ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

ภาวะข้อเข่าอักเสบ เกิดจากการอักเสบและถูกทำลายของหนึ่งส่วนหรือหลายๆ ส่วนที่ประกอบกันเป็นข้อเข่า ภาวะข้อเสื่อมสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุต่างๆ กัน ซึ่งจะพบการเสื่อมของกระดูกอ่อนที่ปกคลุมบริเวณข้อต่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่น โรคข้อเสื่อมรูมาตอยด์ที่เกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันที่ทำลายผิวข้อ หรือข้ออักเสบชนิดอื่นๆ ที่เกิดจากการติดเชื้อ, โรคประจำตัว(เช่นโรค SLE หรือที่เรียกว่า โรคพุ่มพวง ซึ่งเป็นโรคที่มีความผิดปกติของภูมิคุ้มกัน) หรืออาจเกิดจากการสะสมของกรดยูริคที่มากเกินไป หากคุณต้องการทราบว่าตนเองมีภาวะข้อเสื่อมหรือไม่ สามารถศึกษาอาการที่บ่งบอกถึงภาวะดังกล่าวได้จาก [1]

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

รู้ว่าปัจจัยใดที่ทำให้คุณอาจมีภาวะข้อเข่าอักเสบ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ข้ออักเสบต่างชนิดกัน ล้วนเกิดจากหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะข้อเข่าอักเสบ แม้บางปัจจัยจะเป็นปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้ แต่บางปัจจัยอื่นๆที่แก้ไขได้ก็ควรแก้ไขเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะข้อเข่าอักเสบ [2]
    • พันธุกรรม โดยในบางคนอาจจะมีคนในครอบครัวเป็นโรคข้ออักเสบ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือ SLE ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคดังกล่าวก็จะสูงขึ้น [3]
    • เพศ เพศชายส่วนมากมักเป็นโรคเก๊าท์ ซึ่งเกิดจากการมีกรดยูริกสะสมในเลือดมาก ในขณะที่เพศหญิงมักพบว่าเป็นโรคข้อเสื่อมรูมาตอยด์ได้มากกว่า [4] [5]
    • อายุ ยิ่งอายุมาก ยิ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นข้ออักเสบมากขึ้น
    • น้ำหนักตัวเกินหรืออ้วน การมีน้ำหนักตัวที่มากกว่าปกติ จะทำให้เกิดแรงกดที่ข้อเข่าทั้งสองข้างมากกว่าปกติ ทำให้เกิดข้ออักเสบตามมาได้ง่าย
    • เคยได้รับอุบัติเหตุ หากเคยบาดเจ็บที่ข้อเข่าก็อาจทำให้ข้ออักเสบตามมา
    • ติดเชื้อ เมื่อเชื้อโรคลุกลามไปที่ข้อเข่า ก็จะเข้าไปทำลายผิวข้อ ทำให้ข้อเข่าอักเสบได้เช่นกัน
    • อาชีพ. อาชีพที่ต้องงอเข่าซ้ำๆ หรือนั่งยองๆ นานๆ ก็ทำให้เป็นโรคข้อเก่าอักเสบได้
    • ถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงเพียง 1 ถึง 2 ข้อจากข้างต้นที่จะเป็นข้อเข่าอักเสบ ให้ไปปรึกษาแพทย์ (หรือดูบทความส่วนด้านล่าง) เพื่อป้องกันภาวะดังกล่าว
  2. ทราบก่อนว่าอาการของข้อเข่าอักเสบเป็นอย่างไร. อาการที่มักพบสำหรับโรคข้อเข่าอักเสบ คือ ปวดบริเวณข้อเข่าและรู้สึกแข็ง ขยับได้ยาก ขึ้นกับชนิดของข้ออักเสบ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือ ข้อเข่าเสื่อม ให้ลองสังเกตตามข้อข้างล่างดังต่อไปนี้: [6]
    • ปวดมากขึ้นเมื่อทำกิจกรรมต่างๆ
    • มีช่วงการเคลื่อนไหวของข้อที่ลดลง
    • เข่าแข็ง ขยับได้ยาก
    • บวมและมีจุดกดเจ็บที่ข้อเข่า
    • รู้สึกเหมือนเข่าจะหลุด
    • รู้สึกเพลียและไม่สบาย (มักพบบ่อยในช่วงที่ข้ออักเสบรูมาตอยด์กำเริบ)
    • มีไข้ต่ำๆ และหนาวสั่น (มักพบบ่อยในช่วงที่ข้ออักเสบรูมาตอยด์กำเริบ)
    • ข้อต่อผิดรูป(ขาเป็ด หรือ ขาโก่ง) เกิดจากการที่เป็นข้ออักเสบนานๆ แล้วไม่ได้รักษา [7]
  3. อาการปวดของข้ออักเสบ มักจะไม่ได้ปวดทั่วๆ ทุกบริเวณ แต่มักจะรู้สึกปวดข้างในเข่า ด้านหน้า หรือด้านหลังเข่า [8]
    • กิจกรรมที่ทำให้เข่ารับแรงกระแทกมาก เช่น การเดินระยะทางไกล เดินขึ้นลงบันได หรือยืนนานๆ ก็สามารถทำให้ข้อเข่าอักเสบได้มากขึ้น
    • ในรายที่ข้อเข่าอักเสบรุนแรง อาจพบว่ามีอาการปวดแม้กระทั่งนั่งหรือนอนเฉยๆ
  4. นอกจากอาการปวดแล้ว ข้อเข่าอักเสบก็ทำให้เข่าขยับได้น้อยลง เนื่องจากการสูญเสียของผิวข้อทำให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ยากขึ้น ทำให้รู้สึกแข็ง งอเหยียดได้ลำบาก [9]
    • กระดูกอ่อนที่ผิวข้อข้างหนึ่งจะสึกหรอ ทำให้สังเกตเห็นขาโก่งเข้า หรือ ขาแบะออก ได้
  5. อาการบวมคือสัญญาณหนึ่งของการอักเสบ (นอกเหนือจาก ปวด อุ่น และแดง) นับเป็นอาการสำคัญของข้อเข่าอักเสบ และนอกจากนั้นมักจะได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บได้ข้อเข่าขณะเคลื่อนไหวร่วมด้วย [10]
  6. อาการของข้อเข่าอักเสบสามารถแย่ลงได้เรื่อยๆ ซึ่งทำให้แยกออกจากอาการปวดเข่าอื่นๆได้
    • ผู้ที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ มักจะมีช่วงที่โรคกำเริบ ซึ่งอาการจะแย่จนถึงขั้นรุนแรงมากที่สุด และอาการจะค่อยๆ ดีขึ้นในภายหลัง [11]
  7. หากคุณมีอาการ1 ข้อ หรือมากกว่านั้น ให้ไปพบแพทย์ เพราะคุณอาจมีภาวะข้อเข่าอักเสบ
    • แพทย์จะตรวจเช็คอาการบวม แดง อุ่น ของข้อเข่า และประเมินช่วงการเคลื่อนไหว หากแพทย์สงสัยอาการข้อเข่าอักเสบ จะแนะนำให้เข้ารับตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้: [12]
      • ตรวจหาสารที่ทำให้ข้ออักเสบในเลือด ปัสสาวะ หรือรวมถึงน้ำไขข้อ โดยการตรวจน้ำไขข้อจะใช้เข็มเจาะเข้าไปในช่องว่างระหว่างข้อต่อแล้วดูดออกมาตรวจ
      • อัลตราซาวน์ เพื่อดูเนื้อเยื่อ กระดูกอ่อน และของเหลวภายในข้อเข่า โดยอัลตราซาวน์นี้จะใช้เพื่อให้เห็นภาพก่อนการเจาะน้ำไขข้อออกมาตรวจ
      • เอกซ์เรย์ เพื่อดูการสึกหรอของผิวข้อและกระดูก หรือรวมถึงหินปูนที่เกิดจากความเสื่อม
      • CT-scan เพื่อดูกระดูกและข้อเข่า โดยลงรายละเอียดถึงภาพตัดขวาง ทำให้ดูโครงสร้างภายในข้อเข่าได้ละเอียดยิ่งขึ้น
      • MRI จะให้รายละเอียดได้มากขึ้นกว่า CT scan โดยจะเห็นทั้งผิวข้อ เอ็นกล้ามเนื้อ และเอ็นกระดูกทั้งหมดภายในเข่า ในมุมมองที่ต้องการ
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

