หมายถึง การมีอาการกลับมาประมาณ 3 รอบในช่วงหกเดือนล่าสุด หรือ 4 รอบในช่วงปีล่าสุด (โดยเกิดขึ้นอย่างน้อย 1 รอบในหกเดือนล่าสุด) นอกจากนี้ ผู้ที่รักษาโรคติดเชื้อในช่องหูไม่หายด้วยวิธีอื่นๆ แพทย์ก็อาจจะใช้การผ่าตัดเจาะเยื่อแก้วหูเช่นกัน [43] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- การผ่าตัดใส่ท่อในแก้วหูหรือ Myringotomy นั้น ผู้เข้ารับการรักษาไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยศัลแพทย์จะสอดท่อเล็กๆ ลงไปในเยื่อแก้วหู เพื่อให้ของเหลวไหลออกมาได้ง่ายขึ้น ซึ่งท่อดังกล่าวมักจะหลุดออกมาได้เอง หรือไม่แพทย์ก็แค่ดึงออกมา จากนั้น เยื่อแก้วหูก็จะปิดเองโดยอัตโนมัติ [44] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการผ่าตัดต่อมอดีนอยด์ ที่มีอาการบวมออกไป. หากคุณมีอาการบวมบริเวณต่อมอดีนอยด์ ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านหลังโพรงจมูก ก็อาจจะจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอาออก [45] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [46] X แหล่งข้อมูลอ้างอิงโฆษณา
-
อัพเดทการฉีดวัคซีนเสมอ. การติดเชื้อรุนแรงหลายๆ อย่าง สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหวัดตัวใหม่ทุกปี รวมถึงวัคซีนป้องกันปอดอักเสบ ก็มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคติดเชื้อในช่องหู [47] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- คุณและคนในครอบครัว ควรไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหวัดทุกปี การทำเช่นนี้ จะช่วยให้คุณและคนในครอบครัวปลอดจากการติดเชื้อ [48] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Centers for Disease Control and Prevention ไปที่แหล่งข้อมูล
- ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ควรใช้วัคซีนป้องกันปอดอักเสบประเภท PCV13 สำหรับกรณีที่เป็นเด็ก ลองปรึกษากุมารแพทย์ในเรื่องนี้ดู [49] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
รักษาความสะอาดมือและของเล่นเด็กให้สะอาดเสมอ. ล้างมือและเช็ดทำความสะอาดของเล่นเด็กเนประจำ เพื่อลดโอกาสติดเชื้อ [50] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
หลีกเลี่ยงการให้เด็กทารกดูดจุกหลอก. จุกนมหลอกมักแฝงไว้ด้วยแบคทีเรีย รวมถึงแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการของโรคติดเชื้อในช่องหูด้วย [51] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
พยายามให้เด็กดูดนมแม่แทนขวดนม. การให้เด็กดูดนมจากขวดนม จะทำให้มีนมไหลซึมออกด้านข้างได้ง่ายกว่าการดูดนมแม่ ดังนั้น โอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อก็มากขึ้นด้วย
- การให้เด็กดูดนมแม่ ยังทำให้ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ต่อสู้กับโรคติดเชื้อในช่องหูได้ง่ายขึ้น [52] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ HealthyChildren.org ไปที่แหล่งข้อมูล
- หากการให้เด็กดูดจากขวดเป็นเรื่องจำเป็น พยายามให้เด็กนั่งในท่าตรง เพื่อป้องกันนมรั่วไหลลงไปที่บริเวณหู [53] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- อย่าเอาขวดนมไว้กับเด็ก เวลาที่ให้เด็กนอนกลางวันหรือกลางคืนก็ตาม [54] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
หลีกเลี่ยงการไปในที่ต้องดมควันบุหรี่ของผู้อื่น. เพื่อป้องกันโอกาสของโรคติดเชื้อในช่องหู และเพื่อสุขภาพที่ดีด้วย
-
อย่าใช้ยาแก้อักเสบผิดวิธี. การใช้ยาแก้อักเสบต่อเนื่องนานเกินไป จะทำให้แบคทีเรียในตัวคุณหรือเด็ก มีอาการดื้อยาได้ พยายามใช้เฉพาะตามที่แพทย์สั่ง หรือเมื่อไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นๆ [55] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
หลีกเลี่ยง หรือระมัดระวังในการส่งลูกไปสถานรับเลี้ยงระหว่างวัน. สถานที่เหล่านี้จะทำให้เกิดโอกาสเสี่ยงติดเชื้อ หรือเป็นโรคติดเชื้อในช่องหูเพิ่มขึ้นอีก 50% เลยทีเดียว เนื่องจากความสะดวกในการแพร่เชื้อแบคทีเรียและไวรัส [56] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ PubMed Central ไปที่แหล่งข้อมูล
- หากคุณจำเป็นต้องส่งเด็กไป พยายามสอนวิธีการป้องกันการติดเชื้ออย่างไข้หวัดเบื้องต้นให้แก่เด็ก เพื่อลดโอกาสติดโรคติดเชื้อในช่องหู [57] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- สอนเด็กๆ ว่า อย่าเอานิ้วหรือของเล่นเข้าปาก และอย่าเอามือไปจับใบหน้าด้วย โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นเยื่ออ่อน เช่น ริมฝีปาก ตา และจมูก รวมถึงล้างมือทุกครั้งหลังทานข้าว และหลังเข้าห้องน้ำ [58] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะโปรไบโอติกส์. ทานอาหารเช่น ผักและผลไม้สดให้หลากหลาย รวมถึงธัญพืชไม่ขัดสีและลีนโปรตีน ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ผลการศึกษาบางแห่งยังพบว่า อาหารที่มีโปรไบโอติกส์ก็มีส่วนช่วยป้องกันโรคติดเชื้อในช่องหูได้ด้วย [59] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- แบคทีเรีย Acidophilus ซึ่งมีมากในโยเกิร์ต ก็อุดมไปด้วยโปรไบโอติกส์เช่นกัน
