ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

Bronchitis ก็คือโรค[หลอดลมอักเสบ Bronchi หรือหลอดลมก็คือช่องทางหลักที่ต่อไปยังปอด ที่หลอดลมอักเสบ เป็นได้ทั้งไวรัส แบคทีเรีย ภูมิแพ้ และแพ้ภูมิตัวเอง อาการที่เห็นเด่นชัดคือไอเยอะและนาน [1] ถ้าเป็นหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (acute bronchitis) จะมีอาการหลายอาทิตย์ แต่ถ้าหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (chronic bronchitis) จะเป็นต่อเนื่องยาวนาน หลายเดือนขึ้นไป แต่ละปีจะมีคนมาหาหมอเพราะเป็นหลอดลมอักเสบประมาณ 10 – 12 ล้านคน แต่ตรวจแล้วพบว่าส่วนใหญ่เป็นหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งดูแลตัวเองได้ และจะหายไปเองในไม่นาน [2]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

ดูแลตัวเองเมื่อเป็นหลอดลมอักเสบ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. [3] ดื่มน้ำเยอะๆ ตอนป่วยนี่แหละ ที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีและกลับมาทำงานเต็มประสิทธิภาพตามเดิม ให้ดื่มน้ำ 8 ออนซ์ (250 มล. หรือก็คือ 1 ถ้วยตวง) ทุก 1 - 2 ชั่วโมง
    • ดื่มน้ำเยอะๆ แล้วช่วยให้เสมหะไม่เหนียวข้น ช่วยเรื่องการทำงานของร่างกาย [4]
    • ถ้ามีโรคประจำตัวหรือโรคแทรกซ้อน แล้วคุณหมอจำกัดปริมาณน้ำที่จะดื่มได้ในแต่ละวัน ก็ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด
    • เครื่องดื่มประจำวันควรเน้นน้ำเปล่าเป็นหลัก หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ที่แคลอรี่ต่ำ ไม่มากเกินไปสำหรับร่างกาย
    • ซุปใส แกงจืด เครื่องดื่มเกลือแร่เจือจาง หรือน้ำมะนาวอุ่นๆ ผสมน้ำผึ้ง นี่แหละดี นอกจากร่างกายชุ่มชื้นแล้ว เครื่องดื่มร้อนยังช่วยบรรเทาอาการระคายคอจากการไอนานๆ
    • อย่าดื่มอะไรที่ผสมคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ เพราะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้
  2. พยายามนอนพักให้มากที่สุด หรือก็คืออย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อวัน แต่ถ้าป่วย ไม่สบายตัว จนนอนไม่ค่อยหลับ ก็ขอให้ได้นอนเหยียดยาวพักผ่อนหน่อย
  3. ถ้าแค่ทำกิจวัตรประจำวันนั้นไม่เป็นไร แต่อย่าเพิ่งออกกำลังกายปานกลางหรือหนัก เพราะจะไปกระตุ้นให้ไอหนักกว่าเดิม เป็นภาระของระบบภูมิคุ้มกัน
  4. [6] ใครเปิดแอร์ตลอดจนอากาศแห้ง ก่อนนอนให้เปิดเครื่องทำความชื้น แล้วทิ้งไว้ตลอดคืน จากนั้นหายใจเอาอากาศอุ่นๆ ชื้นๆ เข้าไป เสมหะก็จะเหนียวข้นน้อยลง หายใจสะดวกขึ้น ไม่ทรมานเวลาไอ
    • เวลาทำความสะอาดเครื่องทำความชื้น ให้ทำตามขั้นตอนในคู่มือ ถ้าไม่ทำความสะอาด ระวังแบคทีเรียและเชื้อราจะขยายพันธุ์อยู่ในที่ใส่น้ำ แล้วกระจายออกมาในอากาศ แบคทีเรียและเชื้อราในอากาศนี่แหละที่ทำให้หลอดลมอักเสบหนักกว่าเดิม หรือเกิดโรคแทรกซ้อน
    • หรือถ้าไม่ใช้เครื่องทำความชื้น ก็ปิดประตูห้องน้ำ เปิดน้ำร้อนจากฝักบัวสัก 30 นาที แล้วนั่งอบไอน้ำในนั้นแทน ไอร้อนที่คละคลุ้งอยู่ในห้องจะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้นเหมือนเวลาใช้เครื่องทำความชื้นเลย
  5. มลภาวะและอากาศเย็นจัด จะทำให้อาการคุณแย่ลง ถึงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดหรือหลีกเลี่ยงฝุ่นผงต่างๆ ในอากาศได้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยให้ลองทำตามวิธีง่ายๆ ต่อไปนี้ดู
    • เลิกสูบบุหรี่ และอย่าไปอยู่ใกล้คนที่สูบ เพราะควันบุหรี่นี่แหละตัวระคายเคืองปอดลำดับต้นๆ เลย นอกจากนี้พวกสิงห์อมควัน ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังด้วย