วิธีป้องกันไม่ให้ข้อเข่าอักเสบ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. นับว่าเป็นวิธีการรักษาข้อเข่าอักเสบที่สำคัญวิธีหนึ่ง เพราะการลดน้ำหนัก ทำให้เข่ารับน้ำหนักลดลง จึงช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดข้อเข่าเสื่อมได้ในอนาคต [13]
  2. ปรับเปลี่ยนกิจกรรมที่ทำให้มีแรงกระแทกต่อเข่า. ลดกิจกรรมดังกล่าวลง และหันมาออกกำลังกายที่ช่วยป้องกันหรือบรรเทาอาการข้อเข่าอักเสบ [14]
    • การออกกำลังกายในน้ำเป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาของข้อเข่า
    • ใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น ไม้เท้า หรือ ไม้ค้ำยัน โดยถือไว้ข้างเดียวกับเข่าที่ปกติ เพื่อช่วยลดการลงน้ำหนักบนเข่าข้างที่มีปัญหา
  3. ปัจจุบันมีสารสกัดธรรมชาติจากสารที่มีอยู่แล้วในร่างกายมนุษย์ เช่น กลูโคซามีน และ คอนโดรอิทินซัลเฟต ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงบริเวณกระดูกอ่อนที่ผิวของข้อเข่า [15]
    • แม้อาหารเสริมจะช่วยควบคุมเรื่องของอาการปวด แต่ไม่ได้ช่วยเสริมสร้างผิวข้อให้กลับมา ปัจจุบันมีงานวิจัยหลายฉบับกล่าวไว้ว่าอาหารเสริมดังกล่าวเปรียบเสมือนยาหลอก แค่ส่งผลทางจิตใจผู้ป่วยเท่านั้น แต่เนื่องจากค่อนข้างจะไม่มีอันตราย แพทย์หลายคนจึงเลือกแนะนำให้ลองรับประทาน
    • แพทย์บางคนอาจจะแนะนำให้ลองรับประทานอาหารเสริมดังกล่าวแค่ประมาณ 3 เดือนก่อน ว่าช่วยจริงๆ หรือไม่
    • ยาแก้ปวดบางชนิด จำหน่ายนอกเหนือการควบคุมของ คณะกรรมการอาหารและยา ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ให้และแพทย์สั่งจ่ายยา ไม่ควรซื้อรับประทานเอง
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

