ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

หากคุณอยู่หน้านี้แล้วละก็ แสดงว่าคุณจะต้องเริ่มไม่มั่นใจในความสัมพันธ์ของคุณแล้วล่ะ บางครั้งการมีคำถามเกิดขึ้นหรือการมองหาคู่ที่แท้จริงเป็นสิ่งที่ปกติดีสำหรับทุกๆ ความสัมพันธ์ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า ความรู้สึกแปลกๆ ในใจคุณนั้นกำลังเป็นสัญญาณบอกคุณว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องจบความสัมพันธ์นี้? การบอกเลิกไม่เคยเป็นเรื่องง่าย แม้คุณจะรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะทำ อย่างแรกเลย คุณจะต้องมั่นใจก่อนว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูก โดยการดูว่าสัญญาณต่างๆ นั้นมันใช่กับคุณจริงๆ หรือไม่ ดูขั้นตอนที่ 1 ด้านล่างเพื่อเริ่มสำรวจเลย

ส่วน 1
ส่วน 1 ของ 4:

ยอมรับความรู้สึกของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ลองนึกดูว่า มีอะไรที่คุณกำลังฝืนใจเพื่อยอมรับในตัวแฟนของคุณอยู่หรือเปล่า. คุณอยากจะให้เขา หรือเธอ “เปลี่ยน” ตัวเองเพื่อคุณไหม? ถ้าใช่ แฟนของคุณก็สามารถที่จะต้องการให้คุณเปลี่ยนตัวเองเพื่อเขาได้เช่นกัน อีกอย่างที่คุณสามารถลองได้คือ คุณต้องยอมรับอะไรก็ตามที่คุณอยากให้เขาเปลี่ยนให้ได้ พูดออกมาเลยว่า: “ฉันยอมรับว่า เขา/เธอ เป็นคนเฉื่อยชา” จากนั้นให้ถามตัวคุณเองว่า ความสัมพันธ์ของคุณดีพอที่จะทำให้คุณไม่สนใจเรื่องนั้นได้ไหม? ถ้าได้ ให้ลองยอมรับและอยู่กับสิ่งที่แฟนของคุณเป็น ดีกว่าที่จะพยายามไปเปลี่ยนเขา
    • ถ้ามันเป็นเรื่องใหญ่หรือเป็นเรื่องที่รบกวนใจที่คุณไม่สามารถมองข้ามมันไปได้ แล้วคนๆ นั้นไม่ยอมเปลี่ยน มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องจบความสัมพันธ์นั้นแล้ว
    • บางทีคุณและแฟนของคุณอาจจะมาจากต่างศาสนากัน หากแฟนของคุณไม่ต้องการที่จะเปลี่ยน ซึ่งคุณก็ไม่ต้องการเช่นกัน แต่ศาสนาเป็นเรื่องที่สำคัญต่อคุณมาก ถ้าเช่นนั้นแล้วนี่อาจจะเป็นตัวที่ทำให้คุณต้องเลิกกันจริงๆ
  2. คุณอาจจะอยากเลิกแค่เพียงเพราะคุณไม่ต้องการพบกับปัญหาบางอย่างในตัวคุณเอง เช่นความไม่มั่นคง หรือความกลัวที่จะถูกทิ้ง แต่แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นกับทุกๆ ความสัมพันธ์ ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจจะเคยถูกนอกใจมาก่อน คุณจึงอยากจะเลิกกับคนๆ นี้ก่อนที่คุณจะรู้สึกผูกพันมากเกิดไป และรู้สึกอ่อนไหว กลัวที่จะต้องถูกทำร้ายอย่างแรงอีกครั้ง นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ดีในการบอกเลิกสักเท่าไหร่ คุณจะต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวของคุณ ไม่ใช่วิ่งหนีจากมันอย่างเดียว
    • ถ้าหากคุณคิดว่าตัวคุณเองที่เป็นปัญหา ให้ลองคุยกับแฟนของคุณเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ และดูว่าคุณทั้งคู่จะสามารถหาวิธีผ่านพ้นมันไปด้วยกันได้ไหม
  3. ลองดูว่าที่คุณยังคบกันอยู่นั้นเป็นเพียงเพราะคุณไม่ต้องการทำร้ายความรู้สึกของแฟนคุณหรือไม่. ถ้าหากคุณเป็นคนที่ใจอ่อนที่ชินกับการตามใจคนอื่นๆ บางทีแล้วลึกๆ ในใจคุณอาจจะรู้ว่า คุณไม่ต้องการความสัมพันธ์นี้ แต่คุณกลัวที่จะต้องบอกเลิกกับเขา อย่างไรก็ตามคุณต้องคิดว่า คุณไม่ได้ช่วยเหลือคนๆ นี้อยู่ด้วยการอยู่กับเขาเพียงเพราะความสงสาร อ่านวิธีการหยุดเป็นคนเอาใจคนอื่น อาจจะช่วยคุณได้