    • สวมหน้ากากป้องกันกลิ่นสีทาบ้าน น้ำยาทำความสะอาด น้ำหอม หรือกลิ่นควันฉุน เสียดแทงจมูก
    • ถ้าต้องออกจากบ้านตอนอากาศหนาว (ที่นานๆ มาที) หรือต้องอยู่ในห้องแอร์เย็นจัด ให้ใส่หน้ากากอนามัย เพราะอากาศเย็นจัดจะทำให้หลอดลมหดตัว ไอหนักกว่าเดิม จนหายใจไม่สะดวก พอใส่หน้ากากอนามัยแล้วจะทำให้ลมหายใจอุ่นก่อนหายใจกลับเข้าไป
  6. [7] ยาน้ำแก้ไอตามร้านขายยา อย่ากินพร่ำเพรื่อ ให้ใช้เฉพาะตอนที่ไอหนักมากจนทำอะไรไม่สะดวก แต่ถ้ามีอาการทั่วไป การไอจะช่วยขับเสมหะตามธรรมชาติ ไม่ให้คั่งค้างอยู่ในปอดจนติดเชื้อหนักกว่าเดิม เลยไม่แนะนำให้กินยาแก้ไอหรืออะไรที่ไปยับยั้งกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกาย ระหว่างพักรักษาตัว
    • ปกติยาแก้ไอจะเป็น suppressant หรือยายับยั้งอาการ โดยจะไปหยุดหรือลดอาการไอ ทำให้ไอน้อยลงและลดเสมหะ
    • ถ้าไอหนักจนนอนไม่ได้ หรือไอแรงจนเจ็บหน้าอก ให้บรรเทาอาการชั่วคราวด้วยยาตัวอื่นแทนยาแก้ไอ
    • ปกติคุณซื้อยาแก้ไอกินเองได้ แต่แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอก่อน
  7. ยาขับเสมหะที่ขายกันทั่วไป กินแล้วจะไอมากขึ้นเพื่อขับเสมหะ คนที่เป็นโรคหลอดลมอักเสบ จะเสี่ยงเป็นโรคปอดบวมหรือติดเชื้อรุนแรงมากกว่าคนปกติ เพราะเสมหะเยอะเป็นพิเศษ คุณหมอมักแนะนำให้กินยาขับเสมหะ โดยเฉพาะถ้าคุณไอแห้ง ไม่ได้ขับเสมหะออกมาเอง
  8. แต่ถึงจะศึกษาแล้วก็ควรปรึกษาคุณหมอก่อนใช้ เพราะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับ ว่าใช้สมุนไพรแล้วรักษาโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันได้ผลไหม มีประสิทธิภาพแค่ไหน แค่ว่าหลายคนใช้กันแล้วไม่เกิดอันตราย แต่ก็มีงานวิจัยเบื้องต้นที่ชี้ว่าใช้ South African geranium ( Pelargonium sidoides ) แล้วผู้ป่วยอาการดีขึ้น ส่วนอีกงานวิจัยก็พบว่าผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นหลังใช้สมุนไพร เมื่อเทียบกับการใช้ placebo (ยาหลอก)
    • หวัดธรรมดาเป็นแล้วก็อาจลามไปเป็นโรคหลอดลมอักเสบได้ เพราะงั้นอย่างน้อยการใช้สมุนไพรก็ช่วยป้องกันไม่ให้คุณเป็นหวัด เลยช่วยป้องกันโรคหลอดลมอักเสบไปด้วยในตัว บางสมุนไพรมีคนศึกษาวิจัยแล้วว่าใช้แล้วเห็นผลกว่าชนิดอื่น เช่น echinacea (300 มก. 3 ครั้งต่อวัน), กระเทียม และโสม (400 มก. ต่อวัน)
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

หาหมอ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้ามีอาการของโรคหลอดลมอักเสบนานเกิน 1 อาทิตย์ โดยไม่หาย ไม่ดีขึ้น ก็คือถึงเวลาต้องไปหาหมอ โดยเฉพาะถ้าอาการหนักขึ้น
    • หาหมอเลยถ้าไอติดต่อกันนานเป็นเดือน
    • หาหมอเลยถ้าไอเป็นเลือด หายใจติดขัด มีไข้ หรืออ่อนแรง อ่อนเพลีย ไม่สบายตัวเป็นพิเศษ [8] รวมถึงถ้าเท้าบวม เพราะภาวะหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure) จะทำให้น้ำท่วมปอดได้ จนไอเรื้อรัง บางคนเลยเข้าใจว่าตัวเองเป็นแค่หลอดลมอักเสบ
    • หาหมอเลยถ้าไอแล้วมีรสแปลกๆ ในปาก เพราะมักเป็นกรดในกระเพาะ ที่ไหลย้อนขึ้นมาในปอดตอนคุณหลับ แบบนี้คุณหมอจะจ่ายยาลดกรดให้
  2. คุณหมออาจจ่ายยาปฏิชีวนะให้ ถ้าสันนิษฐานว่าคุณน่าจะติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ถ้าเป็นโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันจากไวรัส ก็ไม่มีอะไรรับรองได้ ว่าใช้ยาปฏิชีวนะแล้วจะรักษาแล้วเห็นผล [9]
    • ถ้าเป็นเคสปกติ คุณหมอจะไม่จ่ายยาปฏิชีวนะให้ เพราะโรคหลอดลมอักเสบมักเกิดจากไวรัส ซึ่งยาปฏิชีวนะเอาไว้ต้านแบคทีเรีย