รักษาอาการข้อเข่าอักเสบ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า ซึ่งจะช่วยลดแรงกระทำต่อเข่า ป้องกันกล้ามเนื้อที่มีความสำคัญต่อการใช้งานของเข่าอ่อนแรง และป้องกันไม่ให้เข่าเสื่อมเพิ่มมากขึ้น [16]
  2. เช่นยา NSAID ซึ่งเป็นยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ โดยยานี้จะช่วยบรรเทาปวดและอักเสบของเข่า [17]
    • ปรึกษาแพทย์ทุกครั้งก่อนที่จะซื้อยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวดรับประทานเอง โดยเฉพาะยาชนิดอื่นๆ
    • ห้ามใช้ยาเกินขนาดที่แนะนำไว้ เพราะทั้งยาแก้ปวด และยาแก้อักเสบนั้น หากรับประทานเกินขนาดจะมีผลข้างเคียงที่อันตรายถึงชีวิต [18] [19]
  3. โดยกรดไฮยาลูโรนิคนี้มีอยู่ตามปกติในน้ำไขข้อ ซึ่งมีสรรพคุณช่วยเพิ่มความหล่อลื่นให้ข้อเข่า ทำให้เคลื่อนไหวได้สะดวก เพราะในผู้ที่มีข้อเข่าอักเสบจะมีสารนี้น้อยลง ทำให้เข่าฝืดขณะเคลื่อนไหว [20]
    • แพทย์อาจจะแนะนำให้ฉีดไฮยาลูโรนิคเข้าที่เข่า (มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า น้ำไขข้อเทียม หรือ สารหล่อลื่น)
    • วิธีนี้อาจจะไม่ได้ผลดีกับทุกคน แต่จะช่วยบรรเทาอาการได้อยู่ประมาณ 3-6 เดือน
  4. ปรึกษาแพทย์ก่อน หากต้องการใช้ยาสเตียรอยด์ในโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์. รวมทั้งการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ [21]
    • ยาดังกล่าว ได้แก่ methotrexate หรือ hydroxychloroquine ซึ่งจะช่วยชะลอหรือหยุดการอักเสบของข้อเข่าที่เกิดจากการทำลายของภูมิคุ้มกัน
    • ยาชีวเวชภัณฑ์ เช่น etanercept และ infliximab ซึ่งเป็นยาสังเคราะห์จากโปรตีนที่มีสรรพคุณในการกดภูมิคุ้มกัน ทำให้ลดการทำลายและอักเสบของข้อ
    • คอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น prednisone และ cortisone มีสรรพคุณลดอักเสบและกดภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีทั้งแบบรับประทาน หรือฉีดเข้าไปโดยตรงในบริเวณที่ข้ออักเสบ
  5. หากการรักษาทั้งหมดก่อนหน้านี้ไม่ได้ผลทั้งเรื่องปวดและยังคงเสื่อมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจำเป็นต้องผ่าตัด เช่น ผ่าตัดเชื่อมข้อต่อให้ติดกันถาวร หรือ เปลี่ยนข้อเข่าเทียม [22]
    • การผ่าเชื่อมติดข้อต่อ แพทย์จะนำผิวข้อที่ปลายของกระดูกสองชิ้นออก และเชื่อมกระดูกเข้าด้วยกันเป็นชิ้นเดียว
    • การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม แพทย์จะนำผิวข้อที่ถูกทำลายออกและใช้ข้อเทียมเชื่อมเข้าไปแทนที่
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • หากสงสัยว่าตนเองเริ่มมีอาการของข้อเข่าอักเสบ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะหากได้รับการรักษาเร็วก็จะทำให้การอักเสบไม่ลุกลาม
  • การรักษาข้อเข่าอักเสบ ควรเริ่มจากวิธีรักษาแบบเบื้องต้นและเป็นขั้นตอนไปเรื่อยๆ จึงจะทำการผ่าตัดเป็นวิธีสุดท้ายหากจำเป็น
  • การรักษาแต่ละวิธี ไม่ได้เหมาะสมกับผู้ป่วยทุกรายเสมอไป ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตัดสินใจเลือกวิธีที่สุดที่เหมาะสมกับตัวคุณเอง
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 1,945 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา