ดาวน์โหลดบทความ
ดาวน์โหลดบทความ
โรคอีสุกอีใสเป็นการติดเชื้อพบได้ทั่วไป ซึ่งเป็นโรคที่ไม่รุนแรงสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพแข็งแรง (ในปัจจุบันอาจพบโรคนี้ได้น้อยลงเพราะมีวัคซีนป้องกันแล้ว) โรคอีสุกอีใสอาจสร้างปัญหาได้ในคนที่มีโรคบางอย่างหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่องเพราะผู้ป่วยเป็นโรคนี้จะมีแผลเล็กๆ ตามผิวหนังซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการคัน เจ็บแสบ พุพองและตกสะเก็ด อาจมีไข้และปวดหัวร่วมด้วย ขั้นตอนที่เรามีนี้จะช่วยให้คุณดูแลโรคอีสุกอีใสได้อย่างถูกต้องและบรรเทาอาการเจ็บปวดเหล่านี้ได้
ขั้นตอน
-
กินยาสามัญประจำบ้าน. เมื่อคุณหรือลูกหลานป่วยเป็นโรคอีสุกอีใส มักมีไข้ร่วมด้วย การสู้กับไข้และอาการปวดหัวต่างๆ เราสามารถใช้ยาแก้ปวดลดไข้ที่เรามีตามบ้าน เช่น พาราเซตามอล อะเซตามิโนเฟน ต้องอ่านฉลากข้างขวดก่อนใช้ยาเสมอ ถ้าไม่แน่ใจว่ายาที่มีนั้นปลอดภัยหรือไม่ ห้ามให้ผู้ป่วยหรือกินเองก่อนปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์เด็ดขาด
- ห้าม กินยาแอสไพรินหรือยาที่มีแอสไพรินเป็นส่วนประกอบเพื่อใช้ลดไข้หรืออาการอื่นๆ ของโรคอีสุกอีใส เพราะการกินแอสไพรินขณะที่เป็นโรคนี้ อาจทำให้เป็นโรคเรย์ซินโดรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อตับและสมองจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ [1] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Centers for Disease Control and Prevention ไปที่แหล่งข้อมูล
- ปรึกษาหมอว่าใช้ยาไอบูโพรเฟนได้หรือไม่ เพราะการใช้ยานี้กับผู้ป่วยบางคนอาจส่งผลที่เป็นอันตรายต่อผิวหนังและเกิดการติดเชื้อเพิ่มอีก [2] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล [3] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ลองกินยาแก้แพ้หรือยาต้านฮีสตามีน. อาการหลักของโรคอีสุกอีใสคืออาการคันอย่างมากตามตุ่มอีสุกอีใส ในหลายครั้งอาการคันนั้นคันจนแทบจะทนไม่ไหวและสร้างความทรมานให้กับผู้ป่วย เมื่ออาการเหล่านี้เกิดขึ้น สามารถกินยาแก้แพ้ที่มีขายตามร้านขายยาได้ เช่น เบนาดริล ไซร์เทก แคลริติน เพื่อช่วยลดอาการคันตามผิวหนัง ควรปรึกษาแพทย์สำหรับปริมาณยาที่ควรกินในเด็ก ยาแก้แพ้เหล่านี้ช่วยให้คุณหลับง่ายขึ้นในเวลากลางคืนได้ด้วย
-
ดื่มน้ำให้เพียงพอ. การดื่มน้ำให้เพียงพอสำคัญมากสำหรับคนที่เป็นอีสุกอีใส เพราะผู้ป่วยเป็นโรคนี้มักมีอาการขาดน้ำ ควรดื่มน้ำปริมาณมากทุกวัน รวมถึงอาจจะดื่มเกลือแร่ด้วยก็ได้
- ไอศกรีมหวานเย็นก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเด็กๆ เพื่อให้ได้รับน้ำอย่างพอเหมาะในแต่ละวันแทนการดื่มน้ำเปล่า [6] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Health Service (UK) ไปที่แหล่งข้อมูล
-
กินอาหารอ่อน. อาการเจ็บในช่องปากอาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยอีสุกอีใส ซึ่งแผลในปากอาจสร้างความรำคาญและความเจ็บปวดให้กับคุณได้ หากคุณกินอาหารแข็งๆ ลองกินอาหารอ่อนๆ เคี้ยวง่ายๆ เช่น ซุปอุ่นๆ ข้าวโอ๊ต พุดดิ้งหรือไอศกรีม ถ้าเจ็บแผลในช่องปากมาก ให้หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม เผ็ด เปรี้ยวและร้อนจัด