    • ถ้าคุณรู้ว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ได้มีอนาคตจริงๆ สำหรับคุณ การจบความสัมพันธ์ให้เร็วที่สุดจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับแฟนของคุณ เพราะจะทำให้เขา/เธอได้มีเวลาในการรักษาใจและมีโอกาสในการหาความสัมพันธ์ที่เหมาะสมกว่าในอนาคต
    • แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีในการจบความสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่เหมาะ แต่อย่าฝืนทนเลื่อนมันไปเรื่อยๆ เพราะวันเกิด วันแต่งงาน วันวาเลนไทน์ คริสมาสกับครอบครัวของคุณ หรืออีกล้านเหตุผลที่ทำให้มัน “ไม่สะดวก” ที่จะบอกเลิก เพราะมันจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ และจะไม่มีเวลาไหนที่เหมาะกับการบอกเลิกเลย (แม้ว่าแน่นอนว่าบางช่วงก็อาจจะดีกว่าช่วงอื่นๆ )
  4. ลองคิดดูว่าคุณยังคบกันอยู่เพียงเพราะคุณไม่อยากที่จะอยู่คนเดียวหรือไม่. คุณกลัวที่จะต้องเป็นโสดหรือเปล่า? อีกเหตุผลหนึ่งที่บางครั้งคนเราไม่อยากจะบอกเลิกเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการอยู่คนเดียว แต่การอยู่กับใครสักคนในฐานะ “ตัวแทนรักษาที่” ก็ไม่ยุติธรรมกับเขาเช่นกัน รวมถึงไม่ยุติธรรมสำหรับตัวคุณเองด้วย เพราะคุณเองก็ไม่สามารถที่จะพัฒนาหรือหาใครที่เหมาะสมใหม่ได้เท่ากับตอนที่คุณอยู่ตัวคนเดียว อ่านวิธีการมีความสุขกับการเป็นโสด และวิธีมองโลกในแง่ดีในการให้กำลังใจ
  5. ยอมรับว่าบางทีคุณอาจจะไม่ได้รักแฟนของคุณมากขนาดนั้นอีกแล้ว. หรือบางทีพวกเขาก็อาจจะไม่ได้รักคุณมากขนาดนั้น ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าทำไมเราถึงชอบหรือรักคนเหล่านั้น บางครั้งเราอาจจะแค่ต่อกันไม่ติด หรือบางทีคนหนึ่งรู้สึกกับอีกฝ่ายมาก แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้รู้สึกเท่ากัน มันก็เกิดขึ้นได้ และมันก็เจ็บ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของใคร ความหลงใหล ความรักเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ คุณอาจจะรักหัวปักหัวปำในตอนนั้น แต่นั่นก็ผ่านมานานเท่าไหร่แล้วล่ะ? ยิ่งคุณยอมรับความรู้สึกคุณเร็วเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งจัดการกับมันได้เร็วเท่านั้น
  6. ใช้เวลานั่งคนเดียว หลับตา มีสมาธิกับลมหายใจ แม้ว่านี่อาจจะไม่ได้ทำให้คุณเข้าใจหรือตัดสินใจได้ทันทีว่าคุณควรจะทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ของคุณต่อไป แต่มันจะช่วยให้คุณมีสมาธิ และเข้าถึงความคิดของคุณได้ดีขึ้น คุณอาจจะยุ่งอยู่กับความกลัว ตื่นตระหนกมากเกินไปจนไม่มีเวลานั่งเฉยๆ และฟังสิ่งที่ร่างกายและจิตใจของคุณกำลังบอกคุณอยู่จริงๆ
  7. ลองดูว่าคุณรู้สึกอายหรือเปล่าที่จะพาแฟนของคุณไปไหนมาไหนด้วย. นี่เป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าหากที่ทำงานคุณ หรือกลุ่มเพื่อนของคุณกำลังจะจัดงานกัน คุณรู้สึกตื่นเต้นอยากจะพาคนสำคัญของคุณไปด้วยเพราะคุณรู้ว่าเขา หรือเธอนั้นเจ๋งแค่ไหน หรือคุณจะหาข้ออ้างไม่พาเขาไปเพราะคุณไม่ชอบที่จะพาเขาหรือเธอออกงานสังคม?