    • ถ้าเริ่มไอแบบมีเสมหะเยอะกว่าเดิม หรือเสมหะเหนียวข้นขึ้น เป็นไปได้ว่าติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งก็เข้าข่ายที่คุณหมอจะจ่ายยาปฏิชีวนะให้ คุณก็ต้องกินไปจนครบตามที่คุณหมอสั่ง หรือก็คือประมาณ 5 - 10 วัน
  3. ปรึกษาคุณหมอเรื่องใช้ยาพ่นขยายหลอดลม (bronchodilator). ปกติจะใช้กับคนเป็นหอบหืด แต่คุณหมอก็อาจจ่ายให้ในกรณีที่คุณเป็นหลอดลมอักเสบจนหายใจไม่สะดวก
    • ยาขยายหลอดลมมักมาในรูปของยาที่ใช้ฉีดพ่นแล้วสูดดมเข้าไป โดยพ่นเข้าหลอดลมโดยตรง ช่วยขยายหลอดลม ให้เสมหะหายเหนียวข้น หายใจสะดวก
  4. ปรึกษาคุณหมอเรื่องฟื้นฟูสมรรถภาพปอด (pulmonary rehabilitation). [10] ถ้าคุณเป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ก็ต้องบำบัดรักษากันในระยะยาว เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ปอดที่อ่อนแอ การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด เป็นโปรแกรมบริหารฝึกลมหายใจ นักบำบัดระบบหายใจ (respiratory therapist) จะทำงานร่วมกันกับคุณ เพื่อออกแบบโปรแกรมบริหารให้เหมาะสมตรงจุด ค่อยๆ ปรับให้คุณหายใจสะดวกขึ้น และปอดกลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตามเดิม
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคหลอดลมอักเสบ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เป็นโรคที่พบได้ทุกเพศทุกวัย อาการที่เห็นเด่นชัดของโรคหลอดลมอักเสบ ก็คือมีการอักเสบในหลอดลมและหลอดลมฝอย (bronchioles) จากการติดเชื้อหรือสารเคมีที่ทำให้เกิดการระคายเคือง [11] เชื้อที่ว่าเป็นได้ทั้งไวรัสและแบคทีเรีย อีกทีคือสารเคมีที่เป็นตัวกระตุ้น
    • บทความนี้เน้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันที่ไม่ร้ายแรง เพราะอาการของโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังก็จะแตกต่างออกไป และต้องพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาโดยเร็ว โรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันจะพบบ่อยกว่า เรียกว่าทุกคนต้องเคยเป็นสักครั้งในชีวิต และเป็นโรคที่แทบทุกเคสจะดูแลตัวเองได้จนหายขาด แต่ต้องพักผ่อน ดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี และอาศัยเวลา [12]
  2. อย่างที่บอกว่าโรคนี้ปกติหายเองได้ ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ในบางราย อาจจะไอต่อเนื่องหลายอาทิตย์ การรักษาโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันจะเน้นบรรเทาอาการ แล้วพักผ่อนช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเองจนหายดี [13]
    • ปกติเป็นโรคหลอดลมอักเสบแล้วไม่ต้องตรวจร่างกายเพิ่มเติมเป็นพิเศษ [14] โดยคุณหมอจะวินิจฉัยจากอาการที่เป็น
    • ปกติเป็นโรคหลอดลมอักเสบแล้วคุณดูแลตัวเองจนหายได้ ไม่ต้องหาหมอ เว้นแต่มีการติดเชื้อหรือโรคแทรกซ้อน
  3. ผู้ป่วยโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันมักมีอาการไอบ่อยกว่าปกติ โดยไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หอบหืด, โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), โรคปอดบวม (pneumonia) หรือไข้หวัดธรรมดา [15]
    • อาการไอตามปกติของโรคหลอดลมอักเสบ จะเป็นไอแห้ง แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นไอมีเสมหะตามระยะของโรค นอกจากนี้ก็มีอาการเจ็บคอและปอด (เจ็บแน่นหน้าอก) เพราะระคายคอหรือมีเสมหะจนไอแรง ไอบ่อย [16]