- คุณหรือลูกอาจอมน้ำแข็งก้อน หวานเย็นหรือลูกอมเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บในช่องปาก [7] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Health Service (UK) ไปที่แหล่งข้อมูล
-
อยู่บ้าน. ถ้าคุณหรือลูกป่วยเป็นอีสุกอีใส ให้อยู่บ้านมากเท่าที่จะมากได้ อย่าไปทำงานหรือไปโรงเรียนเพราะคุณคงไม่อยากแพร่เชื้อไวรัสอีสุกอีใสให้ใครใช่มั้ย เชื้ออีสุกอีใสแพร่ได้ง่ายมากผ่านทางอากาศหรือผ่านการสัมผัสตุ่มอีสุกอีใส นอกจากนี้คุณคงไม่อยากให้อาการของโรคที่เป็นอยู่มันแย่กว่าเดิมเพราะต้องเจอเชื้อโรคและผู้คนมากมายหรอก
-
ห้ามเกา. สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับอีสุกอีใสคือห้ามเกาตุ่มอีสุกอีใสเด็ดขาด การเกาจะทำให้อาการแย่ลง มักทำให้ระคายเคืองมากกว่าเดิมและอาจติดเชื้อได้ ถ้าเกามากเกินไป แผลจะกลายเป็นแผลเป็นเมื่อโรคอีสุกอีใสหาย
- การห้ามใจไม่ให้เกานั้นอาจจะยากมาก แต่ก็ต้องพยายามนะ [10] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Health Service (UK) ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ตัดเล็บ. แม้ว่าต้องห้ามเกาแผล แต่ในความเป็นจริงมักหลีกเลี่ยงได้ยาก ในเมื่อคุณหรือลูกที่ป่วยเป็นอีสุกอีใสมีแนวโน้มว่าต้องเกา ก็แนะนำให้ตัดเล็บให้สั้นและฝนให้เรียบ ถ้าหากเล็บยาวและไปเกาแผลจะทำให้แผลเปิด หายยาก เกาแล้วเจ็บและติดเชื้อได้ [11] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Health Service (UK) ไปที่แหล่งข้อมูล
-
ใส่ถุงมือ. ถ้าตัดเล็บสั้นแล้วก็ยังเกาบ่อยๆ อยู่ ให้ลองใส่ถุงมือดู อาจจะช่วยไม่ให้เกิดแผลได้ เพราะการเกาตุ่มอีสุกอีใสโดยใส่ถุงมือจะช่วยให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่าเพราะนิ้วได้รับการคลุมไว้แล้ว
- ถ้าหากคุณหรือลูกห้ามใจไม่เกาได้ ให้ใส่ถุงมือเฉพาะตอนกลางคืนเพราะอาจเผลอเกาตอนนอนได้ [12] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Health Service (UK) ไปที่แหล่งข้อมูล
-
แต่งตัวให้เหมาะสม. ผิวของผู้ป่วยอีสุกอีใสอาจมีเหงื่อและระคายเคืองมาก เพื่อหลีกเลี่ยงอาการระคายเคือง อย่าใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น ให้ใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ทำจากผ้าฝ้ายเป็นหลักเพราะผ้าฝ้ายจะระบายอากาศได้ดี ไม่ทำให้ผิวระคายเคืองและใส่สบาย
- อย่าใส่ผ้าแข็งๆ เช่น ผ้ายีนส์ ผ้าขนสัตว์ [13] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
อยู่ในที่เย็น. ผิวอาจจะระคายเคืองและร้อนได้ง่าย ซึ่งอาจเกิดจากตุ่มแผลและอาการมีไข้ ให้หลีกเลี่ยงสถานที่ที่ร้อนชื้นเพราะจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกร้อนกว่าเดิมและคันผิวหนังได้ ผู้ป่วยจึงไม่ควรออกจากบ้านไปเจออากาศร้อนชื้น และอยู่ภายในบ้านที่มีอุณหภูมิเย็นสบาย
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้อุณหภูมิร่ายกายเพิ่มสูงขึ้นและทำให้เหงื่อออก [14] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
-
ทาคาลาไมน์. โลชั่นคาลาไมน์เป็นทางเลือกที่ดีเพื่อช่วยรักษาอาการคันและตุ่มแผล ทาบ่อยเท่าที่ต้องการหากคันและเจ็บแผลจนทนไม่ไหว โลชั่นนี้จะช่วยบรรเทาอาการคันและทำให้สบายผิวมากขึ้น [15] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- คุณอาจจะใช้เจลเย็นชนิดอื่นก็ได้ อาจจะใช้ครีมหรือน้ำมันที่มีส่วนผสมของไฮโดรคอร์ติโซนทาลงบนตุ่มที่แดงคันหรืออักเสบติดต่อกันหลายวันก็ได้