    • แน่นอนว่า บางคนอาจจะเขินอายมากกว่าคนอื่น และบางโอกาสมันก็สนุกกว่าที่จะไม่พาแฟนของคุณไปด้วย แต่โดยปกติแล้ว คุณควรจะภูมิใจกับคนที่คุณอยู่ด้วย และรู้สึกตื่นเต้นที่จะพาเขาไปโชว์ตัว ถ้าหากคุณไม่รู้สึกมีความสุขกับการให้คนเห็นคุณอยู่กับคนๆ นั้นแล้วล่ะก็ คุณจะมีความสุขกับความสัมพันธ์นี้ได้อย่างไร?
    โฆษณา
ส่วน 2
ส่วน 2 ของ 4:

คิดถึงแฟนของคุณ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ลองสังเกตว่าคุณกำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบบีบบังคับอยู่หรือป่าว. ความสัมพันธ์เช่นนี้จะไม่ค่อยยืดยาวนัก เพื่อให้ความสัมพันธ์นี้อยู่รอดแล้ว แฟนคนที่เจ้ากี้เจ้าการจะต้องเปลี่ยนนิสัยของเขาหรือเธออย่างเร่งด่วน ถ้าหากไม่ยอมเปลี่ยน คุณควรรีบจบความสัมพันธ์นี้ให้เร็วที่สุด ถ้าหากคุณรู้สึกว่าแฟนของคุณกำลังจัดการกับทุกสิ่งที่คุณทำ และข่มขู่หากคุณไม่ยอมทำตามแล้วล่ะก็ คุณกำลังมีปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน
    • หากคุณกำลังถูกบังคับ ควบคุมอยู่ นี่เป็นหนึ่งในกรณีที่ไม่ค่อยได้พบเท่าไหร่ ที่คุณอาจไม่อยากบอกเลิกแบบต่อหน้า ถ้าหากคุณกลัวการตอบสนองที่รุนแรงเมื่อคุณบอกเลิก ให้บอกเลิกตอนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน และหาเพื่อนคอยช่วยเหลือประคองคุณด้วย
  2. ถ้าหากคนสำคัญของคุณเอาใจใส่คุณจริงๆ เขาหรือเธอจะไม่ลดคุณค่าในตัวคุณ หรือวิจารณ์คุณโดยไม่มีเหตุผล ถ้าหากเขาให้ข้อคิดหรือวิจารณ์เพื่อให้คุณเติบโตขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากเขาตั้งใจที่จะว่าคุณล่ะก็ ไม่ดีแน่นอน ตัวอย่างเช่น หากคุณทำของตก หรือทำของพัง และแฟนของคุณพูดอะไรบางอย่างเช่น “คุณมันโง่ ทำไมคุณไม่รู้จักดูดีๆ ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่บ้าง?” ถ้าเช่นนั้นแล้ว คุณควรจะรีบออกห่างจากคนๆ นั้นให้ไกล และเริ่มต้นมองหาคนที่จะดูแลคุณได้ดีกว่านี้ทันที
    • การที่แฟนของคุณไม่ให้เกียรติคุณอาจเป็นเรื่องยากในการแยกแยะ บางที่เขาอาจจะแกล้งแหย่คุณในเรื่องรูปลักษณ์ อาชีพคุณ หรือแกล้งบอกว่าคุณไม่เก่งในบางเรื่อง ซึ่งนั่นก็ยังนับว่าเป็นการไม่ให้เกียรติคุณอยู่ดี – เรื่องยาก
  3. ลองดูว่าแฟนของคุณมีการตำหนิคุณอย่างต่อเนื่องหรือไม่. โอเคว่าคุณอาจจะทะเลาะกันบ้างบางครั้ง ซึ่งบางทีมันก็ส่งผลดีกับความสัมพันธ์ ถ้าเป็นการถกเถียงกันเรื่องที่คุณโกรธ แต่ต้องเป็นไปด้วยความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากแฟนของคุณตะคอกใส่คุณเสมอๆ ขัดคุณตลอด เรียกชื่อของคุณ และทำตัวป่าเถื่อนกับคุณโดยไม่มีเหตุผล มันคงถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องก้าวออกมา