โฆษณา
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/2732519
- ↑ http://pediatrics.aappublications.org/content/early/2013/02/20/peds.2012-3488
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/6117681
- ↑ http://www.nidcd.nih.gov/health/hearing/pages/earinfections.aspx
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/wilderness_ear_infection/article_em.htm
- ↑ http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
- ↑ http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
- ↑ http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/swimmers-ear/basics/symptoms/con-20014723
- ↑ http://www.nidcd.nih.gov/health/hearing/pages/earinfections.aspx#4
- ↑ http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/symptoms/con-20014260
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/tests-diagnosis/con-20014260
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/14506123
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/tests-diagnosis/con-20014260
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/complications/con-20014260
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1305770/
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/001565.htm
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
- ↑ http://everydayroots.com/how-to-make-your-own-hot-or-cold-compress
- ↑ http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
- ↑ http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
- ↑ http://www.mckinley.illinois.edu/handouts/ear_infection/ear_infection_.htm
- ↑ http://www.mayoclinic.org/healthy-living/nutrition-and-healthy-eating/in-depth/water/art-20044256
- ↑ http://umm.edu/health/medical/reports/articles/ear-infections
- ↑ http://www.webmd.com/ear-infection?page=2
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11434846
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ruptured-eardrum/basics/definition/con-20023778
- ↑ http://www.mayoclinic.com/health/ruptured-eardrum/DS00499
- ↑ http://www.webmd.com/cold-and-flu/ear-infection/ear-infections-home-treatment
- ↑ http://www.webmd.com/cold-and-flu/ear-infection/ear-infections-treatment-overview?page=2
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
- ↑ http://www.tufts.edu/med/apua/about_issue/about_antibioticres.shtml
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
- ↑ http://www.medicinenet.com/antipyrine_with_benzocaine-otic/article.htm
- ↑ http://www.medicinenet.com/antipyrine_with_benzocaine-otic/article.htm
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/treatment/con-20014260
- ↑ http://www.webmd.com/cold-and-flu/ear-infection/understanding-otitis-media-treatment?page=2
- ↑ http://www.nidcd.nih.gov/health/hearing/pages/earinfections.aspx#4
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/ear-infections/basics/prevention/con-20014260
- ↑ http://www.cdc.gov/flu/protect/keyfacts.htm
- ↑ http://www.nidcd.nih.gov/health/hearing/pages/earinfections.aspx#4
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
- ↑ https://www.healthychildren.org/English/ages-stages/baby/breastfeeding/Pages/Breastfeeding-Benefits-Your-Baby's-Immune-System.aspx
- ↑ http://www.webmd.com/cold-and-flu/ear-infection/understanding-otitis-media-treatment?page=2
- ↑ http://www.nidcd.nih.gov/health/hearing/pages/earinfections.aspx#4
- ↑ http://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000638.htm
- ↑ http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/8783714
- ↑ http://www.entnet.org/content/day-care-and-ear-nose-and-throat-problems
- ↑ http://www.entnet.org/content/day-care-and-ear-nose-and-throat-problems
- ↑ http://umm.edu/health/medical/reports/articles/ear-infections
โฆษณา