- ห้ามใช้โลชั่นที่มีส่วนผสมของเบนาดริล การทาโลชั่นที่มีเบนาดริลบ่อยๆ อาจเป็นพิษต่อร่างกายเพราะผิวหนังจะดูดซึมตัวยาเข้าสู่กระแสเลือดได้ [16] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง [17] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Health Service (UK) ไปที่แหล่งข้อมูล
-
อาบน้ำเย็น. การอาบน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นกลางๆ จะช่วยบรรเทาอาการคันตามผิวหนังได้ อย่าใช้สบู่ที่อาจทำให้แผลระคายเคือง ถ้าผู้ป่วยมีไข้สูง ต้องแน่ใจว่าน้ำจะไม่ทำให้ไข้ทรุดหรือทำให้หนาวสั่น
- ใส่ข้าวโอ๊ตดิบ ผงฟู หรือฟองอาบน้ำข้าวโอ๊ตลงไปในอ่างอาบน้ำ เพื่อบรรเทาแผลและลดการระคายเคืองผิว [18] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Mayo Clinic ไปที่แหล่งข้อมูล
- เมื่ออาบน้ำเสร็จ ให้หาโลชั่นหรือมอยซ์เจอไรเซอร์บำรุงผิวก่อนทาโลชั่นคาลาไมน์ [19] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ใช้ผ้าประคบเย็นแปะตรงบริเวณที่คันในระหว่างการอาบน้ำก็ได้
-
หากผู้ป่วยอายุมากกว่า 12 ปี หรือต่ำกว่า 6 เดือน ต้องไปพบแพทย์. โรคอีสุกอีใสจะลุกลามหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 12 ปี ถ้าผู้ป่วยอายุเกิน 12 ปี ก็ต้องไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีตุ่มหนองขึ้นตามตัว เพราะอาจะมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงตามมาได้
- แพทย์อาจจะจ่ายยาอะไซโคลเวียร์ให้คุณ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส ให้ไปพบแพทย์ใน 24 ชั่วโมงแรกที่ตุ่มอีสุกอีใสแรกขึ้นมาเพราะยาตัวนี้จะได้ผลที่ดีสุดใน 24 ชั่วโมง ยา1 เม็ดปริมาณ 800 มิลลิกรัมต้องกินวันละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน แต่ปริมาณยาที่กินในแต่ละวันอาจต่างกันไปตามอายุและขนาดตัวของผู้ป่วย [20] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- ยาต้านไวรัสอาจมีประโยชน์มากโดยเฉพาะกับผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคหืดและโรคผิวหนัง
-
พบแพทย์หากอาการทรุดลง. ในบางสถานการณ์คุณอาจจะต้องพบแพทย์ ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม หากมีไข้เกิน 38 องศาเซลเซียส มีผื่นแดงรุนแรง มีหนองไหลหรือผื่นใกล้ดวงตาหรือในตา มีอาการงุนงง ตื่นยาก เดินไม่สะดวก คอแข็งตึง ไออย่างหนัก อาเจียนบ่อย หายใจลำบาก ให้รีบพบแพทย์ทันที
- แพทย์จะตรวจดูอาการและหาทางรักษาที่เหมาะสมกับคุณที่สุด อาการเหล่านี้อาจเกิดจากโรคอีสุกอีใสอย่างรุนแรง การติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสอื่นๆ [21] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ Centers for Disease Control and Prevention ไปที่แหล่งข้อมูล
-
รีบพบแพทย์โดยด่วน ถ้าตั้งครรภ์. ถ้าคุณตั้งครรภ์และเป็นโรคอีสุกอีใส คุณมีโอกาสติดเชื้อทุติยภูมิและอาจส่งเชื้อไวรัสไปสู่ลูกในท้องได้ แพทย์อาจให้ยาอะไซโคลเวียร์ให้ แต่ต้องได้รับการบำบัดรักษาอิมมูโนโกลบินด้วย การรักษานี้เป็นการนำแอนติบอดี้จากผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงมาฉีดให้กับคนที่เสี่ยงจะได้รับเชื้ออีสุกอีใสชนิดที่รุนแรง