  4. ดูว่าแฟนของคุณรู้สึกอับอายที่คบกับคุณหรือไม่. นี่เป็นสิ่งสำคัญ “อย่างใหญ่หลวง” ถ้าหากแฟนของคุณรู้สึกอายที่จะพาคุณไปไหนด้วย หรือแม้แต่ที่จะพูดว่ากำลังคบกับคุณอยู่ล่ะก็ คุณอาจจะพบกับปัญหาใหญ่ มันมีอยู่ไม่กี่เหตุผลดีๆ ว่าทำไมอีกคนจะต้องปิดบังความรัก ถ้าไม่ใช่อีกฝ่ายยังเด็กเกินไปที่จะมีแฟน หรือเหตุผลดีๆ ที่จะปิดบังความสัมพันธ์จากพ่อแม่ที่เผด็จการ แต่ถ้าหากเขาต้องการที่จะปิดบังกับเพื่อนๆ หรือคนรู้จัก หรือปฏิเสธที่จะจับมือคุณหรือเดทกับคุณในที่สาธารณะแล้วล่ะก็ มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องจบความสัมพันธ์นั้น คุณต้องการที่จะอยู่กับคนที่รู้สึกภูมิใจ ไม่ใช่อายที่มีคุณอยู่ด้วย เพราะนั่น คือสิ่งที่คุณควรได้รับ
  5. ดูว่าคุณเป็นฝ่ายเดียวที่อยากจะอยู่ใกล้ๆ กับเขาหรือเปล่า. ถ้าหากคุณอยากที่จะกอด คลอเคลีย แต่คุณเป็นฝ่ายที่จะต้องเริ่มก่อนเสมอทุกครั้ง คุณอาจจะมีปัญหาแล้วก็ได้ โดยเฉพาะ หากคุณเป็นคนที่ต้องการจูบทักทายและจูบลา และคุณต้องถามอีกคนเพื่อให้เขาจูบคุณ มันอาจจะแสดงถึงปัญหาบางอย่างในความสัมพันธ์นี้ อย่ากลัวที่จะคุยเกี่ยวกับปัญหา บางทีแฟนของคุณอาจจะมีปัญหาการอยู่ใกล้ชิดติดกัน หรือไม่ต้องการแตะคุณเพราะว่าคุณนอกใจเขา ไม่ว่าปัญหาจะเป็นอะไร คุณต้องหาทางจัดการกับมัน หรือจบมัน เพราะสถานะที่เป็นอยู่ไม่ดีแน่
  6. ดูว่าเขากดดันให้คุณทำในสิ่งที่คุณไม่สบายใจหรือไม่. ถ้าหากเขาบังคับให้คุณดื่มเมื่อคุณไม่ต้องการ มีเพศสัมพันธ์ในตอนที่คุณไม่พร้อม หรือการทำนิสัยประมาท เช่น ซิ่งรถ ก่อกวนคนอื่น หรือทำให้คุณรู้สึกกลัวอยู่เสมอ นั่นอาจจะเป็นเวลาที่คุณควรจบความสัมพันธ์นี้ เขาไม่สามารถให้คุณค่าที่คุณต้องการได้ และคุณก็สามารถที่จะหาใครที่เอาใจใส่คุณจริงๆ ได้
    • มันอาจจะใช้เวลากว่าที่คุณจะรู้ตัวว่าคุณกำลังทำอะไรที่คุณไม่สบายใจอยู่ เพราะคุณกำลังพยายามที่จะปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ
    โฆษณา
ส่วน 3
ส่วน 3 ของ 4:

คิดถึงความสัมพันธ์

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ดูว่ามีใครที่เตือนคุณถึงเรื่องคนที่คุณคบอยู่ด้วยหรือไม่. แม้ว่าคุณไม่ควรจะจบความสัมพันธ์เพียงเพราะเพื่อนสนิทคุณคิดว่าคุณสามารถหาได้ “ดีกว่านี้” คุณควรคิดให้รอบคอบถ้าหากเพื่อนของคุณทั้งหมด ครอบครัว หรือแม้แต่คนที่คุณแทบไม่รู้จักยังมาบอกคุณว่าคุณควรเลิกกับเขาให้เร็วที่สุด ถ้าเขามีเหตุผลที่ชัดเจนจริง เช่น เขาอาจจะไม่ได้ชอบคุณจริงๆ หรือทำกับคุณเหมือนคุณเป็นแค่ตุ๊กตาผ้า ถ้าเช่นนั้นล่ะก็ มันเป็นยิ่งกว่าตัวบ่งชี้ความจริงที่ว่า คุณควรจะเลิกกับเขาได้แล้ว