    • นอกจากคอแดง (คอหอยติดเชื้อ) แล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการอื่นเพิ่มเติมด้วย เช่น หายใจลำบาก (Dyspnea), มีเสียงวี้ดตอนหายใจเข้าหรือออก, มีไข้สูงเกิน 38°C (101°F) และมีอาการอ่อนเพลีย
  4. นอกจากอาการทั่วไปแล้ว ยังมีหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงการเกิดหลอดลมอักเสบได้ เช่น เป็นผู้สูงอายุหรือเด็กอ่อน, มลพิษทางอากาศ, การสูบบุหรี่หรือควันบุหรี่มือสอง, สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง, ไซนัสอักเสบเรื้อรัง (chronic Sinusitis), โรคภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ (bronchopulmonary allergy), มีเชื้อ HIV, เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง หรือโรคกรดไหลย้อน (gastroesophageal reflux disease (GERD)) [17]
    • ในคนที่สุขภาพแข็งแรงดี เป็นโรคหลอดลมอักเสบแล้วเดี๋ยวก็หายเอง ไม่ต้องไปหาหมอ ซึ่งแนวทางในการรักษาส่วนใหญ่ก็ไม่แนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ถ้ามีหลายอาการและเป็นต่อเนื่องนานเกิน 1 เดือน หรือกังวลเรื่องอะไร ก็ควรไปหาหมอเพื่อเอ็กซเรย์หรือส่งตัวอย่างทดสอบในห้องแล็บต่อไป [18]
    โฆษณา

คำเตือน

  • ถึงจะมีอาการไม่มาก แต่ถ้าผู้ป่วยเป็นคนชราก็อาจลุกลามเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัวหรือโรคอื่นอยู่แล้ว เช่น ไข้หวัดใหญ่, โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง หรือภาวะหัวใจล้มเหลว
  • ถ้าเด็กเป็นโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน ก็ควรสังเกตอาการอื่นๆ ในระบบทางเดินหายใจที่อาจเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะถ้าลูกคุณกลับมาเป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื่อยๆ แปลว่าอาจมีโรคอื่นเป็นสาเหตุ หรือทางเดินหายใจผิดปกติ ถ้าปกติเด็กภูมิต้านทานต่ำ หรือเป็นโรคหอบหืดเรื้อรังอยู่แล้ว ยิ่งต้องพาไปหาหมออย่างเดียว ถ้าเด็กที่ยังเล็กมากเกิดเป็นโรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลันจากไวรัส RSV (respiratory syncytial virus) ถือว่าอันตรายมาก [19] สรุปแล้วถ้ามีลูกเล็กแล้วแสดงอาการของโรคหลอดลมอักเสบ ให้รีบพาไปหาหมอจะดีที่สุด
โฆษณา
  1. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/bronchitis/diagnosis-treatment/drc-20355572
  2. Wenzel RP, Fowler AA. Clinical practice. Acute bronchitis. N Engl J Med. 2006;355:2125–2130. 2. Albert RH. Diagnosis and treatment
  3. Wenzel RP, Fowler AA. Clinical practice. Acute bronchitis. N Engl J Med. 2006;355:2125–2130. 2. Albert RH. Diagnosis and treatment
  4. Wenzel RP, Fowler AA. Clinical practice. Acute bronchitis. N Engl J Med. 2006;355:2125–2130. 2. Albert RH. Diagnosis and treatment
  5. http://www.aafp.org/afp/1998/0315/p1270.htm
  6. Braman SS. Chronic cough due to acute bronchitis: ACCP evidencebased clinical practice guidelines. Chest. 2006;129:95S–103S
  7. Domino, F. (n.d.). The 5-minute clinical consult standard 2015 (23rd ed.).
  8. Domino, F. (n.d.). The 5-minute clinical consult standard 2015 (23rd ed.).
  9. http://www.emedicinehealth.com/acute_bronchitis/page5_em.htm
  10. Domino, F. (n.d.). The five-minute clinical consult standard 2015 (23rd ed.).

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 10,996 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา