ดาวน์โหลดบทความ ดาวน์โหลดบทความ

การรู้สึกกระปรี้กระเปร่าทุกวันสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของคุณได้อย่างรวดเร็ว และเป็นเป้าหมายที่คุณสามารถเติมเต็มได้ด้วยวิธีการต่างๆ คนที่มีสุขภาพแข็งแรงทั่วไปสามารถรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงสำคัญๆ ในเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย และอื่นๆ หลายคนถึงขั้นสร้างความอึดและความแข็งแรงเพื่อที่พวกเขาจะได้ตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกที่สดชื่นกว่าเดิม

วิธีการ 1
วิธีการ 1 ของ 3:

รับประทานอาหารให้เหมาะสมเพื่อให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า

ดาวน์โหลดบทความ
  1. วิธีนี้ช่วยให้คุณได้รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและได้พลังงานมากกว่า อาหารทั้งส่วนเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอาหารแปรรูปเพราะประกอบด้วยสารอาหารและวิตามินที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า เพราะอาหารทั้งส่วนนั้นมาจากธรรมชาติและไม่มีสารเคมีปนเปื้อน จึงให้พลังงานแก่มนุษย์ได้มากกว่า
    • อาหารแปรรูป เช่น อาหารสำหรับอุ่นในไมโครเวฟ อาหารจานด่วน และอาหารพร้อมรับประทานนั้นมีแคลอรี่สูง และมักจะใส่สารกันบูด น้ำตาลเพิ่มเติม ไขมันเพิ่มเติม สี และอื่นๆ อาหารประเภทนี้ให้สารอาหารเพียงเล็กน้อย จึงมักจะเปลี่ยนเป็นพลังงานได้น้อยเช่นเดียวกัน [1]
    • อาหารทั้งส่วนซึ่งอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารนั้นให้พลังงานแก่ร่างกายของคุณมากกว่า อาหารทั้งส่วนได้แก่อาหารดิบหรือปรุงสุกใหม่ๆ และผักผลไม้แช่แข็ง ถั่วเปลือกแข็งไม่ผสมเกลือ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลาหรือหอยสด ไข่ นมไขมันต่ำ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ และชีสไขมันต่ำ [2]
  2. นึกถึงความสำคัญของอาหารทั้งส่วนและต้องแน่ใจว่าอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปนั้นสมดุล อาหารที่สมดุลจะทำให้คุณได้รับสารอาหารสูงสุดและช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นทุกวัน
    • ครึ่งหนึ่งของอาหารที่คุณรับประทานควรเป็นผักและผลไม้ทั้งส่วน
    • รับประทานธัญพืชในปริมาณที่เหมาะสมกับอายุ เพศ และระดับกิจกรรม การศึกษาสัดส่วนอาหารที่บริโภคในแต่ละวันจะบอกได้ว่า คุณควรรับประทานธัญพืชในปริมาณเท่าไหร่ และครึ่งหนึ่งก็ควรจะเป็นธัญพืชเต็มเมล็ดด้วย [3]
    • รับประทานโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสมกับอายุ เพศ และระดับกิจกรรม การศึกษาสัดส่วนอาหารที่บริโภคในแต่ละวันจะบอกได้ว่าคุณควรรับประทานโปรตีนปริมาณเท่าไหร่ [4]
    • ผลิตภัณฑ์นมก็เป็นส่วนหนึ่งของการรับประทานอาหารที่สมดุลเช่นเดียวกัน และการศึกษาสัดส่วนอาหารที่บริโภคในแต่ละวันก็ช่วยบอกปริมาณผลิตภัณฑ์นมที่คุณควรบริโภคได้เช่นเดียวกัน [5]
  3. แม้ว่าการรับประทานอาหารทั้งส่วนอย่างสมดุลจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การควบคุมปริมาณที่คุณรับประทานเข้าไปก็สำคัญไม่แพ้กัน การรับประทานอาหารมากเกินไปจะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยและเฉื่อยชา
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมากเกินไป คุณอาจจะควบคุมสัดส่วนอาหารได้ดี แต่ถ้าคุณพบว่าจู่ๆ ตัวเองก็เสียการควบคุมและรับประทานอาหารปริมาณมากๆ ในคราวเดียว แสดงว่าคุณกำลังรับประทานอาหารมากเกินไป พฤติกรรมนี้อาจขัดขวางการรับประทานอาหารที่ดีของคุณได้ ถ้าคุณพบว่าตัวเองกำลังรับประทานอาหารมากเกินไป ให้เอาของที่คุณชอบรับประทานมากๆ ออกไปจากบ้านให้หมด เมื่อคุณรู้สึกอยากรับประทานอะไรมากๆ ให้เบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง เช่น ทำงานประดิษฐ์ ออกกำลังกาย เป็นต้น เลือกรับประทานอาหารให้เป็นเวลาดีกว่ารับประทานอาหารเพราะความอยาก