    • แน่นอนว่า ทุกคนอาจไม่ได้เข้าใจว่าความสัมพันธ์ของคุณเป็นอย่างไร และคุณไม่สามารถที่บอกได้ว่าความสัมพันธ์ของคุณดีแค่ไหนโดยดูจากว่าคนอื่นชอบคุณสองคนหรือไม่ แต่ถ้าหากทุกคนบอกให้คุณเดินออกมา อย่างน้อย คุณก็ควรจะ “พิจารณา” ดูว่า พวกเขามีเหตุผลที่ดีในการพูดเช่นนั้นหรือไม่
  2. ดูว่าความสัมพันธ์ของคุณดำเนินไปเร็วเกินไปหรือไม่. ความสัมพันธ์ควรจะดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคุณควรใช้เวลาในการเรียนรู้กันและกัน ถ้าหากคุณเพิ่งพบกับแฟนของคุณสองเดือนที่แล้ว และคุณเริ่มคุยกันถึงเรื่องย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน หรือแต่งงาน คุณทั้งคู่อาจจะกำลังคิดถึงเรื่องของการให้คำมั่น แต่ไม่ได้คิดถึงกันและกัน ถ้าหากคุณรู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้มันยากเกินไป เพราะคุณไม่เคยแม้แต่ใช้เวลาในการทำความรู้จักคนที่คุณกำลังคบอยู่ด้วย คุณควรจะค่อยๆ เป็นค่อยไปกับความสัมพันธ์นี้ หรือหยุดความสัมพันธ์นี้ซะ
  3. โอเค ถ้าคุณเพิ่งจะ 15 คงไม่จำเป็นที่จะต้องพูดถึงเรื่องงานแต่ง การย้ายมาอยู่ด้วยกัน หรืออนาคตการงานจะเป็นอย่างไรหากคุณอยากมีลูก ฯลฯ แต่ถ้าหากคุณ 25 หรือ 35 แล้ว หรือคบกันมานานหลายปี เรื่องของอนาคตควรจะเป็นเรื่องที่คุณคุยกันอย่างเป็นปกติ ถ้าคุณอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลานาน และไม่มีใครพูดถึงอนาคตข้างหน้าที่ยาวกว่าหนึ่งเดือน อาจเป็นไปได้ว่า เพราะคุณไม่ได้เห็นว่าการอยู่ด้วยกันนี้เป็นเรื่องระยะยาว ในกรณีนี้ คุณอาจจะต้องคิดว่าความสัมพันธ์นี้คุ้มแก่การคบต่อไปหรือไม่
  4. ดูว่าความสัมพันธ์ของคุณกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่หนักใจอยู่หรือไม่. แม้ว่าสัญญาณที่ไม่รุนแรงแต่ต่อเนื่องกันก็เป็นตัวบอกว่าคุณควรจะเลิกได้ แต่บางครั้งก็มีสัญญาณบางอย่างที่คอยบอกว่าคุณควรจะจบความสัมพันธ์นี้ หรือเปลี่ยนทิศทางได้แล้ว ถ้าหากสัญญาณเหล่านี้ตรงกับคุณ มันอาจจะถึงเวลาที่คุณต้องเลิกกัน:
    • คุณถูกทรมานทางร่างการและ/หรือ จิตใจ การใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย การล่วงเกินทางเพศ หรือทำให้อับอายจากแฟนของคุณ จนเลยจุดที่ทำร้ายสุขภาพและความปลอดภัยของคุณ
    • แฟนของคุณคอยกดดันให้คุณทำอะไรที่คุณไม่สบายใจตลอดเวลา เช่น ให้คุณไปทำเรื่องที่อันตราย หรือผิดกฎหมาย การยื่นคำขาดที่รุนแรง และคำพูดข่มขู่ที่สร้างความกดดัน ทั้งหมดล้วนเป็นสัญญาณถึงความสัมพันธ์ที่เป็นอันตรายได้ อย่าตกหลุมกับพวกคำพูด “ถ้าคุณรักผมจริง คุณจะทำมัน...”