- การรักษานี้สามารถช่วยป้องกันเชื้ออีสุกอีใสจะถ่ายทอดจากแม่สู่ลูกในครรภ์ได้อีกด้วย ซึ่งโรคนี้จะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์อย่างมากหากไม่ได้รับการป้องกัน [22] X แหล่งข้อมูลที่เชื่อใจได้ National Health Service (UK) ไปที่แหล่งข้อมูล
-
รีบพบแพทย์หากคุณมีปัญหาด้านภูมิคุ้มกัน. หลายคนที่เป็นโรคอีสุกอีใสอาจจะต้องการการดูแลพิเศษจากแพทย์ ถ้าคุณเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีเชื้อเอชไอวี กำลังรักษาโรคมะเร็ง ใช้สเตียรอยด์หรือใช้ยากดภูมิคุ้มกันอื่นๆ คุณต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน แพทย์อาจฉีดยาอะไซโคลเวียร์ให้คุณ แต่ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจทำให้ร่างกายต่อต้านยาอะไซโคลเวียร์
- ถ้าคุณต่อต้านยานั้น แพทย์จะให้ยาฟอสคาร์เน็ตแทน ซึ่งปริมาณการกินและระยะเวลาที่ให้ยาก็จะขึ้นกับอาการแต่ละคน [23] X แหล่งข้อมูลอ้างอิง
เคล็ดลับ
- โรคอีสุกอีใสป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ปรึกษาแพทย์หากคุณยังได้รับวัคซีนไม่ครบ การป้องกันโรคอีสุกอีใสย่อมดีกว่าการรักษาในภายหลังนะ
- พบแพทย์หากไม่แน่ใจว่าคุณหรือลูกเป็นอีสุกอีใสหรือเปล่า
- แจ้งแพทย์หากคุณคิดว่าตนเองหรือลูกเป็นโรคอีสุกอีใส เพราะโรคนี้เป็นเชื้อไวรัสติดต่อได้
ข้อมูลอ้างอิง
- ↑ http://www.cdc.gov/chickenpox/about/prevention-treatment.html
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/chickenpox/basics/lifestyle-home-remedies/con-20019025
- ↑ http://www.nytimes.com/health/guides/disease/chickenpox/overview.html
- ↑ http://www.nytimes.com/health/guides/disease/chickenpox/overview.html
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/chickenpox/page6_em.htm
- ↑ http://www.nhs.uk/Conditions/Chickenpox/Pages/Treatment.aspx
- ↑ http://www.nhs.uk/Conditions/Chickenpox/Pages/Treatment.aspx
- ↑ http://www.nytimes.com/health/guides/disease/chickenpox/overview.html
- ↑ http://www.cyh.com/HealthTopics/HealthTopicDetailsKids.aspx?p=335&np=285&id=1531
- ↑ http://www.nhs.uk/Conditions/Chickenpox/Pages/Treatment.aspx
- ↑ http://www.nhs.uk/Conditions/Chickenpox/Pages/Treatment.aspx
- ↑ http://www.nhs.uk/Conditions/Chickenpox/Pages/Treatment.aspx
- ↑ http://www.nytimes.com/health/guides/disease/chickenpox/overview.html
- ↑ http://kidshealth.org/kid/ill_injure/sick/chicken_pox.html
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/chickenpox/basics/lifestyle-home-remedies/con-20019025
- ↑ http://www.emedicinehealth.com/chickenpox/page6_em.htm
- ↑ http://www.nhs.uk/Conditions/Chickenpox/Pages/Treatment.aspx
- ↑ http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/chickenpox/basics/lifestyle-home-remedies/con-20019025
- ↑ http://www.nytimes.com/health/guides/disease/chickenpox/overview.html
- ↑ http://www.drugs.com/dosage/acyclovir.html
- ↑ http://www.cdc.gov/chickenpox/about/prevention-treatment.html
- ↑ http://www.nhs.uk/Conditions/Chickenpox/Pages/Treatment.aspx
- ↑ http://emedicine.medscape.com/article/1131785-treatment#d11
เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้
มีการเข้าถึงหน้านี้ 22,249 ครั้ง