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารตามอารมณ์ ถ้าคุณมีแนวโน้มที่จะรับประทานอาหารเวลาที่คุณอารมณ์ไม่ดี ไม่ว่าจะโกรธ มีความสุข เศร้า หรือเหงา นั่นหมายความว่าคุณกำลังปล่อยให้อารมณ์เหล่านี้ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นความอยากอาหาร การรับประทานอาหารตามอารมณ์นั้นขัดกับการรับประทานอาหารอย่างสมดุล แทนที่จะรับประทานอาหาร ให้คุณหากิจกรรมอื่นๆ ทำเพื่อบรรเทาความเครียดทางอารมณ์
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารตอนกลางคืน การรับประทานพลังงานเข้าไปมากๆ หลังจากช่วงอาหารค่ำอาจก่อให้เกิดปัญหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมักจะรับประทานอาหารที่ไม่ใช่อาหารทั้งส่วนหรือมีไขมันสูง คุณสามารถต่อสู้กับการรับประทานอาหารตอนกลางคืนได้ด้วยการรับประทานพลังงานส่วนใหญ่ในตอนกลางวัน [6] รับประทานมื้อกลางวันให้มากกว่ามื้อเย็น
  4. มีผลิตภัณฑ์มากมายที่อ้างว่าให้พลังงานเมื่อคุณบริโภคเข้าไป ซึ่งไม่เป็นความจริงเสมอไป หรือแม้ว่ามันจะให้พลังงานคุณจริงๆ ผลลัพธ์ก็มักจะอยู่แค่ในระยะสั้นๆ เท่านั้น ผลิตภัณฑ์หลายชนิดในลักษณะนี้ให้ผลที่เป็นลบมากกว่าพลังงานที่คุณอาจจะได้จากมันจริงๆ
    • กาแฟสามารถกระตุ้นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว และงานวิจัยในปัจจุบันก็พบว่า กาแฟไม่ได้ไม่ดีอย่างที่เราเคยคิดกัน [7] อย่างไรก็ตามกาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟนั้นอาจก่อให้เกิดอาการติดเล็กน้อย [8] และระยะเวลาที่ร่างกายใช้ในการเผาผลาญกาเฟอีนก็อาจจะกระทบกับรูปแบบการนอนที่มีผลต่อระดับพลังงานระหว่างวัน กาแฟที่เติมน้ำตาลและครีมก็ให้พลังงานและไขมันเพิ่ม เพราะฉะนั้นเวลาที่ดื่มกาแฟก็ควรพิจารณาส่วนนี้ด้วย
    • เครื่องดื่มชูกำลังมีกาเฟอีนสูง ซึ่งโดยตัวมันเองแล้วก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากาแฟ แต่เครื่องดื่มชูกำลังนั้นส่งผลต่อปัญหาหัวใจหากดื่มมากเกินไป ระดับน้ำตาลที่สูงในเครื่องดื่มชูกำลังเป็นพลังงานเปล่าและอาจทำให้เกิดความเฉื่อยชาในภายหลัง [9]
  5. ชาสมุนไพรและอาหารเสริมหลายชนิดช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
    • โสมไซบีเรียช่วยเพิ่มความแข็งแรง ต่อสู้กับความเหนื่อยล้า และลดผลประทบจากความเครียด สามารถหาซื้อได้ทั้งในรูปแบบของชาและอาหารเสริม [10]
    • แปะก๊วยก็เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ช่วยในเรื่องของการผลิตอะดีโนซีน ไตรฟอสเฟต (ATP) ที่ช่วยเสริมสร้างระบบเผาผลาญกลูโคสของสมอง ซึ่งท้ายที่สุดจะให้พลังงานจิตใจและความสามารถในการคิดและทำความเข้าใจ ชาแปะก๊วยมีขายตามร้านขายของสุขภาพทั่วไปแต่มักจะเป็นชาผสม นอกจากนี้ยังหาซื้อในรูปแบบของอาหารเสริมได้อีกด้วย [11]
    • ชาเขียวมีวางจำหน่ายในรูปแบบของสารสกัด ธรรมชาติของชาเขียวย่อมมีกาเฟอีนและมีสารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอื่นๆ มากมาย เช่น มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นและกระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น [12]
    • น้ำมันสกัดจากเป็ปเปอร์มินต์เป็นอีกหนึ่งอาหารเสริมที่ช่วยกระตุ้นการทำงาน มีงานวิจัยหนึ่งศึกษาความสามารถในการออกกำลังกายกับน้ำมันเป็ปเปอร์มินต์ และได้ข้อสรุปว่าเป็ปเปอร์มินต์มีประสิทธิภาพในการสร้างความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า [13]
    โฆษณา
วิธีการ 2
วิธีการ 2 ของ 3:

ออกกำลังกายเป็นประจำ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ออกกำลังกายทุกวันเพื่อให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าในทุกๆ วัน. แม้ว่าคุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะออกกำลังกาย แต่การริเริ่มที่จะทำร่างกายให้กระปรี้กระเปร่าทำให้คุณมีพลังงานมากขึ้นได้จริงๆ ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยล้า แม้แต่การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกปานกลางอย่างแค่การเดินไปเรื่อยๆ ก็สามารถเพิ่มความกระฉับกระเฉง ทำให้คุณรู้สึกมีแรงกระตุ้นและกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นได้แล้ว
    • การเดินในละแวกบ้านสัก 10 – 15 นาทีถือเป็นการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกปานกลาง ซึ่งอาจทำให้คุณกระปรี้กระเปร่ามากกว่าการออกกำลังกายที่หนักกว่า เช่น การวิ่งบนลู่วิ่ง 45 นาที [14]
    • ฝึกโยคะ โยคะสร้างพลังงานสงบที่ช่วยให้คุณทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่าพลังงานตึงตัวทั่วไปที่เรามี ซึ่งมักจะอยู่ได้ไม่นานและอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า พลังงานสงบเป็นพลังงานแห่งความมั่นใจ การกระปรี้กระเปร่า และการมองโลกในแง่บวกที่เป็นพลังงานสูงแต่มีความตึงตัวต่ำ
    • ฝึกพิลาทิส พิลาทิสเป็นการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกปานกลางที่ช่วยสร้างพลังงานสงบ [15]
    • ฝึกไทเก็ก ไทเก็กก็ให้พลังงานสงบกับคุณเช่นเดียวกัน [16]
    • ฝึกการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน การออกกำลังกายแบบมีแรงต้านอย่างช้าๆ และสงบช่วยสร้างพลังงานสงบให้แก่ผู้ฝึก
  2. เพลงสามารถพัฒนาพลังงานสงบได้ควบคู่กับการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกปานกลาง
    • งานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่นี้แสดงให้เห็นว่า เพลงสามารถสร้างพลังงานสงบได้ ซึ่งอาจจะจริงเป็นพิเศษเมื่อจับคู่ดนตรีกับการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกปานกลาง [17]
    • ดังนั้นการฟังเพลงขณะออกกำลังกายจึงช่วยสร้างพลังงานสงบระหว่างการออกกำลังกาย ทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นภายหลังและกระปรี้กระเปร่าได้นานกว่า
  3. แม้แต่การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกปานกลางก็สามารถดึงพลังงานจากร่างกายของคุณจนเลยจุดที่จะสร้างพลังงานสงบและพาคุณไปสู่สภาวะเหนื่อยล้าแทน
    • การออกกำลังกายแบบเข้มข้นจะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้าในตอนแรก แต่สุดท้ายแล้วแม้แต่การออกกำลังกายแบบเข้มข้นก็ยังให้พลังงานมากกว่าการไม่ออกกำลังกายเลย
    • จำไว้ว่าการออกกำลังกายแบบเข้มข้นอาจทำให้คุณได้พลังงานตึงตัวมากกว่า ซึ่งจะช่วยให้คุณทำสิ่งต่างๆ ได้มากกว่า แต่ความเหนื่อยล้าที่เกิดจากการออกกำลังกายก็อาจจะมากกว่าเช่นเดียวกัน [18]
  4. ผลไม้ให้ประโยชน์ด้านสุขภาพแก่ร่างกายมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทานผลไม้บางชนิดที่ให้ผลดีเมื่อควบคู่กับการออกกำลังกาย [19]
    • การรับประทานผลไม้ช่วยทำให้อาหารมีขนาดเล็กลง ซึ่งทำให้ร่างกายของเราดูดซึมสารอาหารได้มากขึ้น
    • การดูดซึมสารอาหารที่มาพร้อมกับการรับประทานอาหารก่อนออกกำลังกายจะให้พลังงานที่กระตุ้นการออกกำลังกาย ทำให้คุณมีพลังงานมากขึ้นหลังจากออกกำลังกายและตลอดทั้งวัน [20]
    • ส้ม กล้วย และแอปเปิลเป็นตัวเลือกที่ดี
  5. การป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำด้วยการดื่มน้ำตลอดทั้งวันเป็นวิธีสำคัญที่ช่วยไม่ให้คุณเหนื่อยล้าและทำให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น ถ้าคุณไม่ดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดทั้งวันจนเป็นนิสัย คุณอาจเสี่ยงต่ออาการเหนื่อยล้าได้
    • ถ้าคุณเป็นผู้ชายและอยู่ในวัยผู้ใหญ่ ควรดื่มน้ำประมาณวันละ 3 ลิตร
    • ถ้าคุณเป็นผู้หญิงและอยู่ในวัยผู้ใหญ่ แค่เกินวันละ 2 ลิตรก็เพียงพอแล้ว หรือถ้าจะให้เป๊ะๆ ก็คือ 2.2 ลิตร [21]
    • คุณจะสูญเสียน้ำทางเหงื่อเวลาที่คุณออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นคุณจึงต้องชดเชยด้วยการดื่มน้ำให้มากกว่าปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
    โฆษณา
วิธีการ 3
วิธีการ 3 ของ 3:

รักษาตารางกิจกรรมและการนอนให้สม่ำเสมอ

ดาวน์โหลดบทความ
  1. ตารางการนอนที่เหมาะสมนั้นสำคัญมากต่อการมีพลังงานตลอดทั้งวัน ตารางการนอนของคุณควรเป็นรูปแบบการนอนที่สม่ำเสมอ คุณสามารถฝึกร่างกายให้กระปรี้กระเปร่าและเหนื่อยได้ถูกเวลาถ้าคุณรักษารูปแบบการนอนที่ดีไว้ได้
    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละคืน ผู้ใหญ่ควรนอน 7 – 9 ชั่วโมงต่อคืน และวัยรุ่นควรนอน 8 – 10 ชั่วโมงต่อคืน [22]
    • ถ้าเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงการงีบหลับ เพราะการงีบหลับอาจรบกวนรูปแบบการนอนได้
    • หลีกเลี่ยงสารกระตุ้น เช่น กาเฟอีนหลังเที่ยง
    • ออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกปานกลางช่วงใกล้นอน และออกกำลังกายแบบเข้มข้นในตอนเช้าหรือกลางวัน
    • ผ่อนคลายก่อนนอน พยายามเอาความเครียดไว้นอกห้องนอน และต้องเอาความเครียดออกไปจากเตียงนอนให้ได้ ถ้าทำได้อย่าใช้อารมณ์พูดคุยหรือถกเถียงกันบนเตียง
    • คุณต้องให้ห้องนอนได้รับแสงจากธรรมชาติอย่างเพียงพอ เพราะการสามารถมองเห็นความมืดและแสงสว่างสามารถช่วยให้คุณมีรูปแบบการนอนที่เหมาะสมได้
    • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือดูทีวีบนเตียง พยายามทำให้เตียงของคุณเป็นสถานที่สำหรับนอนอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะนอนบนเตียงไม่ค่อยหลับ [23]
  2. ขอความช่วยเหลือถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยล้ามากเกินไป. ถ้าคุณยังคงรักษารูปแบบการนอนไว้ได้แต่ก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ คุณอาจจะต้องขอความช่วยเหลือ ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปัญหาการนอนของคุณ
    • จดบันทึกรูปแบบการนอนของตัวเองไว้เพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
    • เวลาที่คุณไปพบแพทย์ อย่าลืมบอกแพทย์ด้วยว่าคุณรักษารูปแบบการนอนของตัวเองได้ตามปกติ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงตามที่บันทึกบอก
    • แพทย์ของคุณอาจจะอยากตรวจหาสาเหตุที่มักทำให้เกิดความเหนื่อยล้า เช่น โรคไทรอยด์ ภาวะซึมเศร้า ภาวะโลหิตจาง หรืออาการความล้าเรื้อรัง
  3. การทำชีวิตให้มีระเบียบนั้นจำเป็นต่อการสร้างความรู้กระปรี้กระเปร่า การป้องกันไม่ให้เกิดความเครียดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จะทำให้คุณมีเวลาจดจ่อกับกิจกรรมสนุกๆ อื่นๆ
    • ใช้สมุดวางแผนหรือปฏิทินจัดลำดับสิ่งที่ต้องทำ
    • คุณต้องเช็กแผนการอยู่เสมอและอย่าให้พลาด
  4. บางครั้งเราก็ต้องหยุดและยอมรับว่า เราไม่สามารถมีเวลาให้กับทุกสิ่งที่เราอยากทำ แทนที่จะเติมช่วงเวลาว่างด้วยภารกิจหรือการประชุมตลอดเวลา ให้ตัวเองได้มีเวลาว่างเพื่อลดความเครียดบ้าง
    • หาเวลาในตารางเวลาที่คุณสามารถกันไว้เป็นช่วงเวลาว่างและสำหรับเวลาว่างเท่านั้น การกำหนดเวลาว่างสำคัญเช่นเดียวกับการกำหนดตารางกิจกรรมในแต่ละวัน
    • ตั้งกฎสำหรับช่วงเวลาพักผ่อน [24] เช่น ปิดโทรศัพท์มือถือ หรือหลีกเลี่ยงการเข้าอีเมลและการใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ คุณอาจจะซื้อซอฟต์แวร์ที่ตัดขาดการเข้าอินเตอร์เน็ตตามช่วงเวลาที่กำหนดเลยก็ได้ แอพพลิเคชั่นเหล่านี้จริงๆ แล้วคือเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำงาน แต่ก็สามารถใช้เพื่อกำหนดเวลาพักได้ด้วยเช่นกัน
    โฆษณา

เคล็ดลับ

  • สมองทำงานตามร่างกาย ถึงแม้คุณจะรู้สึกเหนื่อย ก็ให้ลุกขึ้นมาและเริ่มลงมือทำ การกระตุ้นสมองจะทำให้คุณสามารถทำงานต่อได้ตลอดทั้งวันโดยไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่ได้ผลก็ให้งีบสักเดี๋ยวหลังจากที่คุณทำงานเสร็จ
  • ถ้าคุณอยากทำให้ได้มากกว่าเดิม ให้เพิ่มการออกกำลังกายประจำวัน เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อย ให้ออกกำลังกายที่เพียงพอต่อการเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ จากนั้นให้ผ่อนคลายและให้ร่างกายสร้างพลังงานสำหรับครั้งถัดไป ถ้าคุณดูเหมือนจะเหนื่อยขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่คุณออกกำลังกาย ให้เปลี่ยนกิจกรรม หลีกเลี่ยงการฝืนตัวเองมากเกินไป ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะบาดเจ็บได้
  • ธัญพืชให้พลังงานชนิดแท่งเป็นแหล่งสารอาหารระหว่างมื้ออาหารที่ยอดเยี่ยม
โฆษณา

เกี่ยวกับวิกิฮาวนี้

มีการเข้าถึงหน้านี้ 2,488 ครั้ง

บทความนี้เป็นประโยชน์กับคุณไหม

โฆษณา