    • ความขัดแย้งรุนแรงที่ไม่สิ้นสุด หรือการสิ้นหวังจะเข้ามาควบคุมเหนือการใช้ชีวิตคู่ไป ทั้งเรื่องการสื่อสาร เพศสัมพันธ์ การเงิน และอารมณ์
    • ความขี้หึงกลายมาเป็นปัญหาหลัก ความสัมพันธ์จะแย่ทันที่หากแฟนของคุณพยายามเข้ามากำหนดว่าคุณจะไปเที่ยวกับใคร เมื่อไหร่ และนานแค่ไหน แฟนของคุณไม่ใช่คนที่จะกำหนดชีวิตสังคมของคุณ คุณต่างหาก
    • แฟนของคุณได้ยุ่งเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ หรือการใช้ยาเสพติดมาเป็นเวลานาน หรือติดจนกระทั่งเขาไม่สามารถเลิกจากมันได้ และจากชีวิตคุณหรือชีวิตลูกๆ ของคุณต้องทรมานอย่างมากเพราะมัน
    • คุณกำลังติดแอลกอฮอล์หรือติดยามาเป็นเวลานานจนกระทั่งคุณไม่สามารถเลิกจากมันได้ คุณไม่ได้ทำให้ใครดีขึ้นเลยในการคบกับใครสักคน
    • ความสัมพันธ์ของคุณเคยขึ้นอยู่กับเรื่องผิวเผินภายนอก ที่ใช้ไม่ได้อีกแล้ว อย่างเช่น ปาร์ตี้ การทำงานอดิเรกร่วมกัน หรือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้รัก และคุณต้องการที่จะก้าวไปจากสิ่งเหล่านี้
    • แฟนของคุณพยายามจะบังคับว่าให้คุณใส่อะไร และคุณควรจะดูเป็นยังไง มันเป็นตัวคุณ หน้าคุณ ผมคุณ และตู้เสื้อผ้าของคุณเอง คุณตัดสินใจเองว่าจะทำอะไรกับมัน
  5. สังเกตดูว่าความสัมพันธ์ของคุณ “ดีอีกแล้ว, แย่อีกแล้ว” หรือเปล่า. คู่ที่รักกันจริงๆ จะต้องรักกันตลอดเวลาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากความสัมพันธ์ของคุณเดี๋ยวดีเดี๋ยวแย่ มันอาจจะถึงเวลาที่คุณต้องจากมันไป เพราะมีบางอย่างผิดปกติ อย่ากลับไปและซ่อมความสัมพันธ์นั้น เพราะมันจะทำให้คุณปวดหัว รวมไปถึงปวดใจ และแน่นอนว่าข้างนอกนั้น ยังมีคนที่รอให้คุณไปหาอีกมากมาย
  6. ดูว่าคุณกำลังมีปัญหาขัดแย้งกับเป้าหมายชีวิตคุณหรือเปล่า. ถ้าหากคุณต้องการจะเป็นนักชีววิทยาทางทะเลที่จะเดินทางไปรอบโลก และแฟนของคุณต้องการจะเป็นครูที่อาศัยอยู่ในเท็กซัสใกล้ๆ กับครอบครัวตลอดชีวิตของเธอ คุณกำลังเผชิญกับปัญหาแล้วล่ะ ถ้าหากคุณไม่ต้องการมีลูก และเธอต้องการมีสักเจ็ดคน และต้องการเริ่มตั้งแต่วันก่อน คุณมีปัญหาแน่นอน ถ้าความฝันและวิสัยทัศน์ของอนาคตไม่ตรงกันจริงๆ และคุณต้องหาทางก้าวต่อไปให้เร็วที่สุด มันคงถึงเวลาที่คุณต้องก้าวออกมา
    • ถ้าคุณยังเป็นวัยรุ่นอยู่ เป้าหมายชีวิตคุณอาจจะเปลี่ยน และคุณมีเวลาที่จะคิดทบทวน แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องเริ่มวางแผนอนาคตของคุณตอนนี้ และมันไม่มีทางที่สองทางจะมาบรรจบกันได้ มันอาจถึงเวลาที่ต้องคิดทบทวนกับความสัมพันธ์ใหม่
  7. ลองดูว่าหากใครคนใดคนหนึ่งเริ่มไม่ซื่อสัตย์ เรื่อยๆ . การนอกใจไม่ใช่สัญญาณที่ดี ไม่ว่าคุณจะเคยมีประวัติการนอกใจหรือกำลังนอกใจเพราะคุณไม่พอใจในความสัมพันธ์ แม้ว่าคุณอาจจะเรียนรู้ที่จะให้อภัยกันและกัน แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ มันอาจจะสร้างความเสียหายที่มากเกินไปกับความสัมพันธ์ของคุณและไม่สามารถแก้ไขได้อีก นี่อาจจะเป็นสัญญาณที่บอกว่าความสัมพันธ์นี้ไม่พออีกต่อไป
  8. นี่เป็นเรื่องที่ยากเรื่องหนึ่ง คุณอาจจะรักกันมากตอนที่คุณเรียนอยู่มัธยม หรือมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้เมื่อคุณได้ออกไปสู่สังคมใหม่ เจอคนใหม่ เพื่อนใหม่ ฝันใหม่ ความสนใจที่ต่างกัน หากสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือการมีอดีตร่วมกัน และนั่นไม่เพียงพอ มันคงถึงเวลาที่คุณต้องก้าวต่อไป มันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ยากที่สุดในการบอกเลิก เพราะมันไม่ใช่ความผิดของคนใดคนหนึ่ง และคุณทั้งคู่ก็ยังรักกันอยู่มาก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณต้องอยู่ด้วยกัน ถ้ามันไม่ใช่สำหรับคนที่คุณเป็นอยู่ในปัจจุบัน
  9. ความลับหรือการหลอกลวงใดๆ แม้ว่าคุณอาจจะไม่ได้ไปไกลถึงขนาดนอกใจ แต่มันก็ยังแสดงถึงการขาดความเชื่อใจและซื่อสัตย์ต่อกันในความสัมพันธ์ คุณไม่ควรปิดบังเรื่องใดที่ใหญ่ไปกว่าการจัดงานเซอร์ไพรสจากคนสำคัญ นี่แตกต่างจากการไม่ได้เล่าถึงสิ่งที่คุณไม่พอใจที่ทำงานกับแฟนของคุณ เพราะคุณรู้ว่ามันจะทำให้เธอเบื่อ มันเหมือนกับการที่คุณปิดบังไม่บอกเรื่องคุณไปสัมภาษณ์งานในจังหวัดอื่นเพราะคุณไม่รู้ว่าคุณจะทำอย่างไรถ้าคุณได้งาน
  10. สังเกตว่าหากไม่มีใครพยายามที่จะทุ่มเทกับความสัมพันธ์. ถ้าคุณเคยไปปิกนิกแบบโรแมนติก ปีนเขา วางแผนออกเดทด้วยกัน และดูแลกันเมื่ออีกฝ่ายป่วย แต่ตอนนี้คุณแทบจะไม่พยายามรับโทรศัพท์ หรือตอบข้อความคนสำคัญของคุณ เช่นนั้นล่ะก็คุณจำเป็นต้องพยายามมากกว่านี้ หรือจบความสัมพันธ์นั้นซะ ถ้าหากคุณหรือแฟนของคุณไม่พยายามอีกต่อไป ลึกๆ แล้วคุณคงจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์นั้นไม่มีค่าอีกต่อไป
  11. บางทีคุณและแฟนคุณอาจจะเลิกกันแบบไม่เป็นทางการแล้วโดยไม่ได้มาจัดการคุยกันให้เรียบร้อย ถ้าคุณใช้เวลาวันหยุดส่วนใหญ่กับเพื่อนคนละกลุ่ม ไปหาครอบครัวคนเดียว หรืออยู่บ้านและทำงานอดิเรกของคุณเองแทนที่จะไปเที่ยวด้วยกัน คิดถึงการดูทีวีสองเครื่องในสองห้อง คุณอาจจะเริ่มห่างกันโดยที่ไม่ได้คุยกันเลยก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ มันถึงเวลาแล้วล่ะที่จะเลิก
    โฆษณา
ส่วน 4
ส่วน 4 ของ 4:

ลงมือทำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ถ้าความสัมพันธ์นั้นไม่ควรค่าแก่การรักษาต่อไปคุณจะสามารถเห็นได้เมื่อทั้งคู่กำลังสงบ นอกจากนี้การบอกเลิกด้วยความโกรธจะทำให้ยากในการหาข้อสรุป ทำให้แน่ใจว่าคุณกำลังมีเหตุผลพอ และใช้เวลาในการคิดดีๆ ก่อนจะเริ่ม “พูดคุย”
  2. ลองห่างกันสักพักหากคุณต้องการเวลาในการคิดมากขึ้น. ตกลงกันว่าจะไม่เจอกันสักอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ และย้ำให้แน่ใจว่าคุณยังคงอยู่ด้วยกัน และความสัมพันธ์ของคุณจะคงความพิเศษในช่วงนี้ อย่าใช้เวลาร่วมกัน อย่าคุยโทรศัพท์กัน อย่าแม้แต่ส่งข้อความหากัน การทดลองแยกกันอยู่นี้จะช่วยให้คุณเห็นว่าคุณให้ค่ากับความสัมพันธ์นี้เท่าไหร่ หรือไม่เลย หากมันยากในช่วงแรก แต่คุณได้พบกับความสงบโดยไม่มีบุคคลนี้อยู่ในชีวิตคุณ มันอาจจะเป็นความคิดที่ดีในการเลิกกัน
    • ถ้าคุณสนุกกับช่วงสองสามวันแรก แต่จากนั้นคุณพบว่าตัวเองคิดถึงคนนี้และรู้สึกชีวิตไม่สมบูรณ์เมื่อขาดเขาไป คุณควรจะกลับไปแก้ไขความสัมพันธ์ซะ อ่านเพิ่มเติมที่ วิธีการเว้นระยะห่างให้แก่กัน
  3. คิดให้ดีว่าความสัมพันธ์ของคุณคุ้มกับการรักษาไว้ไหม. ถ้าคุณได้ใช้เวลาคิดว่าคุณจะเลิกหรือไม่เลิกแล้ว คุณก็อาจเห็นสัญญาณที่ดีของความสัมพันธ์ได้เช่นกัน นี่เป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณควรจะสู้ต่อเพื่ออยู่กับคนที่คุณคบอยู่ แม้ว่ามันจะหมายถึงคุณต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมาก:
    • ยังมีพื้นฐานหลักในด้านคุณค่าที่เหมือนกัน และความเชื่อที่เหมือนกันโดยเฉพาะ คุณค่าทางจิตวิญญาณและศีลธรรม
    • คุณยังเชื่อใจกันและกัน; คุณรู้ว่าแฟนของคุณจะคอยอยู่ข้างคุณ และเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะพยายามกับคุณเพื่อสิ่งที่ดียิ่งขึ้นสำหรับครอบครัวคุณ
    • ช่วงเวลาที่ยากได้เข้ามาหาโดยไม่ให้เวลาคุณตั้งตัว ปัญหาสุขภาพ แผลบาดเจ็บ ปัญหาการเงิน การกลับไปติดยาอีกครั้ง และการเป็นภาวะซึมเศร้าอาจมาหาคุณในช่วงเวลานั้น และยิ่งทำให้อะไรๆ ดูมืดมนไปหมด ให้เวลากับมัน ให้หมอกควันค่อยๆ จางลง และพยายามเป็นเพื่อนกันไปจนกว่ามันจะจบลง
    • คุณตกอยู่ในวงจรการตอบสนองที่ไม่ดีที่นิสัยไม่ดีๆ ยิ่งกระตุ้นให้เกิดนิสัยที่แย่ขึ้นไปอีก ให้หยุดวงจรนั้นด้วยการพยายามควบคุมท่าทีแย่ๆ ของคุณเอง เซ็นสัญญาสงบศึก และให้เวลากับแฟนของคุณในการจัดการด้านลบของพวกเขา
    • คุณมีแนวโน้มที่จะวิ่งจากคำมั่นสัญญาก่อนเมื่อเจอสัญญาณปัญหาแรก ใช้เวลาสักนิดในการสงบจิตใจและหาทางในการกลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง ให้คำมั่นกับมิตรภาพ จำในสิ่งที่คุณเคยชอบเกี่ยวกับตัวแฟนคุณ และแสดงท่าทีเหมือนว่าคุณใส่ใจ มันจะดีสำหรับคุณในการดูว่าคุณสามารถผ่านปัญหาไปได้ไม่ว่ามันจะจบลงอย่างไร
    • คุณค่อยๆ แยกห่างกันไปอย่างช้าๆ และในที่สุดก็พบว่าคุณกำลังใช้ชีวิตอยู่กับคนแปลกหน้า นี่เป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นได้จากการไม่ใส่ใจ ดังนั้นหันกลับมาให้ความใส่ใจซะ – พูดคุย ฟัง และใช้เวลาด้วยกัน และดูว่าคุณจะยังเรียกความรักกลับมาได้ไหม
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • ถามเพื่อนสนิท หรือครอบครัวของคุณ ดูว่าพวกเขายืนอยู่ฝั่งไหนในความสัมพันธ์คุณ แต่อย่าลืมว่า คนที่ตัดสินใจในที่สุดแล้วคือตัวคุณเอง
  • เขียนข้อดีข้อเสียในการคบกันต่อไป หากมีข้อเสียมากกว่าข้อดี ความสัมพันธ์นี้ก็ควรจบลง
  • ไม่ว่าคุณจะเป็นคนบอกเลิก หรือแฟนคุณเป็นคนบอกเลิก ให้ทำให้จบไป หากเพื่อนของคุณทิ้งคุณเพียงเพราะคุณไม่สามารถทำตามความคาดหวังของเขา/เธอได้ และคุณต้องคอยวิ่งตามเขา/เธอเพื่อทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ ให้หยุดซะ ขอบคุณเพื่อนของคุณที่ทำให้คุณรู้ว่าคุณต้องให้ความสนใจกับตัวเอง ไม่ใช่เขา/เธอ เอาคำว่ากล่าวต่างๆ มาเป็นข้อคิด และก้าวต่อไปพร้อมกับความทรงจำเก่าที่หอมหวาน


โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 239,283 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา